5 ปีที่ผ่านมาของทั้ง 3 ภาคกับภาพยนตร์แห่งสยามประเทศ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ที่คนไทยแทบทุกคนรอคอยที่จะได้ชมอยู่ตลอด ซึ่งในภาคแรก “องค์ประกันหงสา” เข้าฉายเมื่อ 18 มกราคม 2550 ทำรายได้ไปกว่า 236.60 ล้านบาท ภาคที่สอง “ประกาศอิสรภาพ” เข้าฉายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ก็กวาดรายได้ไป 234.55 ล้านบาท และทิ้งห่างออกมาถึง 4 ปีเต็มกับภาคที่สาม “ยุทธนาวี” ที่เข้าฉายไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554 แต่ปรากฎว่าการรอคอยที่ยาวนานหลายปี กลับไม่ส่งให้ภาคนี้กระแสและรายได้ดีเท่าภาคก่อนๆ
ซึ่งบุคคลที่สำคัญอีกคนหนึ่งนอกจากผู้สร้างและผู้กำกับ “หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล” แล้ว ก็คือคนที่รับบทเป็น “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” อย่าง “ผู้พันเบิร์ด” หรือ “พันโท วันชนะ สวัสดี” ที่มั่นใจว่ากระแสไม่ได้แย่อย่างที่หลายๆ คนคิด แต่แค่ต้องอาศัยความเข้าใจในเนื้อหาและตัวละครมากขึ้น
“ฟีตแบ็คสำหรับภาค 3 ผมว่าน่าจะประมาณ 80% ที่ดี แต่ถ้าจะไปเปรียบเทียบกับภาค 2 ก็อาจจะลดหย่อนลงมาสักนิดนึง จริงๆ ตัวเนื้อภาพยนตร์เขาก็ไม่ได้ผิดหวังกันเท่าไหร่ ทุกคนชอบ เพียงแต่ไปผิดหวังกับชื่อตอน “ยุทธนาวี” จึงทำให้ผู้ชมที่เข้าไปชมหวังว่าคงจะได้เห็นฉากรบทางเรือซึ่งใหญ่มากๆ แต่พอผมได้กลับไปถามคนที่บอกว่าไม่ดีว่าชอบฉากไหน เขาจะบอกได้เยอะมากเลยว่าฉากนั้นก็ชอบ ฉากนี้ก็ชอบ ก็เลยถามว่าตกลงชอบหรือไม่ชอบกันแน่ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาชอบครับ”
“พอเขาได้กลับไปดูรอบที่ 2 รอบที่ 3 ก็ทำให้เขาได้เข้าใจบริบทแวดล้อมของภาพยนตร์เรื่องนี้มากขึ้นว่ามีที่มาที่ไปยังไง อันนั้นคือส่วนแรกชื่อตอนที่เขาผิดหวัง ส่วนที่สองคือตัวละครที่สอดแทรกเข้าไปใหม่ บางคนเข้าใจถึงภาพยนตร์ภาค 3 แต่ลืมนึกไปว่าจริงๆ แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้มันยังมีภาคต่อๆ ไปอีก จึงทำให้เขาเข้าใจว่าไม่เห็นมีความจำเป็นต้องแทรกตัวละครใหม่เข้ามา พอเขาได้ทราบข้อมูลแบบนี้แล้วเขาก็เข้าใจว่าต้องติดตามในภาคต่อไปว่าตัวละครแต่ละตัวมีที่มาอย่างไร จุดจบยังไง”
“ถามว่าผมท้อไหม ไม่ท้อเลยครับ ปัจจุบันนี้ถึงหนังจะออกไปแล้ว ต่อให้คนไม่ชอบตรงไหนก็ตามแต่ ทีมงาน ผู้กำกับ นักแสดง ไม่ต้องการที่จะออกมาพูดอะไรเลย ไม่มีคอมเม้นท์อะไรทั้งสิ้นเลยเกี่ยวกับภาพยนตร์ จบแล้วจบเลยครับ พอปิดกล้องก็หมดหน้าที่ของผมแล้วในภาคที่ 3 คนดูจะวิพากษ์วิจารณ์ยังไงก็สุดแล้วแต่ และผมไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องได้รับเสียงตอบรับที่ดี ความคาดหวังของผู้สร้างไม่ได้คาดหวังว่าหนังมันจะเป็นยังไงหรอกครับ จบหน้าที่ของเขาก็คือหมดแล้ว”
“ท่านมุ้ยเองก็ไม่ได้คาดหวังครับ ท่านเป็นคนบอกเสียเองด้วยว่าโนคอมเม้นท์ คือไม่มีคำพูดไม่มีคำแก้ตัวยังไง คือถ้าจะมาแก้ตัวกัน ณ ปัจจุบันหลังจากที่หนังมันฉายไปแล้ว ผมคิดว่าใครก็พูดได้ สู้คุณตั้งใจทำให้มันออกมาดีที่สุด ณ วันนั้นคุณก็ไม่ต้องมาแก้ตัวอะไร ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ที่มันออกมาแล้วหรือการแสดงของผมเองมันดีที่สุดแล้ว คือตั้งใจทำให้มันดีที่สุด ณ ตอนนั้นแล้วครับ พอมันออกมาแล้วมันจะไม่ดียังไง เรารับมาแล้วก็เป็นข้อมูลสำหรับที่จะแก้ไขหรือปรับปรุงในครั้งต่อไปดีกว่า ภาค 3 จบแล้ว(หัวเราะ)”
“แต่ข่าวลือที่ว่ามีภาค 5-6 ต่ออีก อันนี้ต้องบอกว่าที่แน่ๆ เลยคือมี 5 ภาคแน่ๆ คือที่เราตั้งใจไว้คือ 11 สิงหาคมภาค 4 แล้ว 5 ธันวาคมภาค 5 คือในปีนี้อีก 2 ภาคจะต้องออก แล้วก็จบแค่ 5 ภาค แต่จะมี 6 หรือเปล่าไม่ทราบ(หัวเราะ) แต่ความเป็นไปได้ที่จะมีภาค 6 ค่อนข้างจะน้อย ผมว่าเต็มที่ก็ 5% แต่ 4-5 ค่อนข้างจะ 100% แล้ว ถามว่าจบลงที่ตรงไหน ก็จะเล่าจนถึงพระองค์ท่านสวรรคตเลยครับ”
ก้าวแรกที่เข้าไปแคสติ้งเมื่อ 10 ปีก่อน และถูกเลือกให้รับบท “สมเด็จพระนเรศวร” ในครั้งแรกที่ได้พบ “ท่านมุ้ย”
“ความรู้สึกวันแรกที่เข้าไปแคสติ้งเมื่อ 10 ปีก่อน เขาก็ไม่ได้บอกว่าเราเข้าไปบทอะไร คือเอาเข้าไปถ่ายภาพไว้เฉยๆ ตอนนั้นเขาบอกว่าอยากได้ทหารเอาไปแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ทีมงานเองเขาบอกว่าเป็นกลุ่มทหารที่ติดตามพระนเรศวรในภาพยนตร์ ผมไม่เคยคาดหวังเรื่องบทเลย เหมือนกับว่าทางกองทัพได้ส่งมาแล้ว ก็มาทำหน้าที่ของทหารคนนึงที่เข้ามามีส่วนร่วมในภาพยนตร์”
“แต่เอาจริงๆ ต้องบอกว่า ผมทราบว่าท่านมุ้ยทรงเลือกตัวผมเป็นบทพระนเรศวรตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอท่านแล้วล่ะ แต่ทีมงานน่ะไม่รู้ เพราะพอเจอท่าน ท่านก็บอกผมว่าผมต้องฝึกซ้อมปีนค่ายในฉากพระแสงดาบ คุณต้องไปซ้อมอาวุธยาวบนหลังช้าง คือมันเป็นการบอกนัยๆ แล้วว่าเลือกแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้บอกใคร ทีมงานก็ไม่ทราบ จนต้องนั้นผมเข้าไปถ่ายภาพปี 45 พอมีนาคมปี 46 เรียกเข้าไปซ้อม ผมก็ทราบตอนนั้นแหละ แต่ทีมงานมาบอกผมอีกครั้งนึงว่าผมได้รับบทสมเด็จพระนเรศวรตอนเดือนสิงหาคมในปี 46 แต่ตอนซ้อมก็ไม่รู้บทอะไร ไม่มีใครรู้”
“ผมว่าท่านคงอยากที่จะให้ทหารจริงๆ แสดงบทนี้มากกว่ากับการที่จะเป็นนักแสดงคนอื่นที่เป็นนักแสดงอาชีพ ไม่ใช่ว่านักแสดงอาชีพไม่เก่งหรือว่าจะสวมบทนี้ไม่เหมือนนะครับ นักแสดงอาชีพบางทีคุมยากกว่าในส่วนของเขาต้องรับงานอื่นด้วย มันก็จะติดภาพของภาพยนตร์เรื่องอื่นหรือละครอื่นมาที่ตัวคนนี้ด้วย ก็จะสร้างความเชื่อยากกว่า สู้ท่านสร้างคนอื่นที่เป็นใครก็ไม่รู้ขึ้นมาใหม่เลย แล้วส่วนที่สองคือเป็นทหารได้จริงๆ มันก็น่าจะดีกว่า เพราะว่าความหนักแน่นมั่นคงของบุคลิกลักษณะของทหารมันไม่ต้องสอน คือเราผ่านโรงเรียนเตรียมทหารมา 2 ปี โรงเรียนนายร้อยอีก 5 ปีมาแล้ว มันก็จะมีบุคลิกที่ใกล้เคียง เพราะท่านก็คงคิดว่าสมเด็จพระนเรศวรก็เป็นทหาร”
“เทคมากที่สุดของผมก็คงจะไม่ต่ำกว่า 20 แต่ผมไม่เคยรู้สึกค้านในใจว่าทำไมถึงไม่ผ่าน เพราะทุกครั้งที่บางทีรู้สึกไม่ได้ มันก็ได้ หมายถึงว่าได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่ได้สนใจ ผมสนใจเพียงแต่ว่าท่านมุ้ยบอกได้คือได้ ถ้าท่านมุ้ยบอกไม่ได้ก็คือไม่ได้ มันไม่ได้เป็นความรู้สึกของเราเองครับ คือท่านมุ้ยนอกจากจะเป็นผู้กำกับแล้ว ท่านทำงานตัดต่อด้วย ท่านพยายามใส่เพลงด้วย ท่านควบคุมการถ่ายทำทุกอย่าง เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในเมื่อมันอยู่ในการควบคุมของคนหนึ่งคน ผมมั่นใจว่าท่านจะสามารถทำให้ผมแสดงได้”
“ท่านบอกกับผมว่าคนเราการแสดงภาพยนตร์มันมีดี 50 ไม่ดี 50 มันอยู่ที่คนตัดภาพยนตร์ว่าเขาจะเอาส่วนดีออกมาได้มากแค่ไหน แต่ถ้าเขาตัดเอาส่วนที่ไม่ดีออกมาหมดเลย คนนั้นก็กลายเป็นคนเล่นหนังไม่เก่ง เล่นหนังไม่เป็น เพราะฉะนั้นถ้าเกิดท่านบอกได้ก็คือได้ ท่านบอกไม่ได้ผมก็เล่นใหม่ ไม่เป็นไร ไม่เถียงเลย ซึ่งปัญหาตอนถ่ายทำมันก็น่าตลก อย่างตอนรัฐประหารทหารต้องเข้ามาในกรุงเทพฯ หมด ทำให้เราถ่ายไม่ได้ ตอนนั้นก็หยุดไป 3 เดือน คือภาพยนตร์ถ่ายมา 10 ปี ผ่านเหตุการณ์บ้านเมืองตลอดเวลา รัฐบาลเปลี่ยนชุดบ้าง งบประมาณลงมาก็ต้องกั๊กไว้ก่อน ตอนที่รัฐประหารผมก็ต้องเข้ามาทำหน้าที่ของทหาร เราก็เข้าไปในส่วนของประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติการจิตวิทยาในการควบคุมคน การให้ความเข้าใจในเรื่องของพื้นที่การปฏิบัติหน้าที่ อันนี้ก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับเขาด้วย”
เจออุบัติเหตุในการถ่ายทำถึงกับเอ็นเข่าขาด แต่ความผูกพันกับภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบเสมือนพ่อกับลูก แถมได้เพื่อนสนิทซี้ปึ้กมาอีก
“ท่านมุ้ยไม่เคยดุนะครับ ผมไม่เคยโดนดุเลย ท่านให้ความเสรีกับการแสดงเต็มที่ ท่านไม่เคยบอกว่าคุณต้องแสดงแบบไหน เพียงแต่ท่านเล่าให้ฟังถึงสภาพแวดล้อมของสถานการณ์นั้นๆ แล้วให้เราคิดเอา แต่ท่านจะดุกับการทำงานของส่วนประกอบอื่นๆ โดยเฉพาะฉากที่ท่านต้องการความปลอดภัยสูงสุด ท่านจะเน้นแล้วก็ดุ เช่นฉากระเบิด ต่อให้คุณจะต้องวางระเบิดลูกละ 3-4 พันบาทเพื่อทดสอบ ท่านก็วางนะ แล้วให้กดเห็นๆ ด้วย คือท่านจะเน้นเรื่องของความปลอดภัย แต่ก็มีบ้างที่มีอุบัติเหตุ ของผมหนักที่สุดก็คือเอ็นหัวเข่าขวาขาดจากการฝึกซ้อมฉากรบ แต่อุบัติเหตุอื่นๆ ก็มีอยู่ประปราย เพราะด้วยความที่มันอยู่ในความควบคุมและเอาใจใส่เสมออยู่แล้ว”
“สนิทกับใครที่สุดเหรอ ความผูกพันที่เกิดขึ้นกับคุณนพชัยหรือปีเตอร์ที่เล่นเป็นไอ้บุญทิ้ง ในหนังสนิทยังไง ข้างนอกเราก็สนิทกัน สนิทกันจนกระทั่งปัจจุบันนี้เรามีบริษัทด้วยกันขึ้นมา แล้วก็ทำงานร่วมกันเพื่อต้องการที่จะมาเจอกันเป็นประจำ แล้วเวลาไปเที่ยวเราก็จะไปด้วยกัน จุดประสงค์ของบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการที่จะหาเงินไปเที่ยว ไม่ได้ต้องการเพื่อเป็นอาชีพอะไร(หัวเราะ) พอถึงเวลาที่เราอยากไปเที่ยว เราไม่ต้องไปหยิบจับจ่ายเอาเงินจากที่อื่นมาใช้ ก็เอาเงินจากตรงนี้ไป แล้วเวลามีงานเยอะเราก็ไม่ทำด้วย เราปฏิเสธไม่รับๆ เอาแค่นี้พอ พองานตรงนี้จบไปเราก็หางานใหม่ ก็เก็บเงินไว้”
“ธุรกิจที่ทำก็เกี่ยวกับบันเทิงนี่แหละครับ คือตอนนี้มีรายการเล็กๆ อยู่ที่ช่อง 5 ชื่อ “จารึกแผ่นดิน” สืบเนื่องมาจากถ่ายทำภาพยนตร์ย้อนตำนานบ่อยๆ ก็ชอบในเรื่องของประวัติศาสตร์ ก็เลยคิดว่าเราน่าจะทำแบบนี้ การแสดงอื่นที่ติดต่อมาก็มีครับ จะเป็นบทของฮีโร่ เป็นศูนย์รวมของแนวความคิด เช่นที่ผ่านมาจะมีละครเฉลิมพระเกียรติ ก็จะเล่นเป็นวีรบุรุษซะส่วนใหญ่ แล้วตอนนี้ก็จะมีละครเรื่อง “พันท้ายนรสิง” ที่ผมเล่นเป็นพระเจ้าเสือ บทก็จะแตกต่างจากพระนเรศวรพอสมควร จะมีความสนุกสนานเฮฮามากขึ้น ก็เป็นบทที่น่าสนใจ แต่ก็ยังเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ดี และยังเป็นงานของท่านมุ้ยอยู่”
“แต่จริงๆ ผมศึกษางานท่านมุ้ยมาพอสมควร ชีวิตคนธรรมดาคนนึงที่มีการต่อสู้ในชีวิต เป็นอะไรที่น่าสนใจ เป็นบทของคนธรรมดาที่บอกเรื่องราวของสังคม อย่างนี้ผมอยากเล่น และผมอยากจะรับงานโดยที่ให้ท่านช่วยดูให้ว่าเป็นยังไง โอเคไหม รับได้ไหม ส่วนที่สองที่ยังรับงานอยู่เพราะเราหวังเรื่องของงานทหาร มีโอกาสที่จะพูดและบ่งบอกเรื่องราวความเป็นทหารได้มากขึ้น ก็ยังไม่อยากที่จะให้ทหารคนนี้ได้ห่างหายไปจากหน้าจอ จึงอยากที่จะทำงานหน้าจออยู่เพื่อที่จะให้คนรู้จัก และได้มีโอกาสที่จะพูดบอกเล่าเรื่องราวของทหารมากขึ้น”
บอกบทบาทในวงการสอดคล้องกับหน้าที่ทางการทหารอยู่ตลอด แถมทำให้ทำงานเข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น ทั้งจากคนที่ชื่อชอบและคนที่ต่อต้านทหารก็ตาม
“ซึ่งที่ผมมาทำธุรกิจด้านสื่อทีวีเพราะว่างานของทหารเองก็มีความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันธ์ เพราะปัจจุบันนี้ไปอยู่ที่กรมกิจการพลเรือนทหารบก ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการติดต่องานหรือการประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติการจิตวิทยาในเรื่องของทหารกับหน่วยงานด้านนอก เพราะฉะนั้นก็จะมีผลอย่างยิ่งเลยกับงานที่อยู่ในลักษณะของบันเทิง สำหรับผมงานทหารกับงานในวงการไม่ได้ต่างกันมาก ผมมีโอกาสที่จะพูดถึงทหารให้กับประชาชนคนอื่นได้เข้าใจได้ง่าย และมีคนสนใจที่อยากจะฟังว่าทหารทำงานยังไง ก็เป็นผลดีกับงานทหารด้วย”
“พูดง่ายๆ ก็คืองานอะไรที่พลเรือนจะติดต่อกับทหารจะเป็นหน้าที่ของผม อย่างสมมติว่าเกิดภัยพิบัติ ต้องการกำลังทหารไปช่วยเหลือ งานที่ทหารช่วยเหลือประชาชนเกือบทุกงานมันคืองานในหน้าที่ผม แต่งานที่ผมรับผิดชอบจริงๆ คืองานประชาสัมพันธ์ กับงานปฏิบัติการเกี่ยวกับจิตวิทยา ก็เพื่อต้องการที่จะทำความเข้าใจ และสร้างความรู้สึกที่ดีกับประชาชนทุกเรื่องทุกเหตุการณ์”
“อย่างเหตุการณ์ที่สุรินทร์ในปัจจุบันนี้ ก็ต้องเอาวงดนตรีลงไปเพื่อไปเล่นให้เขาได้มีความสบายใจ ไม่เครียด ให้ความมั่นใจในศักยภาพ อันนี้คืองานที่ผมทำโดยตรงและยังทำอยู่ และยิ่งมารับบทตรงนี้ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย ตรงความเชื่อมั่นและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับเราง่ายกว่า แต่กับกลุ่มคนที่ไม่ชอบทหารก็ทำงานไม่ยากครับ ทำเหมือนเดิม คือเรามีจุดมุ่งหมายและทัศนคติรวมถึงเป้าหมายที่เราจะดำเนินการปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นเราเคยทำมายังไงเราก็ทำอย่างนั้น”
“เรื่องที่สองคือการที่จะทำให้คนที่ไม่ชอบเรามีทัศนคติกับเราอีกแบบนึง อันนี้บางทีเราห้ามไม่ได้ แต่เราได้แบ่งกลุ่มบุคคลออกไปเป็น 3 ประเภทอยู่แล้ว ประเภทแรกคือบุคคลฝ่ายเรา มีใจฝักใฝ่ที่จะช่วยเหลือ ประเภทที่สองคือประเภทที่เป็นกลาง ก้ำกึ่งคือไม่รู้จะไปทางไหนดี และประเภทสุดท้ายคือประเภทที่ไม่ชอบเราและไม่อยากที่จะสนับสนุนเรา ในส่วนที่ทำงานยากที่สุดก็คือกับกลุ่มที่ 3 กลุ่มบุคคลเหล่านี้เราก็ยังทำงานเหมือนเดิม เพียงแต่เราต้องสร้างความเข้าใจให้มากขึ้นกว่าเดิม อันนี้คือในส่วนของงานในหน้าที่ที่ยากขึ้นกว่าเดิม”
“แต่ถามว่าอยากเป็นทหารแบบลงสนามรบบ้างไหม ต้องเรียนว่าทหารทุกคนที่เรียนช่วงแรกต้องลงสนามหมด ถ้าผมลงไปทำผมก็ทำได้แน่นอน เพราะเป็นงานในสายเลือด แต่ผมกำลังคิดว่างานที่ทำสายประชาสัมพันธ์กับคนๆ นึงที่ถูกสร้างขึ้นมาในภาพยนตร์มันมีไม่เยอะหรอก ผมคิดว่าเรามีโอกาสที่จะทำในด้านนี้มาแล้ว ผมก็เลยเลือกที่จะมาทำด้านนี้แทนที่จะให้คนอื่นมาทำแทน คือถ้าจะให้ท่านมุ้ยไปสร้างเอาเงิน 1 พันล้านบาทมาสร้างพระนเรศวรใหม่อีกคนนึงมันก็ไม่คุ้มแล้วล่ะ ตอนนี้เขาสร้างให้เรามาแล้ว สร้างให้กับกองทัพแล้ว ผมคิดว่าน่าจะเป็นงานที่ต่อยอดได้เร็วและง่าย”
เผยหลังจากได้แต่งงานแล้ว ตอนนี้เตรียมตัวที่จะมีลูกเพราะพร้อมแล้วทั้งตนและภรรยา ที่สำคัญตั้งเป้าทำงานทุกอย่างให้สถาบันพระมหากษัตริย์ได้สบายพระทัยอย่างเต็มที่
“ชีวิตหลังแต่งงานกับก่อนแต่ง สำหรับทางด้านจิตใจผมว่าเปลี่ยนพอสมควร คือผมเองมีความรู้สึกว่ามั่นคงมากขึ้น คือเริ่มที่จะก่อร่างสร้างครอบครัวแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตความเป็นครอบครัวมันจริงจังมากขึ้น เราได้เจอกันทุกวัน แล้วก็มีการวางแผนเรื่องของอนาคตที่เห็นภาพใกล้เข้ามาชัดเจน เช่นการมีลูก เริ่มคิดแล้วว่าถ้าเกิดมีลูกแล้ว ลูกจะต้องไปเรียนยังไง เราจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนเป็นหลัก มีความคิดมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็วางแผนว่าจะมีแล้วครับ พร้อมมีได้เลย ก็เพิ่งไปตรวจร่างกาย เจาะเลือดเอาผลเลือดมา แล้วอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะไปหาหมอเพื่อจะฉีดวัคซีนอะไรต่างๆ เตรียมความพร้อมด้วยกันทั้งผมและภรรยา ไปด้วยกันทั้งสองคน”
“สำหรับความใฝ่ฝันสูงสุดที่ผมเคยพูดว่าอยากจะเป็นที่วางพระราชหฤทัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ผมกำลังจะบอกว่าทั้งชีวิตของผมและครอบครัวพร้อมที่จะอยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาท เพราะเราสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าเป็นการงานสิ่งใดที่เราจะสนองพระเดชพระคุณของพระองค์ท่านได้เราพร้อมรวมถึงครอบครัวด้วย ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าไปรับใช้ครับ คือหน้าที่ของทหารคือปฏิบัติตามแนวพระราชดำริ รวมถึงแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถก็ถือว่าได้สนองเบื้องพระยุคลบาทแล้วเช่นกัน”
“แต่ในส่วนตัวผมในฐานะที่ได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ผมก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสนั่งหรือพูดคุยใกล้ชิดมากนัก แต่ผมเคยได้เข้าเฝ้า 3 ครั้งเป็นเกี่ยวกับภาพยนตร์ซะ 2 ครั้ง อีกครั้งนึงก็คือตอนสมรสพระราชทาน ผมคิดว่าน่าจะเป็นพรอันประเสริฐที่สุดเลยที่พระองค์ท่านได้มอบให้กับผมและภรรยาตอนเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ พระองค์ท่านทรงตรัสกับผมและภรรยาว่าวันนี้เป็นวันมงคลของทั้งคู่ การใช้ชีวิตคู่มันเป็นเรื่องที่ยาก ก็ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจในการที่จะประคับประคองชีวิตครอบครัวให้ไปได้ และพระราชทานของขวัญให้”
“แต่ตอนพระราชทานของขวัญผมก็แอบขำนิดๆ เพราะตอนพระราชทานให้ผมรับถุงทอง ส่วนภรรยาผมรับถุงเงิน ตอนพระองค์ท่านพระราชทานถุงเงินให้ พระองค์ท่านก็บอกว่าให้ทั้งคู่นะ(หัวเราะ) แต่ภรรยาเป็นคนรับไงครับ เหมือนเป็นเงินก้นถุง แต่ท่านบอกกลายๆ ว่าเงินก็ให้ภรรยาเก็บไว้(หัวเราะ)”
“ในสถานการณ์ตอนนี้ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจบริบทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในมุมมองของสถาบันที่เป็นสถาบัน นั่นไม่ได้หมายถึงทุกคนจะต้องไปยึดติดกับตัวบุคคล และเมื่อเรานึกถึงสถาบันเป็นสถาบันแล้วลองมองย้อนกลับไปว่าสถาบันแห่งนี้ได้สร้างคุณประโยชน์อะไรให้กับประเทศเราบ้าง ยกตัวอย่างเช่นที่ผมเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมได้รู้เลยว่าหงสาวดีหรือพม่าในอดีตมีความยิ่งใหญ่มหาศาลมาก เราเองเทียบไม่ได้แม้เศษเสี้ยวธุลีของความยิ่งใหญ่ของเขา”
“ทีนี้พอมาถึงเวลาในปัจจุบัน ประเทศชาติบ้านเมืองของเรามีความเจริญก้าวหน้าแซงเมืองเพื่อนบ้านหรือแม้กระทั่งแซงพม่าไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงความเห็นประโยชน์ส่วนรวมของผู้นำประเทศที่ผ่านมา
โดยเฉพาะที่เราเห็นชัดที่สุดที่เราสัมผัสได้ง่ายก็คือตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา พระมหากษัตริย์ได้ทุ่มเทอะไรมาหลากหลาย ทำให้เราได้ขึ้นแซงหน้าเขามา จนถึงปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่าผู้นำประเทศอื่นๆ เห็นแก่ประโยชน์พักพวกเพื่อนพ้องเป็นหลัก ครอบครัว เครือญาติเป็นหลักทำให้ไม่พัฒนาเท่าเรา แต่พอถึงวันนี้ถ้าเราเห็นแบบนี้แล้วเราก็จะสัมผัสได้แล้วก็จะสำนึกได้ง่ายขึ้น”