หากท่านใดที่มีโอกาสได้ติดตามคอลัมน์ "ก.ไก่ ข.เขียน" ที่บางคนอาจจะรู้สึกว่าน่าจะเรียกว่า ก.ไก่ ข. เขี่ย มากกว่าก็อาจจะทราบจากที่ผมเคยเขียนเรียนไปแล้วว่า ผมมีเพื่อนเป็นคนลาวอยู่ 2-3 คนและนั่นเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ในช่วงหลายปีหลังมานี้ผมไปเที่ยวที่ประเทศลาวอยู่บ่อยครั้ง
อาจจะไม่ถึงขนาดที่ว่าถี่ยิบยับ ทว่าก็พอเพียงที่จะทำให้แม่แซวว่า...เอ็งไปมีเมียอยู่ที่ลาวหรือเปล่าเนี่ย?
แซวมาตั้งแต่ผมในวัยเบญจเพส กระทั่งหลายปีต่อมาเมื่อเพื่อนๆ ตลอดจนรุ่นพี่ รุ่นน้อง ต่างทยอยแต่งงานมีครอบครัวกลายเป็นพ่อคนแม่คน บ้างลูกหนึ่ง บ้างลูกสอง-สาม ขณะที่ผมเองก็กลายสถานะเป็นน้าบ้าง อาบ้าง ลุงบ้างในวัย 34 นี้โดยที่ยังไม่มีวี่แววจะมีนางฟ้าบินพลัดตกจากสวรรค์ลงมาให้โอบอุ้มกับเขาสักนาง คำพูดของแม่เมื่อรู้ว่าผมจะไปเที่ยวลาวในระยะหลังๆ ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไป
จากการแซวก็กลายเป็นการพูดด้วยความเป็นห่วงเป็นใยถึงอนาคตชีวิตคู่ของลูกชายคนเดียวที่ดูจะมืดบอดเสียเหลือเกิน
...ถ้าไม่มีสาวไหนเขามาเอาไปเป็นแฟน ก็ให้เพื่อนมันหาเมียลาวให้สักคนสิ...
ฟังแล้วผมก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ รำพึงอยู่ในใจที่แสนจะเหงาอ้างว้างเปล่าเปลี่ยงเดียวดาย...แหม ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิแม่
นึกถึงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงก็เพราะไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง "สะบายดี 2 ไม่มีคำตอบจาก...ปากเซ" ที่ทาง บริษัทโรส มีเดียฯ นำมามอบให้ในช่วงปีใหม่ ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณไว้อย่างสูงมา ณ. โอกาสนี้
อย่างที่หลายคนคงจะทราบกันแล้วครับว่า "สะบายดี 2 ไม่มีคำตอบจาก...ปากเซ" เป็นภาคต่อของหนังเรื่อง "สะบายดี หลวงพะบาง" แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน โดยที่พระเอกก็เปลี่ยนจากคุณ "อนันดา เอฟเวอริ่งแฮม" มาเป็นคุณ "เรย์ แมคโดนัลด์" ส่วนนางเอกยังคงเป็นคุณ "คำลี่ พิลาวง" จากประเทศลาวคนเดิม
เนื้อหาพูดถึง "ปอ"(เรย์) ผู้กำกับหนุ่มไฟแรง ซึ่งหลังจากที่ผลงานของเขาสามารถทำให้นายทุนคนหนึ่งต้องเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเฮียขายน้ำเต้าหู้แทน นับวันดูเหมือนว่าหนังในสไตล์ของเขาจะไม่เป็นที่ต้องการของเหล่านายทุนเท่าไหร่
ขณะที่วนเวียนตระเวนพรีเซนต์งานอย่างไร้อนาคต ปอ ก็ได้รับการติดต่อจากเฮียน้ำเต้าหู้ให้ไป "สร้างภาพ" วิดีโอพรีเซนต์งานแต่งงานของคู่บ่าวสาวลาวที่ปากเซ นั่นเองที่ทำให้เขาได้พบเจอกับเพื่อนเจ้าสาวอย่าง "สอนไพรวัลย์” (คำลี่) และรู้สึกตกหลุมรักเธอทันที
การดำเนินเรื่องของสะบายดี 2 ค่อนข้างจะเหมือนกับภาคแรกครับ ต่างกันตรงที่ภาคแรกนั้นดูแล้วอาจจะรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนไปบ้าง ส่วนภาคนี้ผมดูแล้วทั้งหัวเราะสลับกับการอมยิ้มไปเกือบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะบุคลิกที่แตกต่างกันระหว่างคาแรกเตอร์ของคุณอนันดาที่ถูกวางไว้ให้ค่อนข้างจะนิ่งๆ ขณะที่ของคุณเรย์นั้นบุคลิกจะออกแนวกวนๆ ประเภทไม่มีตังค์แต่มีฟอร์ม...ปากบอกไม่เอาแต่มือหยิบ ซึ่งผมคิดว่าหากใครคิดจะทำหนังตลกชนิดที่เอากันแบบเป็นหนังสุดกวน สุดฮาจริงๆ ขึ้นมาสักเรื่องแล้วละก็ ผมว่าเขาคนนี้ไม่น่าจะทำให้ผิดหวังแน่นอน
อีก 2 คนที่ถือได้ว่าเป็นตัวชูรสของหนังก็คือเด็กน้อยผู้หญิงที่เล่นเป็นน้องสาวสอน กับ เด็กชายที่เล่นเป็นผู้ช่วยปอ ซึ่งทั้งสองแสดงได้พลิ้วจริงๆ ครับ
ขณะที่ตัวของนางเอกอย่างคุณคำลี่ รวมไปถึงคนอื่นๆ นั้น หากจะเอาศาสตร์การแสดงไปจับก็คงจะต้องสอบแก้กันหลายต่อหลายรอบ ซึ่งผมว่าผู้กำกับเองคงจะไม่ได้มองถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องการจะได้มา นั่นคือความซื่อ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ที่แม้บางทีอาจจะดูแล้วแข็งๆ ขัดๆ เขินๆ ในการแสดง บทพูดที่เหมือนท่องไปนิด แต่ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ออกมาจากความพยายามและความตั้งใจ
โดยเฉพาะคุณคำลี่นั้น ต่อให้ไม่ต้องแสดงหรือพูดอะไร แค่ออกมาให้เห็นจะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เฉยๆ งอนๆ โลกใบเล็กๆ ของผมก็พลันสว่างสดใสแล้วครับ
ในส่วนของบรรยากาศต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาแบบเรียบง่าย เรื่องราวที่ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงประกอบที่ไม่เอะอะโครมคราม การตัดภาพที่ไม่ได้หวือหวาหรือต้องการจะขับเน้นความสวยงามอะไรมากมาย เหล่านี้บางคนอาจจะรู้สึกน่าเบื่อและไม่รู้สึกว่าหนังสนุก แต่โดยส่วนตัวผมกลับชอบนะครับ เพราะมันค่อนข้างจะสะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิต วิธีคิด ตลอดจนธรรมชาติที่มันค่อนข้างจะเป็นธรรมชาติจริงๆ ของคนที่นั่นที่ชวนให้ไปสัมผัส
ไม่ได้ถูกปรับปรุงแต่งเหมือนกับบางประเทศจนมีหนังบ้านเราเรื่องหนึ่งหยิบมาทำเป็นมุกแซวเสียดสีในทำนองที่ว่าถ้าไม่มาเที่ยวถ่ายภาพกับหุ่นพระเอกหนังตามรอยซี่รี่ส์แล้ว ประเทศที่ว่ามันจะมีอะไรอย่างอื่นให้เที่ยวบ้างมั้ยเนี่ย?
อีกประเด็นที่ผมว่าน่าสนใจทีเดียวก็คือตัวตนของ ปอ ที่ว่ากันว่าเป็นการถ่ายทอดมาจากชีวิตจริงของตัวผู้กำกับอย่างคุณศักดิ์ชาย ดีนาน
เพราะถึงแม้รูปแบบและแนวทางในการทำ "หนังเฉพาะ(กลุ่ม)" ของเขาจะไม่เป็นที่ต้องการของนายทุนยุคปัจจุบันที่ต้องการ "เฉพาะหนัง" ซึ่งตั้งอยู่บนโจทย์ที่ว่าต้อง "ทำเงิน" ก่อนเป็นอันดับแรก รวมไปถึงฉากที่ตัวของคู่บ่าวสาวเองที่คิดว่าจ้างคนผิดหรือเปล่าหลังพบเห็นการทำงานแบบแปลกๆ ของเขา ทว่าตัว ปอ ก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางดังกล่าว
ซึ่งจะด้วยความเชื่อมั่น ดื้อรั้น หรือกลัวเสียหน้าอะไรก็ตาม แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้รับรางวัลจากความซื่อสัตย์ต่อความเป็นตัวของตัวเองเป็นการตอบแทน
มีอยู่ 2 ฉากในหนังครับที่ผมดูแล้วเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงหัวใจ
หนึ่งคือฉากที่เฮียขายน้ำเต้าหู้ บอกให้ปอกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัดก่อนหลังจากที่ไม่มีนายทุนคนไหนยอมออกเงินให้เขากำกับหนัง กับฉากหลังจากที่ ปอ กลับมาจากลาว แล้วต้องตื่นขึ้นมาพบกับวังวนเดิมๆ คือการออกไปพรีเซนต์หนังเพื่อที่จะพบกับความผิดหวัง โดยมีเสียงเพลง วันต่อวัน ของพี่ปู พงษ์สิทธิ คำภีร์ แทรกขึ้นมา
...เช้าวันใหม่ ตื่นนอนคล้ายๆ กัน เดินทางดั่งทุกวันเพื่ออกฝ่าฟัน ปัญหาความเป็นอยู่ หวังแค่เพียง ผ่านวันได้พ้นวัน มีชีวิตถึงวันรุ่งเช้าตื่นนอน เหมือนกันอย่างวานซืน ชีวิตหนึ่ง พ้นวันคืนหนึ่ง ก็ดีใจ คิดปีนป่าย ตามฝัน สุดทางได้แค่นี้ ได้แค่นี้ เท่านี้ก็เพียงพอ ได้ฝันไปวันๆ หนึ่งคืนถึงอีกวัน...
ฟังเพลงแล้วนึกถึงชีวิตผมเมื่อครั้งอยู่ในช่วงตกงานขึ้นมาทันทีเลยครับ
จำได้ว่าตอนนั้นชีวิตไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ตื่นนอน ออกหางาน กลับห้อง ตื่นนอน ออกหางาน กลับห้อง เสาร์-อาทิตย์นั่งรถทัวร์กลับบ้านนอก พูดคุยกับแม่ด้วยสีหน้าที่ถูกปั้นเสียจนยิ้มแย้มประหนึ่งว่าไม่มีอะไร ระดับนี้หาได้อยู่แล้ว ก่อนจะกลับมากรุงเทพฯ ตื่นนอน ออกหางาน กลับห้อง ตื่นนอน ออกหางาน กลับห้อง ฯ
กว่า 3 เดือนครับที่กิจวัตรต้องวนเวียนอยู่เช่นนั้น ทำเอาผมซึ่งก่อนหน้าไม่ค่อยจะคิดอะไรให้วุ่นวายต้องรู้สึกวังเวง สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของอนาคต แล้วเกิดความกลัวขึ้นมา
เป็นความกลัวที่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของผู้เป็นมารดาซึ่งสู้ทนหาเงินส่งให้ลูกชายได้ร่ำเรียนหนังสือโดยหวังเพียงให้มีชีวิตที่ไม่ต้องลำบากเหมือนกับตนเอง
ในเพลงวันต่อวันพี่ปูอาจจะแต่งให้รู้สึกดีในทำนองที่ว่าคนเราน่าจะพอใจแล้วที่ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อผ่านพ้นวันต่อวันแม้มันจะไม่มีอะไรใหม่ๆ เข้ามา
ทว่าสำหรับผมแล้วชีวิตในช่วงนั้น หลังข่มตาให้หลับ เรียนตามตรงว่าหลายครั้งมันไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมาเลยครับ
...
ปล. จบคอลัมน์เช่นนี้โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าภาพยนตร์ "สะบายดี 2 ไม่มีคำตอบจาก...ปากเซ" เป็นหนังเศร้าสลดหดหู่นะครับ หนังน่ารัก ตลก ดูเพลินๆ ถ้ามีโอกาสก็ขอแนะนำให้หามาดูกัน
เพลงวันต่อวัน/พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
เช้าวันใหม่ ตื่นนอนคล้ายๆ กัน เดินทางดั่งทุกวันเพื่ออกฝ่าฟัน ปัญหาความเป็นอยู่
หวังแค่เพียง ผ่านวันได้พ้นวัน มีชีวิตถึงวันรุ่งเช้าตื่นนอน เหมือนกันอย่างวานซืน
ชีวิตหนึ่ง พ้นวันคืนหนึ่ง ก็ดีใจ คิดปีนป่าย ตามฝัน สุดทางได้แค่นี้ ได้แค่นี้ เท่านี้ก็เพียงพอ ได้ฝันไปวันๆ หนึ่งคืนถึงอีกวัน
มีชีวิตได้เจอ คนรักคนเก่า ได้เดินบนถนสายเก่า ขึ้นรถเมล์คันเก่า กินเหล้าก็ที่เก่า ได้เจอเพื่อนเก่าๆ นั่งคุยเรื่องเก่าๆ
มีชีวิตถึงพรุ่งนี้ และพรุ่งนี้ และพรุ่งนี้ และพรุ่งนี้ มีชีวิตถึงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ สุดทางได้แค่นี้ สุดทางได้แค่นี้ ชีวิตแบบเก่าๆ ใจหนอใจเรา
อาจจะไม่ถึงขนาดที่ว่าถี่ยิบยับ ทว่าก็พอเพียงที่จะทำให้แม่แซวว่า...เอ็งไปมีเมียอยู่ที่ลาวหรือเปล่าเนี่ย?
แซวมาตั้งแต่ผมในวัยเบญจเพส กระทั่งหลายปีต่อมาเมื่อเพื่อนๆ ตลอดจนรุ่นพี่ รุ่นน้อง ต่างทยอยแต่งงานมีครอบครัวกลายเป็นพ่อคนแม่คน บ้างลูกหนึ่ง บ้างลูกสอง-สาม ขณะที่ผมเองก็กลายสถานะเป็นน้าบ้าง อาบ้าง ลุงบ้างในวัย 34 นี้โดยที่ยังไม่มีวี่แววจะมีนางฟ้าบินพลัดตกจากสวรรค์ลงมาให้โอบอุ้มกับเขาสักนาง คำพูดของแม่เมื่อรู้ว่าผมจะไปเที่ยวลาวในระยะหลังๆ ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไป
จากการแซวก็กลายเป็นการพูดด้วยความเป็นห่วงเป็นใยถึงอนาคตชีวิตคู่ของลูกชายคนเดียวที่ดูจะมืดบอดเสียเหลือเกิน
...ถ้าไม่มีสาวไหนเขามาเอาไปเป็นแฟน ก็ให้เพื่อนมันหาเมียลาวให้สักคนสิ...
ฟังแล้วผมก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ รำพึงอยู่ในใจที่แสนจะเหงาอ้างว้างเปล่าเปลี่ยงเดียวดาย...แหม ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิแม่
นึกถึงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงก็เพราะไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง "สะบายดี 2 ไม่มีคำตอบจาก...ปากเซ" ที่ทาง บริษัทโรส มีเดียฯ นำมามอบให้ในช่วงปีใหม่ ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณไว้อย่างสูงมา ณ. โอกาสนี้
อย่างที่หลายคนคงจะทราบกันแล้วครับว่า "สะบายดี 2 ไม่มีคำตอบจาก...ปากเซ" เป็นภาคต่อของหนังเรื่อง "สะบายดี หลวงพะบาง" แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน โดยที่พระเอกก็เปลี่ยนจากคุณ "อนันดา เอฟเวอริ่งแฮม" มาเป็นคุณ "เรย์ แมคโดนัลด์" ส่วนนางเอกยังคงเป็นคุณ "คำลี่ พิลาวง" จากประเทศลาวคนเดิม
เนื้อหาพูดถึง "ปอ"(เรย์) ผู้กำกับหนุ่มไฟแรง ซึ่งหลังจากที่ผลงานของเขาสามารถทำให้นายทุนคนหนึ่งต้องเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเฮียขายน้ำเต้าหู้แทน นับวันดูเหมือนว่าหนังในสไตล์ของเขาจะไม่เป็นที่ต้องการของเหล่านายทุนเท่าไหร่
ขณะที่วนเวียนตระเวนพรีเซนต์งานอย่างไร้อนาคต ปอ ก็ได้รับการติดต่อจากเฮียน้ำเต้าหู้ให้ไป "สร้างภาพ" วิดีโอพรีเซนต์งานแต่งงานของคู่บ่าวสาวลาวที่ปากเซ นั่นเองที่ทำให้เขาได้พบเจอกับเพื่อนเจ้าสาวอย่าง "สอนไพรวัลย์” (คำลี่) และรู้สึกตกหลุมรักเธอทันที
การดำเนินเรื่องของสะบายดี 2 ค่อนข้างจะเหมือนกับภาคแรกครับ ต่างกันตรงที่ภาคแรกนั้นดูแล้วอาจจะรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนไปบ้าง ส่วนภาคนี้ผมดูแล้วทั้งหัวเราะสลับกับการอมยิ้มไปเกือบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะบุคลิกที่แตกต่างกันระหว่างคาแรกเตอร์ของคุณอนันดาที่ถูกวางไว้ให้ค่อนข้างจะนิ่งๆ ขณะที่ของคุณเรย์นั้นบุคลิกจะออกแนวกวนๆ ประเภทไม่มีตังค์แต่มีฟอร์ม...ปากบอกไม่เอาแต่มือหยิบ ซึ่งผมคิดว่าหากใครคิดจะทำหนังตลกชนิดที่เอากันแบบเป็นหนังสุดกวน สุดฮาจริงๆ ขึ้นมาสักเรื่องแล้วละก็ ผมว่าเขาคนนี้ไม่น่าจะทำให้ผิดหวังแน่นอน
อีก 2 คนที่ถือได้ว่าเป็นตัวชูรสของหนังก็คือเด็กน้อยผู้หญิงที่เล่นเป็นน้องสาวสอน กับ เด็กชายที่เล่นเป็นผู้ช่วยปอ ซึ่งทั้งสองแสดงได้พลิ้วจริงๆ ครับ
ขณะที่ตัวของนางเอกอย่างคุณคำลี่ รวมไปถึงคนอื่นๆ นั้น หากจะเอาศาสตร์การแสดงไปจับก็คงจะต้องสอบแก้กันหลายต่อหลายรอบ ซึ่งผมว่าผู้กำกับเองคงจะไม่ได้มองถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องการจะได้มา นั่นคือความซื่อ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ที่แม้บางทีอาจจะดูแล้วแข็งๆ ขัดๆ เขินๆ ในการแสดง บทพูดที่เหมือนท่องไปนิด แต่ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ออกมาจากความพยายามและความตั้งใจ
โดยเฉพาะคุณคำลี่นั้น ต่อให้ไม่ต้องแสดงหรือพูดอะไร แค่ออกมาให้เห็นจะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เฉยๆ งอนๆ โลกใบเล็กๆ ของผมก็พลันสว่างสดใสแล้วครับ
ในส่วนของบรรยากาศต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาแบบเรียบง่าย เรื่องราวที่ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงประกอบที่ไม่เอะอะโครมคราม การตัดภาพที่ไม่ได้หวือหวาหรือต้องการจะขับเน้นความสวยงามอะไรมากมาย เหล่านี้บางคนอาจจะรู้สึกน่าเบื่อและไม่รู้สึกว่าหนังสนุก แต่โดยส่วนตัวผมกลับชอบนะครับ เพราะมันค่อนข้างจะสะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิต วิธีคิด ตลอดจนธรรมชาติที่มันค่อนข้างจะเป็นธรรมชาติจริงๆ ของคนที่นั่นที่ชวนให้ไปสัมผัส
ไม่ได้ถูกปรับปรุงแต่งเหมือนกับบางประเทศจนมีหนังบ้านเราเรื่องหนึ่งหยิบมาทำเป็นมุกแซวเสียดสีในทำนองที่ว่าถ้าไม่มาเที่ยวถ่ายภาพกับหุ่นพระเอกหนังตามรอยซี่รี่ส์แล้ว ประเทศที่ว่ามันจะมีอะไรอย่างอื่นให้เที่ยวบ้างมั้ยเนี่ย?
อีกประเด็นที่ผมว่าน่าสนใจทีเดียวก็คือตัวตนของ ปอ ที่ว่ากันว่าเป็นการถ่ายทอดมาจากชีวิตจริงของตัวผู้กำกับอย่างคุณศักดิ์ชาย ดีนาน
เพราะถึงแม้รูปแบบและแนวทางในการทำ "หนังเฉพาะ(กลุ่ม)" ของเขาจะไม่เป็นที่ต้องการของนายทุนยุคปัจจุบันที่ต้องการ "เฉพาะหนัง" ซึ่งตั้งอยู่บนโจทย์ที่ว่าต้อง "ทำเงิน" ก่อนเป็นอันดับแรก รวมไปถึงฉากที่ตัวของคู่บ่าวสาวเองที่คิดว่าจ้างคนผิดหรือเปล่าหลังพบเห็นการทำงานแบบแปลกๆ ของเขา ทว่าตัว ปอ ก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางดังกล่าว
ซึ่งจะด้วยความเชื่อมั่น ดื้อรั้น หรือกลัวเสียหน้าอะไรก็ตาม แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้รับรางวัลจากความซื่อสัตย์ต่อความเป็นตัวของตัวเองเป็นการตอบแทน
มีอยู่ 2 ฉากในหนังครับที่ผมดูแล้วเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงหัวใจ
หนึ่งคือฉากที่เฮียขายน้ำเต้าหู้ บอกให้ปอกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัดก่อนหลังจากที่ไม่มีนายทุนคนไหนยอมออกเงินให้เขากำกับหนัง กับฉากหลังจากที่ ปอ กลับมาจากลาว แล้วต้องตื่นขึ้นมาพบกับวังวนเดิมๆ คือการออกไปพรีเซนต์หนังเพื่อที่จะพบกับความผิดหวัง โดยมีเสียงเพลง วันต่อวัน ของพี่ปู พงษ์สิทธิ คำภีร์ แทรกขึ้นมา
...เช้าวันใหม่ ตื่นนอนคล้ายๆ กัน เดินทางดั่งทุกวันเพื่ออกฝ่าฟัน ปัญหาความเป็นอยู่ หวังแค่เพียง ผ่านวันได้พ้นวัน มีชีวิตถึงวันรุ่งเช้าตื่นนอน เหมือนกันอย่างวานซืน ชีวิตหนึ่ง พ้นวันคืนหนึ่ง ก็ดีใจ คิดปีนป่าย ตามฝัน สุดทางได้แค่นี้ ได้แค่นี้ เท่านี้ก็เพียงพอ ได้ฝันไปวันๆ หนึ่งคืนถึงอีกวัน...
ฟังเพลงแล้วนึกถึงชีวิตผมเมื่อครั้งอยู่ในช่วงตกงานขึ้นมาทันทีเลยครับ
จำได้ว่าตอนนั้นชีวิตไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ตื่นนอน ออกหางาน กลับห้อง ตื่นนอน ออกหางาน กลับห้อง เสาร์-อาทิตย์นั่งรถทัวร์กลับบ้านนอก พูดคุยกับแม่ด้วยสีหน้าที่ถูกปั้นเสียจนยิ้มแย้มประหนึ่งว่าไม่มีอะไร ระดับนี้หาได้อยู่แล้ว ก่อนจะกลับมากรุงเทพฯ ตื่นนอน ออกหางาน กลับห้อง ตื่นนอน ออกหางาน กลับห้อง ฯ
กว่า 3 เดือนครับที่กิจวัตรต้องวนเวียนอยู่เช่นนั้น ทำเอาผมซึ่งก่อนหน้าไม่ค่อยจะคิดอะไรให้วุ่นวายต้องรู้สึกวังเวง สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของอนาคต แล้วเกิดความกลัวขึ้นมา
เป็นความกลัวที่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของผู้เป็นมารดาซึ่งสู้ทนหาเงินส่งให้ลูกชายได้ร่ำเรียนหนังสือโดยหวังเพียงให้มีชีวิตที่ไม่ต้องลำบากเหมือนกับตนเอง
ในเพลงวันต่อวันพี่ปูอาจจะแต่งให้รู้สึกดีในทำนองที่ว่าคนเราน่าจะพอใจแล้วที่ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อผ่านพ้นวันต่อวันแม้มันจะไม่มีอะไรใหม่ๆ เข้ามา
ทว่าสำหรับผมแล้วชีวิตในช่วงนั้น หลังข่มตาให้หลับ เรียนตามตรงว่าหลายครั้งมันไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมาเลยครับ
...
ปล. จบคอลัมน์เช่นนี้โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าภาพยนตร์ "สะบายดี 2 ไม่มีคำตอบจาก...ปากเซ" เป็นหนังเศร้าสลดหดหู่นะครับ หนังน่ารัก ตลก ดูเพลินๆ ถ้ามีโอกาสก็ขอแนะนำให้หามาดูกัน
เพลงวันต่อวัน/พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
เช้าวันใหม่ ตื่นนอนคล้ายๆ กัน เดินทางดั่งทุกวันเพื่ออกฝ่าฟัน ปัญหาความเป็นอยู่
หวังแค่เพียง ผ่านวันได้พ้นวัน มีชีวิตถึงวันรุ่งเช้าตื่นนอน เหมือนกันอย่างวานซืน
ชีวิตหนึ่ง พ้นวันคืนหนึ่ง ก็ดีใจ คิดปีนป่าย ตามฝัน สุดทางได้แค่นี้ ได้แค่นี้ เท่านี้ก็เพียงพอ ได้ฝันไปวันๆ หนึ่งคืนถึงอีกวัน
มีชีวิตได้เจอ คนรักคนเก่า ได้เดินบนถนสายเก่า ขึ้นรถเมล์คันเก่า กินเหล้าก็ที่เก่า ได้เจอเพื่อนเก่าๆ นั่งคุยเรื่องเก่าๆ
มีชีวิตถึงพรุ่งนี้ และพรุ่งนี้ และพรุ่งนี้ และพรุ่งนี้ มีชีวิตถึงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ สุดทางได้แค่นี้ สุดทางได้แค่นี้ ชีวิตแบบเก่าๆ ใจหนอใจเรา