ต้องบอกว่าไม่บ้าก็เพี้ยนไปแล้วล่ะครับสำหรับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในนามของ นปช. ตลอดห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการนำเลือดไปสาด-เทพร้อมๆ กับทำพิธีทางไสยศาสตร์
เห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกสมเพชและหดหู่เสียเหลือเกินกับการกระทำของผู้ที่ควรจะมี "สติ-ปัญญา" และเป็นผู้นำในการชักชวนให้คนคิดดี-ทำดี อย่างพราหมณ์-พระสงฆ์ แต่กลับมามอมเมาผู้คนให้เกิดความอาฆาตแค้นด้วยคาถาอาคมมนต์ดำเสียเอง
มันน่าดู น่าชื่นชม น่าสรรเสริญมากมั้ยล่ะครับกับภาพของคนที่แต่งตัวเป็นพราหมณ์แล้วเอาส้นตีนเหยียบบนกองเลือดก่อนจะยกส้นตีนถีบไปที่เสาประตูทำเนียบฯ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเผยแพร่ออกมา?
จริงครับ มันอาจจะเป็นสิทธิ์ของผู้ชุมนุมที่พร้อมยินดีให้ผู้อื่นเจาะเลือดเอาไปเททิ้งเรี่ยราดหรือเหยียบย่ำเล่น แต่ก็ต้องถามกันตรงๆ ละครับว่านี่หรือคือการเคลื่อนไหวการแก้ไขปัญหาของคนที่มีสติ-ปัญญา และเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง?
ถ้าใครคิดหรือมองว่านี่คือการเสียสละ การทำเพื่อชาติ เป็นแนวทางการต่อสู้อย่างสันติของประชาชนรากหญ้าผู้บริสุทธิ์และรักประชาธิปไตยที่เข้าใจว่ารัฐบาลไม่เหลียวแล ผมในฐานะของคนไทยคนหนึ่งล่ะครับที่จะไม่ขอรับหรือรู้สึกเป็นบุญเป็นคุณอะไรกับวิธีการไร้สมองเช่นนี้
แรกๆ ผมเองรู้สึกว่า "เข้าใจ" กับคนทั่วไปที่มาร่วมชุมนุม ซึ่งผมเชื่อว่าพวกมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ มาเพราะรักชาติจริงๆ หากแต่อาจจะถูกปลุกปั่นอารมณ์-ความคิดด้วยข้อมูลข่าวสารและการชักนำที่ผิดๆ
แต่เห็นการกระทำในหลายๆ อย่างที่คนเสื้อแดงแสดงออกมา ถึงตรงนี้ก็ชักไม่แน่ใจแล้วครับว่าผมเข้าใจถูก
เหตุเพราะหลายๆ เรื่องราว หลายๆ ประเด็นที่นำมาพูดกันบนเวทีนั้นผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ยากสลับซับซ้อนหรือต้องใช้ปัญญาอะไรมากมายเลยครับที่จะพิจารณาตัดสินว่าควรเชื่อหรือไม่? เรื่องจริงหรือเท็จ? (อาทิ ข้อมูลนายกฯ คนปัจจุบันหนีทหาร, นายกฯ สั่งฆ่าคน(เสื้อแดง)เมื่อเดือนเมษาปีที่แล้ว ฯ) ซึ่งดูเหมือนว่าผู้ที่มาชุมนุมส่วนใหญ่จะไม่ได้สนใจในเรื่องของเหตุและผลแล้ว หากแต่ตัดสินแล้วว่าจะเชื่อกับทุกๆ อย่างที่ถูกส่งผ่านออกมา
ที่สำคัญดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะมองเรื่อง "ส่วนตัว" โดยท่องเป็นอยู่อย่างเดียวว่า คนชื่อทักษิณ ชินวัตร คือคนเก่ง เป็นคนรวยที่เห็นใจคนจน ความผิดหรือเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นก็เพราะถูกคนอื่นอิจฉาถูกกลั่นแกล้ง และทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว(ย้ำว่าเพียงคนเดียว) เท่านั้นที่จะทำให้ประเทศและคนไทย รวย รวย รวย และ รวย โดยไม่สนที่จะมองถึงการผิดหลักการ การละเมิดกฏหมาย หรือมีการใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์เข้าตัว เอารัดเอาเปรียบเหยียบหัวคู่แข่ง ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆ หากคนส่วนใหญ่ของสังคมคิดเช่นนี้
ถามจริงๆ เถอะครับว่า เชื่อหรือครับว่าไอ้-อีคนพวกที่พาท่านออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมนั้นมันทำเพื่อปากท้องของตัวท่าน เพื่ออนาคตลูกหลานของท่าน เพื่ออนาคตของประเทศ หรือเพื่อประชาธิปไตยอะไรตามที่มันกล่าวอ้าง
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่า แต่ละตัวที่ขึ้นไปตะโกนปาวๆ อยู่บนเวทีนั้นมีประวัติ-มีความรู้-มีการศึกษาน่าเชื่อถือขนาดไหน?
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่า ไอ้คำปราศรัยที่ถูกพ่นออกมานั้นมันมีเนื้อหา-สาระความเป็นจริงอะไรให้จับต้องได้บ้าง?
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่า ไม่ใช่ไอ้คนที่มันคิดแบบ "ทุนนิยม" ที่ท่านเคารพบูชาหรอกหรือที่เป็นตัวถีบให้ช่องว่างระหว่าง "ฐานะ" ของคนในชาติเพิ่มขึ้น
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่า ใครกันแน่ที่ไม่อยากให้พวกท่านมีความรู้ มีความฉลาด มีสติปัญญา ระหว่างคนที่มันบูชา "ทุน" ที่ต้องแสวงผลประโยชน์หากินกับกิเลสความใคร่อยากใคร่ได้ใคร่มีของมนุษย์ กับบุคคลที่สอนให้ท่านรู้จักความพอเพียงและใช้ชีวิตอย่างเพียงพอ
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่ารูปแบบชีวิตเช่นใดที่จะทำให้เราอยู่อย่างยั่งยืน ไม่เป็นเหมือนปรากฏการณ์ต้มยำกุ้ง หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
แล้วก็ขอโทษนะครับ ไอ้ที่ท่านๆ รู้สึกว่าตัวท่านเองถูกดูถูก ถูกเอารัดเอาเปรียบ เป็นคนจนมาจากบ้านนอกต้องเป็นคนชั้นสอง เป็นคนรากหญ้า หรือเป็นไพร่อะไรเนี่ย ใครเป็นคนแบ่ง ใครเป็นคนบัญญัติคำพวกนี้ขึ้นมา?
ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่สาบานให้ฟ้าผ่าตายว่าผมไม่เคยได้ยินคำพูดในลักษณะทำนองนี้หลุดออกมาจากปากของคนที่ถูกมองว่าเป็นศัรตูของท่านอย่างนายกรัฐมนตรีที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเลยสักแอะ
จะมีก็แต่บรรดาแกนนำบนเวทีซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณชองท่านไปแล้วนั่นแหละที่พูดกรอกหูเช้าเย็น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าย้ำให้ท่านรู้สึกถึงความเป็นคนที่ด้อยค่า ไร้ศักดิ์ศรี ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
ภูมิใจกันมากหรือครับที่เป็น "คนไทย" อยู่ดีๆ ก็มีคนมายัดเยียดความเป็นไพร่ให้
แน่นอนครับว่า ใครๆ ไม่ว่าจะอาชีพอะไร จะเป็นชาวนา กรรมกร คนขับแท็กซี่ ข้าราชการ ฯ ทุกๆ คนก็อยากจะมีฐานะความเป็นอยู่-มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่มันจะเกิดขึ้นมั้ยล่ะครับหากในเบื้องต้นท่านไม่เคยรู้สึกภูมิใจถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ในอาชีพที่ทำหรือสิ่งที่ท่านเป็น จนไม่คิดที่จะไขว่คว้าหาความรู้พัฒนาเพิ่มศักยภาพตัวเองไปหาในสิ่งที่ดีกว่า แล้วเอาแต่นั่งงอมืองอเท้า กร่นด่าโชคชะตา หรือเฝ้าแต่ร้องเรียกขอรอให้คนอื่นเอาสิ่งที่ต้องการมาป้อนให้
ผมเองดูรายการทีวีหลายๆ รายการ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ "ปราชญ์เดินดิน" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ก็เห็นมีชาวบ้านในหลายๆ หมู่บ้านเลยครับที่เขามีการรวมตัวกัน ช่วยเหลือกันอย่างเป็นระบบจนสามารถอยู่ได้อย่างสบายและยั่งยืนในอาชีพที่ทำจะเป็นการทำนา ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ฯ โดยไม่ต้องง้อความช่วยเหลือจากทางภาครัฐฯ เข้ามาด้วยซ้ำไป
ก็แล้วแต่จะคิดกันนะครับ เพียงแต่ถ้ามีใครสักคนมาเหมารวมหรือชวนผมไปชุมนุมในสถานะไพร่ ผมเองก็คงจะยิ้มตอบรับอย่างยินดี
หากในใจนั้นขอบอกด้วยเสียงดังๆ ว่า...ชวนบิดา-มารดาคุณก่อนมั้ย? แต่ด้วยสำเนียงภาษาสมัยพ่อขุนรามนะครับ
...
พูดถึงเรื่องของการนำเสนอ "ข้อมูล-ข่าวสารที่เป็นเท็จ" แล้ว ก็ขอปิดท้ายกันด้วยภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาลักษณะดังกล่าวที่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้ดูมา
หนังชื่อ GREEN ZONE (โคตรคนระห่ำ ฝ่าโซนเดือด) ครับ (เข้าใจว่าน่าจะลงโรงฉายอยู่) เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของผู้กำกับชื่อดัง "พอล กรีนกราส" กับ "แมตต์ เดม่อน" ในบทบาทของ พันจ่า รอย มิลเลอร์ นายทหารชั้นประทวนประจำกองทัพสหรัฐ ที่ได้รับมอบหมายในการนำทีมสืบสวนเข้าไปค้นหาอาวุธเคมีร้ายแรงของ "ซัดดัม ฮุสเซน" ที่ถูกโค่นลงซึ่งถูกซ่อนเอาไว้อันเป็นเหตุผลของความ "ชอบธรรม" ที่ทำให้อเมริกาและพันธมิตรต้องส่งกองกำลังทหารเข้าไปทำสงครามในประเทศอิรัก
แต่ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ไหนๆ พวกเขาก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่า และนั่นเองที่ทำให้จ่ารอยของเราเกิดความสงสัยว่าข้อมูลที่ถูกส่งมานั้นมีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
หลังจากที่ได้มีโอกาสพบกับเจ้าหน้าที่ซีไอเอผู้มากประสบการณ์และนักข่าวหญิงคนหนึ่ง พระเอกของเราก็พบว่าข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธร้ายแรงที่ว่ามีที่มาจากแหล่งข่าวที่ใช้ชื่อว่า "มาแจลแลน"
และเมื่อยิ่งเขาปะติดปะต่อเรื่องได้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขาต้องเข้าไปเผชิญกับความขัดแย้งทั้งกับฝ่ายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม-เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยรบพิเศษ รวมไปถึงกลุ่มคนอิรักที่มีอิทธิพล
ใครที่คาดเดาว่าหนังจะสนุก ตื่นเต้น เต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่น มีเรื่องราวสลับซับซ้อน เหมือนกับที่ทั้งสองเคยทำให้เห็นมาแล้วใน The Bourne ต้องบอกว่าอาจจะผิดหวัง เพราะหนังพยายามเน้นในเรื่องของความเป็นดราม่าเข้ามา แต่กระนั้นในเรื่องของโปรดักชันก็ต้องบอกว่าสุดยอดครับ ทั้งมุมกล้อง ฉากและบรรยากาศต่างๆ ที่ดูสมจริง
อารมณ์และบทสรุปของหนังเป็นอย่างไร? ถ้าใครที่ติดตามข่าวคราวของอเมริกาที่พยายามเข้าไปจัดระเบียบ ตั้งประเทศให้คนอิรักแล้ว ผมว่าคงเดาทางของหนังเรื่องนี้และตอนจบได้ไม่ยากครับ
บางทีอาจจะง่ายกว่าตอนจบในการออกมาของคนเสื้อแดงที่อ้างเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น อ้างการเสียสละเพื่อประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์ของนักโทษหนีคดี "ทักษิณ ชินวัตร" เสียด้วยซ้ำไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการนำเลือดไปสาด-เทพร้อมๆ กับทำพิธีทางไสยศาสตร์
เห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกสมเพชและหดหู่เสียเหลือเกินกับการกระทำของผู้ที่ควรจะมี "สติ-ปัญญา" และเป็นผู้นำในการชักชวนให้คนคิดดี-ทำดี อย่างพราหมณ์-พระสงฆ์ แต่กลับมามอมเมาผู้คนให้เกิดความอาฆาตแค้นด้วยคาถาอาคมมนต์ดำเสียเอง
มันน่าดู น่าชื่นชม น่าสรรเสริญมากมั้ยล่ะครับกับภาพของคนที่แต่งตัวเป็นพราหมณ์แล้วเอาส้นตีนเหยียบบนกองเลือดก่อนจะยกส้นตีนถีบไปที่เสาประตูทำเนียบฯ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเผยแพร่ออกมา?
จริงครับ มันอาจจะเป็นสิทธิ์ของผู้ชุมนุมที่พร้อมยินดีให้ผู้อื่นเจาะเลือดเอาไปเททิ้งเรี่ยราดหรือเหยียบย่ำเล่น แต่ก็ต้องถามกันตรงๆ ละครับว่านี่หรือคือการเคลื่อนไหวการแก้ไขปัญหาของคนที่มีสติ-ปัญญา และเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง?
ถ้าใครคิดหรือมองว่านี่คือการเสียสละ การทำเพื่อชาติ เป็นแนวทางการต่อสู้อย่างสันติของประชาชนรากหญ้าผู้บริสุทธิ์และรักประชาธิปไตยที่เข้าใจว่ารัฐบาลไม่เหลียวแล ผมในฐานะของคนไทยคนหนึ่งล่ะครับที่จะไม่ขอรับหรือรู้สึกเป็นบุญเป็นคุณอะไรกับวิธีการไร้สมองเช่นนี้
แรกๆ ผมเองรู้สึกว่า "เข้าใจ" กับคนทั่วไปที่มาร่วมชุมนุม ซึ่งผมเชื่อว่าพวกมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ มาเพราะรักชาติจริงๆ หากแต่อาจจะถูกปลุกปั่นอารมณ์-ความคิดด้วยข้อมูลข่าวสารและการชักนำที่ผิดๆ
แต่เห็นการกระทำในหลายๆ อย่างที่คนเสื้อแดงแสดงออกมา ถึงตรงนี้ก็ชักไม่แน่ใจแล้วครับว่าผมเข้าใจถูก
เหตุเพราะหลายๆ เรื่องราว หลายๆ ประเด็นที่นำมาพูดกันบนเวทีนั้นผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ยากสลับซับซ้อนหรือต้องใช้ปัญญาอะไรมากมายเลยครับที่จะพิจารณาตัดสินว่าควรเชื่อหรือไม่? เรื่องจริงหรือเท็จ? (อาทิ ข้อมูลนายกฯ คนปัจจุบันหนีทหาร, นายกฯ สั่งฆ่าคน(เสื้อแดง)เมื่อเดือนเมษาปีที่แล้ว ฯ) ซึ่งดูเหมือนว่าผู้ที่มาชุมนุมส่วนใหญ่จะไม่ได้สนใจในเรื่องของเหตุและผลแล้ว หากแต่ตัดสินแล้วว่าจะเชื่อกับทุกๆ อย่างที่ถูกส่งผ่านออกมา
ที่สำคัญดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะมองเรื่อง "ส่วนตัว" โดยท่องเป็นอยู่อย่างเดียวว่า คนชื่อทักษิณ ชินวัตร คือคนเก่ง เป็นคนรวยที่เห็นใจคนจน ความผิดหรือเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นก็เพราะถูกคนอื่นอิจฉาถูกกลั่นแกล้ง และทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว(ย้ำว่าเพียงคนเดียว) เท่านั้นที่จะทำให้ประเทศและคนไทย รวย รวย รวย และ รวย โดยไม่สนที่จะมองถึงการผิดหลักการ การละเมิดกฏหมาย หรือมีการใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์เข้าตัว เอารัดเอาเปรียบเหยียบหัวคู่แข่ง ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆ หากคนส่วนใหญ่ของสังคมคิดเช่นนี้
ถามจริงๆ เถอะครับว่า เชื่อหรือครับว่าไอ้-อีคนพวกที่พาท่านออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมนั้นมันทำเพื่อปากท้องของตัวท่าน เพื่ออนาคตลูกหลานของท่าน เพื่ออนาคตของประเทศ หรือเพื่อประชาธิปไตยอะไรตามที่มันกล่าวอ้าง
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่า แต่ละตัวที่ขึ้นไปตะโกนปาวๆ อยู่บนเวทีนั้นมีประวัติ-มีความรู้-มีการศึกษาน่าเชื่อถือขนาดไหน?
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่า ไอ้คำปราศรัยที่ถูกพ่นออกมานั้นมันมีเนื้อหา-สาระความเป็นจริงอะไรให้จับต้องได้บ้าง?
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่า ไม่ใช่ไอ้คนที่มันคิดแบบ "ทุนนิยม" ที่ท่านเคารพบูชาหรอกหรือที่เป็นตัวถีบให้ช่องว่างระหว่าง "ฐานะ" ของคนในชาติเพิ่มขึ้น
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่า ใครกันแน่ที่ไม่อยากให้พวกท่านมีความรู้ มีความฉลาด มีสติปัญญา ระหว่างคนที่มันบูชา "ทุน" ที่ต้องแสวงผลประโยชน์หากินกับกิเลสความใคร่อยากใคร่ได้ใคร่มีของมนุษย์ กับบุคคลที่สอนให้ท่านรู้จักความพอเพียงและใช้ชีวิตอย่างเพียงพอ
มีสติแล้วลองพิจารณาดูดีๆ สิครับว่ารูปแบบชีวิตเช่นใดที่จะทำให้เราอยู่อย่างยั่งยืน ไม่เป็นเหมือนปรากฏการณ์ต้มยำกุ้ง หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
แล้วก็ขอโทษนะครับ ไอ้ที่ท่านๆ รู้สึกว่าตัวท่านเองถูกดูถูก ถูกเอารัดเอาเปรียบ เป็นคนจนมาจากบ้านนอกต้องเป็นคนชั้นสอง เป็นคนรากหญ้า หรือเป็นไพร่อะไรเนี่ย ใครเป็นคนแบ่ง ใครเป็นคนบัญญัติคำพวกนี้ขึ้นมา?
ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่สาบานให้ฟ้าผ่าตายว่าผมไม่เคยได้ยินคำพูดในลักษณะทำนองนี้หลุดออกมาจากปากของคนที่ถูกมองว่าเป็นศัรตูของท่านอย่างนายกรัฐมนตรีที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเลยสักแอะ
จะมีก็แต่บรรดาแกนนำบนเวทีซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณชองท่านไปแล้วนั่นแหละที่พูดกรอกหูเช้าเย็น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าย้ำให้ท่านรู้สึกถึงความเป็นคนที่ด้อยค่า ไร้ศักดิ์ศรี ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
ภูมิใจกันมากหรือครับที่เป็น "คนไทย" อยู่ดีๆ ก็มีคนมายัดเยียดความเป็นไพร่ให้
แน่นอนครับว่า ใครๆ ไม่ว่าจะอาชีพอะไร จะเป็นชาวนา กรรมกร คนขับแท็กซี่ ข้าราชการ ฯ ทุกๆ คนก็อยากจะมีฐานะความเป็นอยู่-มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่มันจะเกิดขึ้นมั้ยล่ะครับหากในเบื้องต้นท่านไม่เคยรู้สึกภูมิใจถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ในอาชีพที่ทำหรือสิ่งที่ท่านเป็น จนไม่คิดที่จะไขว่คว้าหาความรู้พัฒนาเพิ่มศักยภาพตัวเองไปหาในสิ่งที่ดีกว่า แล้วเอาแต่นั่งงอมืองอเท้า กร่นด่าโชคชะตา หรือเฝ้าแต่ร้องเรียกขอรอให้คนอื่นเอาสิ่งที่ต้องการมาป้อนให้
ผมเองดูรายการทีวีหลายๆ รายการ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ "ปราชญ์เดินดิน" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ก็เห็นมีชาวบ้านในหลายๆ หมู่บ้านเลยครับที่เขามีการรวมตัวกัน ช่วยเหลือกันอย่างเป็นระบบจนสามารถอยู่ได้อย่างสบายและยั่งยืนในอาชีพที่ทำจะเป็นการทำนา ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ฯ โดยไม่ต้องง้อความช่วยเหลือจากทางภาครัฐฯ เข้ามาด้วยซ้ำไป
ก็แล้วแต่จะคิดกันนะครับ เพียงแต่ถ้ามีใครสักคนมาเหมารวมหรือชวนผมไปชุมนุมในสถานะไพร่ ผมเองก็คงจะยิ้มตอบรับอย่างยินดี
หากในใจนั้นขอบอกด้วยเสียงดังๆ ว่า...ชวนบิดา-มารดาคุณก่อนมั้ย? แต่ด้วยสำเนียงภาษาสมัยพ่อขุนรามนะครับ
...
พูดถึงเรื่องของการนำเสนอ "ข้อมูล-ข่าวสารที่เป็นเท็จ" แล้ว ก็ขอปิดท้ายกันด้วยภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาลักษณะดังกล่าวที่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้ดูมา
หนังชื่อ GREEN ZONE (โคตรคนระห่ำ ฝ่าโซนเดือด) ครับ (เข้าใจว่าน่าจะลงโรงฉายอยู่) เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของผู้กำกับชื่อดัง "พอล กรีนกราส" กับ "แมตต์ เดม่อน" ในบทบาทของ พันจ่า รอย มิลเลอร์ นายทหารชั้นประทวนประจำกองทัพสหรัฐ ที่ได้รับมอบหมายในการนำทีมสืบสวนเข้าไปค้นหาอาวุธเคมีร้ายแรงของ "ซัดดัม ฮุสเซน" ที่ถูกโค่นลงซึ่งถูกซ่อนเอาไว้อันเป็นเหตุผลของความ "ชอบธรรม" ที่ทำให้อเมริกาและพันธมิตรต้องส่งกองกำลังทหารเข้าไปทำสงครามในประเทศอิรัก
แต่ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ไหนๆ พวกเขาก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่า และนั่นเองที่ทำให้จ่ารอยของเราเกิดความสงสัยว่าข้อมูลที่ถูกส่งมานั้นมีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
หลังจากที่ได้มีโอกาสพบกับเจ้าหน้าที่ซีไอเอผู้มากประสบการณ์และนักข่าวหญิงคนหนึ่ง พระเอกของเราก็พบว่าข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธร้ายแรงที่ว่ามีที่มาจากแหล่งข่าวที่ใช้ชื่อว่า "มาแจลแลน"
และเมื่อยิ่งเขาปะติดปะต่อเรื่องได้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขาต้องเข้าไปเผชิญกับความขัดแย้งทั้งกับฝ่ายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม-เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยรบพิเศษ รวมไปถึงกลุ่มคนอิรักที่มีอิทธิพล
ใครที่คาดเดาว่าหนังจะสนุก ตื่นเต้น เต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่น มีเรื่องราวสลับซับซ้อน เหมือนกับที่ทั้งสองเคยทำให้เห็นมาแล้วใน The Bourne ต้องบอกว่าอาจจะผิดหวัง เพราะหนังพยายามเน้นในเรื่องของความเป็นดราม่าเข้ามา แต่กระนั้นในเรื่องของโปรดักชันก็ต้องบอกว่าสุดยอดครับ ทั้งมุมกล้อง ฉากและบรรยากาศต่างๆ ที่ดูสมจริง
อารมณ์และบทสรุปของหนังเป็นอย่างไร? ถ้าใครที่ติดตามข่าวคราวของอเมริกาที่พยายามเข้าไปจัดระเบียบ ตั้งประเทศให้คนอิรักแล้ว ผมว่าคงเดาทางของหนังเรื่องนี้และตอนจบได้ไม่ยากครับ
บางทีอาจจะง่ายกว่าตอนจบในการออกมาของคนเสื้อแดงที่อ้างเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น อ้างการเสียสละเพื่อประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์ของนักโทษหนีคดี "ทักษิณ ชินวัตร" เสียด้วยซ้ำไป