โดย...ผศ.ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
พฤติกรรมการประกอบพิธีกรรมของม็อบเสื้อแดงนำโดยนายศักดิ์ระพี พรหมชาติ แบ่งเป็น 2 ประการ คือ 1.การใช้ผรุสวาทสาปแช่งฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและ 2. การใช้เลือดสดเทที่ทำเนียบรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งสองอย่างเป็นพิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่ประเทศไทยรับจากอินเดีย ผมจะอธิบายที่มาที่ไปในสามแง่มุมหลัก ประเด็นแรก พิธีกรรมสาปแช่งนั้นสืบสาวไปถึงคัมภีร์อถรรพเวทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประเด็นที่สอง พิธีกรรมเทเลือดสืบสาวไปถึงลัทธิบูชาเจ้าแม่กาลี ประเด็นที่สาม จะตอบคำถามว่าเหตุใดพิธีกรรมพราหมณ์เช่นนี้จึงแพร่หลายในประเทศไทย
การทำพิธีสาปแช่งฝ่ายตรงข้ามด้วยผรุสวาทเป็นหนึ่งในพิธีกรรมศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพระเวท คัมภีร์เก่าแก่ที่สุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเดิมทีมีสามหมวดเรียกกันว่า ‘ตฺรยีวิทฺยา’ หรือ ‘ไตรเพท’ กล่าวคือฤคเวท, ยชุรเวทและสามเวท ต่อมา เพิ่มเข้าไปอีกหมวดคือคัมภีร์อถรรพเวท จึงนับรวมกันเป็น ‘จตุรเวท’ คัมภีร์ที่จัดเข้าในหมวดอถรรพเวทนี้เต็มไปด้วยคาถาอาคม
การสาปแช่งและการทำเสน่ห์ นักวิชา การทางด้านบูรพคดีศึกษาสันนิษฐานว่าคัมภีร์หมวดนี้ชาวอารยันอินเดียแต่งขึ้น ใหม่โดยได้รับอิทธิพลจากความเชื่อพื้นเมืองเดิมซึ่งอาศัยอยู่ในอินเดียแต่โบราณ พราหมณ์อ้างว่าบทมันตระหรือคาถาอาคมที่อยู่ในคัมภีร์อถรรพเวทนั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติและประกาศพระศาสนาไล่หลังตามมา พระองค์ได้ตรัสว่าการใช้คาถาอาคมแบบอถรรพเวทนั้นเป็นเดรัจฉานวิชา ไม่ได้นำไปสู่การดับทุกข์จริง
การสวดพระปริตรของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์กว่า ผมเคยทำวิจัยเชิงเปรียบเทียบด้านเนื้อหาระหว่างการท่องพระปริตรในพระพุทธศาสนากับการใช้คาถาอาคมในคัมภีร์อถรรพเวทของพราหมณ์พบว่าเนื้อหาต่างกันสิ้นเชิง ขณะที่อถรรพเวทเน้นให้สาปแช่งฝ่ายตรงข้ามวอดวายหรือฉิบหาย หรือเจ็บไข้ได้ป่วยจนเสียชีวิต พระปริตรทางพระพุทธศาสนาสอนให้แผ่เมตตาเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นมิตร มีความสงบสุขและไม่มีเวรไม่มีภัยต่อกัน
ส่วนการใช้เลือดคนหรือสัตว์เพื่อไปเทที่ทำเนียบรัฐบาลหรือที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นวิธีบูชาอะไร? คำตอบก็คือเป็นพิธีกรรมหรือยัญพิธีเพื่อบูชาเจ้าแม่กาลีในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประเทศอินเดียมีลัทธิบูชาเจ้าแม่หลายนาม เช่น ปฤถิวีบูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่ปฤถิวีหรือเจ้าแม่ธรณี), คงคาปูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่คงคา), กาลีปูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่กาลี), ปารวตีปูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่ปารวตี), ไภรวีบูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่ไภรวี), อุมาบูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่อุมา) ฯลฯ พิธีกรรมบูชาเหล่านี้ที่จริงแล้วมีมาแต่โบราณ แพร่หลายและกระจัดกระจายตามท้องที่ต่างๆ ต่อมาในยุคที่ลัทธิตันตระของฮินดูแพร่หลาย ลัทธิบูชาเจ้าแม่เหล่านี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับลัทธิศักติซึ่งเป็นลัทธิที่เชื่อว่าเทวี หรือเจ้าแม่คือที่มาของพลังทั้งปวงในจักรวาล ถ้าอยากได้ความมั่งคั่งศรีสุขหรือสวัสดีมงคลก็ต้องประกอบพิธีบูชาเจ้าแม่เหล่านี้
เดิมทีต่างคนก็ต่างบูชาคนละเจ้าแม่ แต่ตอนหลัง บรรดาพราหมณ์เห็นว่าถ้าผู้คนบูชาเทวีหรือเจ้าแม่แตกต่างกันตามท้องถิ่นต่างๆเช่นนี้อยู่อาจทำให้ผู้คนแตกแยกกันได้เพราะความเชื่อเป็นเหตุ ดังนั้น จึงพยายามอธิบายใหม่ว่าแม้บรรดาเจ้าแม่เหล่านี้จะมีชื่อต่างกัน ทว่าแท้จริงแล้วเป็นเจ้าแม่องค์เดียวกันที่แบ่งภาคไป เจ้าแม่องค์เดียวที่ว่านั้นก็คือพระนางปารวตีซึ่งเป็นมเหสีของพระศิวะและเป็นแม่พระพิฆเนศและสกันทกุมาร เจ้าแม่ธรณี (หรืออีกนัยหนึ่งคือเจ้าแม่ปฤถิวี) ที่พรรคประชาธิปัตย์บูชา แท้จริงแล้วก็คือพระนางปารวตีนั่นเอง
พระนางปารวตีท่านไปปรากฏตัวในชื่อต่างๆ ให้ผู้คนบูชาตามที่ต่างๆก็เพื่ออำนวยสุขให้หมู่สัตว์ที่อยู่ต่างถิ่นต่างที่กัน พราหมณ์ผู้แต่งคัมภีร์ในชั้นหลังให้รายละเอียดว่าพระนามของพระนางปารวตีมีทั้งหมด 108 ชื่อที่พระองค์ถูกเรียกเพื่อกราบไหว้บูชาตามท้องถิ่นต่างๆ ของอินเดีย บรรดาเจ้าแม่ที่ปรากฏชื่อต่างกันเหล่านี้มักมีบุคลิกลักษณะต่างกัน เช่น พระนางปารวตีหรือเจ้าแม่ธรณี (เจ้าแม่ปฤถิวี) มีภาพลักษณ์ของเทวีที่อ่อนโยนและมีเมตตากรุณาต่อหมู่สัตว์
ส่วนภาพลักษณ์เจ้าแม่กาลีก็คือภาพที่ชั่วร้าย บันดาลโทสะง่ายและสามารถนำความฉิบหายหรือความย่อยยับมาให้หากไม่เคารพบูชา เพื่อให้ผู้คนเกรงขามเจ้าแม่กาลีมากขึ้น พราหมณ์ก็ได้ช่วยกันแต่งคัมภีร์พรรณนาว่าความยากจน ความอัปมงคลทั้งปวง ความโชคร้าย การประสบเคราะห์กรรมต่างๆ การทำมาค้าไม่ขึ้น ฯลฯ ทุกอย่างล้วนเป็นการดลบันดาลของเจ้าแม่กาลีทั้งสิ้น วิธีป้องกันที่ดีก็คือต้องทำพลีกรรมหรือประกอบพิธีบูชายัญให้เจ้าแม่กาลีนั่นเอง
นักวิชาการสายบูรพคดีศึกษาได้อธิบายว่าแนวคิดเรื่องเจ้าแม่กาลีนี้มีร่องรอยในคัมภีร์ฤคเวท ซึ่งเป็นหมวดคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดของคนอินเดีย (แต่งประมาณ 1,300 กว่าปีก่อนคศ.) เพราะในคัมภีร์ฤคเวทเล่ม 10 บทสวด(สูกฺต)ที่ 127 (RV X:127) ที่เรียกว่า ‘ราตฺริสูกฺต’ ซึ่งเป็นบทสวดที่กล่าวยกย่องเจ้าแม่แห่งราตรีหรือความมืดว่าเป็นพลังของจักรวาลทั้งปวง สอดคล้องกับลักษณะเจ้าแม่กาลีกล่าวคือดุร้าย เป็นเทพีแห่งความมืดและมีผิวดำ
อย่างไรก็ดี สมัยพระเวทนั้น พิธีบูชาไม่แพร่หลาย พระนามเจ้าแม่กาลีมามีกล่าวถึงแพร่หลายราว ค.ศ. 600 ในคัมภีร์หมวดปุราณะสองเล่มกล่าวคืออัคนิปุราณะและครุฑปุราณะซึ่งเป็นคัมภีร์ในสังกัดไวษณพนิกาย ช่วงนี้มีการนำเจ้าแม่กาลีไปพัฒนาในลัทธิตันตระ โดยเจ้าแม่กาลีได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ศักติ’ (ตัวพลังอำนาจ) ของเทพศิวะที่มีอำนาจทำลายโลกหรือนำความฉิบหายมาสู่มนุษย์ได้หากมนุษย์ยุติการทำเซ่นสรวงพลีกรรมให้เจ้าแม่กาลี
เจ้าแม่กาลีนิยมเลือดสดเป็นพิเศษ ดังนั้นในหลายๆ ชุมชนในอินเดีย รูปปั้นหรือประติมากรรมเจ้าแม่กาลีมักถูกสร้างเป็นรูปขณะดื่มเลือดสดๆ โดยมีเลือดสดๆ ไหลย้อยออกมาทางริมฝีปาก คัมภีร์ปุราณะได้อธิบายว่ามีอสูรตนหนึ่งนามว่ารักตพีชะ ได้บำเพ็ญตบะจนแก่กล้าแล้วได้รับพรจากพระพรหมว่าอย่าได้ให้ใครสังหารได้ง่ายๆ ถ้าได้รับอันตรายจนต้องหลั่งเลือดหล่นลงพื้นดิน ขอให้แต่ละหยดเลือดเหล่านี้สร้างอสูรตนหนึ่งขึ้นมาแทนที่ได้เพื่อให้เผ่าพงศ์อสูรของตนไม่มีวันตายไปจากโลก เหล่าเทวดาจึงไม่กล้าต่อกรกับอสูรอมตะตนนี้ แต่ขณะที่เหล่าเทวดารบกับอสูรตนนี้จวนเจียนจะพ่ายแพ้ เจ้าแม่กาลีก็ปรากฏตัวมาช่วยฆ่าอสูรแล้วดูดกลืนเลือดทุกหยดของอสูรมิให้ตกถึงพื้นดิน การเสวยเลือดอสูรในวันนั้นทำให้เจ้าแม่กาลีติดใจรสเลือด ดังนั้น จึงโปรดเลือดโดยเฉพาะเลือดสดๆ เป็นพิเศษ (อ่านต่อวันจันทร์หน้า)
พฤติกรรมการประกอบพิธีกรรมของม็อบเสื้อแดงนำโดยนายศักดิ์ระพี พรหมชาติ แบ่งเป็น 2 ประการ คือ 1.การใช้ผรุสวาทสาปแช่งฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและ 2. การใช้เลือดสดเทที่ทำเนียบรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งสองอย่างเป็นพิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่ประเทศไทยรับจากอินเดีย ผมจะอธิบายที่มาที่ไปในสามแง่มุมหลัก ประเด็นแรก พิธีกรรมสาปแช่งนั้นสืบสาวไปถึงคัมภีร์อถรรพเวทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประเด็นที่สอง พิธีกรรมเทเลือดสืบสาวไปถึงลัทธิบูชาเจ้าแม่กาลี ประเด็นที่สาม จะตอบคำถามว่าเหตุใดพิธีกรรมพราหมณ์เช่นนี้จึงแพร่หลายในประเทศไทย
การทำพิธีสาปแช่งฝ่ายตรงข้ามด้วยผรุสวาทเป็นหนึ่งในพิธีกรรมศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพระเวท คัมภีร์เก่าแก่ที่สุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเดิมทีมีสามหมวดเรียกกันว่า ‘ตฺรยีวิทฺยา’ หรือ ‘ไตรเพท’ กล่าวคือฤคเวท, ยชุรเวทและสามเวท ต่อมา เพิ่มเข้าไปอีกหมวดคือคัมภีร์อถรรพเวท จึงนับรวมกันเป็น ‘จตุรเวท’ คัมภีร์ที่จัดเข้าในหมวดอถรรพเวทนี้เต็มไปด้วยคาถาอาคม
การสาปแช่งและการทำเสน่ห์ นักวิชา การทางด้านบูรพคดีศึกษาสันนิษฐานว่าคัมภีร์หมวดนี้ชาวอารยันอินเดียแต่งขึ้น ใหม่โดยได้รับอิทธิพลจากความเชื่อพื้นเมืองเดิมซึ่งอาศัยอยู่ในอินเดียแต่โบราณ พราหมณ์อ้างว่าบทมันตระหรือคาถาอาคมที่อยู่ในคัมภีร์อถรรพเวทนั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติและประกาศพระศาสนาไล่หลังตามมา พระองค์ได้ตรัสว่าการใช้คาถาอาคมแบบอถรรพเวทนั้นเป็นเดรัจฉานวิชา ไม่ได้นำไปสู่การดับทุกข์จริง
การสวดพระปริตรของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์กว่า ผมเคยทำวิจัยเชิงเปรียบเทียบด้านเนื้อหาระหว่างการท่องพระปริตรในพระพุทธศาสนากับการใช้คาถาอาคมในคัมภีร์อถรรพเวทของพราหมณ์พบว่าเนื้อหาต่างกันสิ้นเชิง ขณะที่อถรรพเวทเน้นให้สาปแช่งฝ่ายตรงข้ามวอดวายหรือฉิบหาย หรือเจ็บไข้ได้ป่วยจนเสียชีวิต พระปริตรทางพระพุทธศาสนาสอนให้แผ่เมตตาเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นมิตร มีความสงบสุขและไม่มีเวรไม่มีภัยต่อกัน
ส่วนการใช้เลือดคนหรือสัตว์เพื่อไปเทที่ทำเนียบรัฐบาลหรือที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นวิธีบูชาอะไร? คำตอบก็คือเป็นพิธีกรรมหรือยัญพิธีเพื่อบูชาเจ้าแม่กาลีในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประเทศอินเดียมีลัทธิบูชาเจ้าแม่หลายนาม เช่น ปฤถิวีบูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่ปฤถิวีหรือเจ้าแม่ธรณี), คงคาปูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่คงคา), กาลีปูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่กาลี), ปารวตีปูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่ปารวตี), ไภรวีบูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่ไภรวี), อุมาบูชา (ลัทธิบูชาเจ้าแม่อุมา) ฯลฯ พิธีกรรมบูชาเหล่านี้ที่จริงแล้วมีมาแต่โบราณ แพร่หลายและกระจัดกระจายตามท้องที่ต่างๆ ต่อมาในยุคที่ลัทธิตันตระของฮินดูแพร่หลาย ลัทธิบูชาเจ้าแม่เหล่านี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับลัทธิศักติซึ่งเป็นลัทธิที่เชื่อว่าเทวี หรือเจ้าแม่คือที่มาของพลังทั้งปวงในจักรวาล ถ้าอยากได้ความมั่งคั่งศรีสุขหรือสวัสดีมงคลก็ต้องประกอบพิธีบูชาเจ้าแม่เหล่านี้
เดิมทีต่างคนก็ต่างบูชาคนละเจ้าแม่ แต่ตอนหลัง บรรดาพราหมณ์เห็นว่าถ้าผู้คนบูชาเทวีหรือเจ้าแม่แตกต่างกันตามท้องถิ่นต่างๆเช่นนี้อยู่อาจทำให้ผู้คนแตกแยกกันได้เพราะความเชื่อเป็นเหตุ ดังนั้น จึงพยายามอธิบายใหม่ว่าแม้บรรดาเจ้าแม่เหล่านี้จะมีชื่อต่างกัน ทว่าแท้จริงแล้วเป็นเจ้าแม่องค์เดียวกันที่แบ่งภาคไป เจ้าแม่องค์เดียวที่ว่านั้นก็คือพระนางปารวตีซึ่งเป็นมเหสีของพระศิวะและเป็นแม่พระพิฆเนศและสกันทกุมาร เจ้าแม่ธรณี (หรืออีกนัยหนึ่งคือเจ้าแม่ปฤถิวี) ที่พรรคประชาธิปัตย์บูชา แท้จริงแล้วก็คือพระนางปารวตีนั่นเอง
พระนางปารวตีท่านไปปรากฏตัวในชื่อต่างๆ ให้ผู้คนบูชาตามที่ต่างๆก็เพื่ออำนวยสุขให้หมู่สัตว์ที่อยู่ต่างถิ่นต่างที่กัน พราหมณ์ผู้แต่งคัมภีร์ในชั้นหลังให้รายละเอียดว่าพระนามของพระนางปารวตีมีทั้งหมด 108 ชื่อที่พระองค์ถูกเรียกเพื่อกราบไหว้บูชาตามท้องถิ่นต่างๆ ของอินเดีย บรรดาเจ้าแม่ที่ปรากฏชื่อต่างกันเหล่านี้มักมีบุคลิกลักษณะต่างกัน เช่น พระนางปารวตีหรือเจ้าแม่ธรณี (เจ้าแม่ปฤถิวี) มีภาพลักษณ์ของเทวีที่อ่อนโยนและมีเมตตากรุณาต่อหมู่สัตว์
ส่วนภาพลักษณ์เจ้าแม่กาลีก็คือภาพที่ชั่วร้าย บันดาลโทสะง่ายและสามารถนำความฉิบหายหรือความย่อยยับมาให้หากไม่เคารพบูชา เพื่อให้ผู้คนเกรงขามเจ้าแม่กาลีมากขึ้น พราหมณ์ก็ได้ช่วยกันแต่งคัมภีร์พรรณนาว่าความยากจน ความอัปมงคลทั้งปวง ความโชคร้าย การประสบเคราะห์กรรมต่างๆ การทำมาค้าไม่ขึ้น ฯลฯ ทุกอย่างล้วนเป็นการดลบันดาลของเจ้าแม่กาลีทั้งสิ้น วิธีป้องกันที่ดีก็คือต้องทำพลีกรรมหรือประกอบพิธีบูชายัญให้เจ้าแม่กาลีนั่นเอง
นักวิชาการสายบูรพคดีศึกษาได้อธิบายว่าแนวคิดเรื่องเจ้าแม่กาลีนี้มีร่องรอยในคัมภีร์ฤคเวท ซึ่งเป็นหมวดคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดของคนอินเดีย (แต่งประมาณ 1,300 กว่าปีก่อนคศ.) เพราะในคัมภีร์ฤคเวทเล่ม 10 บทสวด(สูกฺต)ที่ 127 (RV X:127) ที่เรียกว่า ‘ราตฺริสูกฺต’ ซึ่งเป็นบทสวดที่กล่าวยกย่องเจ้าแม่แห่งราตรีหรือความมืดว่าเป็นพลังของจักรวาลทั้งปวง สอดคล้องกับลักษณะเจ้าแม่กาลีกล่าวคือดุร้าย เป็นเทพีแห่งความมืดและมีผิวดำ
อย่างไรก็ดี สมัยพระเวทนั้น พิธีบูชาไม่แพร่หลาย พระนามเจ้าแม่กาลีมามีกล่าวถึงแพร่หลายราว ค.ศ. 600 ในคัมภีร์หมวดปุราณะสองเล่มกล่าวคืออัคนิปุราณะและครุฑปุราณะซึ่งเป็นคัมภีร์ในสังกัดไวษณพนิกาย ช่วงนี้มีการนำเจ้าแม่กาลีไปพัฒนาในลัทธิตันตระ โดยเจ้าแม่กาลีได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ศักติ’ (ตัวพลังอำนาจ) ของเทพศิวะที่มีอำนาจทำลายโลกหรือนำความฉิบหายมาสู่มนุษย์ได้หากมนุษย์ยุติการทำเซ่นสรวงพลีกรรมให้เจ้าแม่กาลี
เจ้าแม่กาลีนิยมเลือดสดเป็นพิเศษ ดังนั้นในหลายๆ ชุมชนในอินเดีย รูปปั้นหรือประติมากรรมเจ้าแม่กาลีมักถูกสร้างเป็นรูปขณะดื่มเลือดสดๆ โดยมีเลือดสดๆ ไหลย้อยออกมาทางริมฝีปาก คัมภีร์ปุราณะได้อธิบายว่ามีอสูรตนหนึ่งนามว่ารักตพีชะ ได้บำเพ็ญตบะจนแก่กล้าแล้วได้รับพรจากพระพรหมว่าอย่าได้ให้ใครสังหารได้ง่ายๆ ถ้าได้รับอันตรายจนต้องหลั่งเลือดหล่นลงพื้นดิน ขอให้แต่ละหยดเลือดเหล่านี้สร้างอสูรตนหนึ่งขึ้นมาแทนที่ได้เพื่อให้เผ่าพงศ์อสูรของตนไม่มีวันตายไปจากโลก เหล่าเทวดาจึงไม่กล้าต่อกรกับอสูรอมตะตนนี้ แต่ขณะที่เหล่าเทวดารบกับอสูรตนนี้จวนเจียนจะพ่ายแพ้ เจ้าแม่กาลีก็ปรากฏตัวมาช่วยฆ่าอสูรแล้วดูดกลืนเลือดทุกหยดของอสูรมิให้ตกถึงพื้นดิน การเสวยเลือดอสูรในวันนั้นทำให้เจ้าแม่กาลีติดใจรสเลือด ดังนั้น จึงโปรดเลือดโดยเฉพาะเลือดสดๆ เป็นพิเศษ (อ่านต่อวันจันทร์หน้า)