xs
xsm
sm
md
lg

“ดามพ์” โต้บุกรุกขโมยขี้ค้างคาว ฟ้องกลับคู่กรณีพร้อม 4 สื่อหมิ่นเรียก 200 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ดามพ์” โต้บุกรุกที่คนอื่นขโมยขี้ค้างคาวจนถูกดำเนินคดี โอดไม่ใช่ดาวร้ายนอกจอ แต่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม ยันไม่มีเอี่ยวและตนก็เป็นเจ้าของที่ดินนั้นนานแล้ว คาดถูกคู่กรณีป่วนเลยยื่นฟ้องกลับ พร้อมฟ้องอีก 4 สื่อดังข้อหาหมิ่นเรียกเงินที่ละ 50 ล้าน หลังลงข่าวผิดพลาดทำให้เสียหาย

ตกเป็นข่าวฉาวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว สำหรับดาวร้ายรุ่นใหญ่วัย 63 ปี “ดามพ์ ดัสกร” ที่ถูก “นายภคคม ถาวรเจริญสุโข” วัย 55 ปี นักธุรกิจในจังหวัดกาญจนบุรี แจ้งความดำเนินคดีไว้ที่สภ.เมืองกาญจนบุรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2552 ในข้อหาทำการขโมยมูลค้างคาวโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังพบว่านักแสดงรุ่นใหญ่ได้ว่าจ้างให้ลูกน้องทำการขุดมูลค้างคาวในถ้ำ ซึ่งอยู่บนพื้นที่ของตนที่เช่าจากราชพัสดุ

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวานนี้(8 ม.ค.) “ดามพ์ ดัสกร” พร้อมทนายความจากสำนักงานทนายความฉลองและผองเพื่อน ได้ทำการแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้น ณ โรงแรม เจ้าพระยาปาร์ค ย่านรัชดาภิเษก โดยดาวร้ายรุ่นใหญ่เผยว่า ตนไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พร้อมยังยันที่ดินนั้นตนถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของนานแล้ว

“ที่มาแถลงข่าวในวันนี้ผมอยากจะแสดงความบริสุทธิ์ใจ คือผมอยู่ในวงการมาก็ร่วม 40 ปี เริ่มแสดงภาพยนตร์มาตั้งแต่จอแก้ว จนกระทั่งถึงภาพยนตร์จอใหญ่ คือหนัง 35 มม. ก็ตั้งแต่ปี 2512 รวมเวลาถึง 40 ปีพอดีในช่วงนี้ สิ่งหนึ่งที่ผมได้เก็บไว้ในวงการคือ เราสร้างแต่ความดี แล้วก็เป็นบุคคลที่ได้เป็นตัวอย่างของสังคมว่า เราเล่นเป็นบทดาวร้าย แต่ให้มองภาพไปว่า บทร้ายคือบทที่ทุกคนอย่าได้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง”

“นั่นคือตัวอย่างของสังคมบทหนึ่งที่ผมได้รับมาตลอด ก็โดยการแนะนำของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ซึ่งเดิมทีผมก็อยากจะเป็นพระเอกเหมือนกันนะครับ แต่ด้วยหน้าตา บุคลิก และรูปร่างที่มันจะเหมาะไปในทางเป็นดาวร้าย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือท่านมุ้ยก็แนะนำให้เล่นเป็นบทดาวร้าย และผมก็รับบทดาวร้ายมาตลอดจนกระทั่งบัดนี้ ด้วยความรู้สึกที่แท้จริงแล้ว ผมไม่ใช่เป็นดาวร้ายอย่างที่เคยถูกกล่าวหาว่า เป็นทั้งในและนอกจอ การแสดงก็คือการแสดง”

“ที่ผ่านมาผมทำความดีมาตลอด งานวัด งานกุศล งานสังคมก็ไม่ค่อยจะอยู่นิ่ง ไปอยู่เสมอ และเสียภาษีอย่างถูกต้องให้กับรัฐตามกฎหมาย ผมมีลูกมีหลาน มีญาติพี่น้อง เป็นวงศ์ตระกูลที่ค่อนข้างจะมีคนเยอะพอสมควร ก็กระทบกระเทือนใจมากครับกับเรื่องนี้ เพราะญาติๆ ที่โทรเข้ามาก็คิดว่าเป็นจริงมั้ย ผมก็เลยต้องออกมาชี้แจงความเป็นจริง เวลานี้ผมเหมือนเป็นจำเลยของสังคม ถ้าผมไม่ออกมาชี้แจงบ้าง ผมเสร็จเลย”

“สิ่งหนึ่งที่ผมต้องมาชี้แจงในวันนี้ เพราะไม่อยากจะเป็นจำเลยของสังคม จริงๆ แล้วผมน่าจะออกมาตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีข่าวขึ้นมา ผมไม่รู้ตัวเลยว่าข่าวนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง วันนั้นก็ไม่ได้อยู่ แต่ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ขึ้นมา ผมก็เลยคิดว่าเอ๊ะทำไมทุกคนก็โทรหาผมจังเลย หาว่าผมเป็นจริงอย่างที่ข่าวลงหรือเปล่า ผมก็บอกว่าเชื่อข่าวเหรอว่าเป็นไปได้อย่างนั้น ว่าไปขโมยขี้ค้างคาวแค่กิโลละบาท โอ้โห มันเป็นไปได้ยังไง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้ถ้ำขี้ค้างคาวที่ว่าเนี่ย มันอยู่ในเขตบริเวณเนื้อที่ของผมในจำนวน 14 ไร่ ตามใบเสียภาษีหรือว่าใบภบ.”

“สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่า ไม่เคยรู้เรื่องกับเรื่องนี้เลย ผมไม่เคยคิดที่จะขโมยขี้ค้างคาวในบ้านของตัวเองออกไปขาย ถ้าผมจะทำก็ทำได้ เพราะถืออยู่ในที่ของผม และผมเองก็ไม่รู้ด้วยว่าที่นั่นมีขี้ค้างคาวอยู่ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมเขาเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่ออะไร พูดเพื่อโจมตีให้ผมเสียหาย ทำให้ภาพพจน์ของผมซึ่งเป็นบทดาวร้ายอยู่แล้ว ยิ่งเสียหายหนัก”

“ทุกคนมองว่าโอ้โหขนาดขี้ค้างคาวยังขโมยเลย มันเป็นไปได้ยังไง อันนี้ผมต้องชี้แจงครับ จริงๆ ผมอยากจะบอกตั้งแต่แรกๆ แต่ก็ประวิงเวลาอยู่พอสมควร เพื่อให้เรื่องนี้มันใกล้ๆ เข้ามานิดนึง ขอเวลาคิดซะก่อน ผมไม่อยากที่จะไปมีเรื่องมีราวอะไรกับใคร พูดตามความเป็นจริงแล้ว ผมไม่เคยคิดที่จะทำอะไรเกี่ยวกับของผิดกฎหมาย อันนี้ห่างไกลตัวอยู่แล้ว ผมไม่ทำเด็ดขาด”

“ดามพ์ ดัสกร” เสริมต่อว่า ไม่เคยรู้จักคู่กรณีเป็นการส่วนตัว แต่เคยมีกรณีพิพาทกันมาก่อน คาดอีกฝ่ายเสียดายพื้นที่ที่เคยเช่าอยู่มาก่อน เลยมาป่วนให้รำคาญ

“ผมกับคุณภคคมรู้จัก เคยเจอกันในงานต่างๆ แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้สนิทกัน และผมก็อยู่ที่ดินตรงนี้มาตั้งแต่ปี 48 หรือ 49 แล้ว ถ้าให้ผมเดาว่า ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ คิดว่าเขาคงจะยังเสียดายในพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งเป็นที่ค้างคาวอยู่ ก็เลยคิดจะเข้ามาอ้างสิทธิ์ตัวเองที่ว่าเคยเช่ามาก่อน เพื่อที่จะเข้ามาป่วนว่างั้นเถอะ เข้ามาป่วนจนทำให้ผมเกิดความรำคาญ จนทำให้ทิ้งที่นี้ไป เขาจะได้เข้ามาครอบครองต่อ”

“ก็อยากจะบอกกับพี่น้องคนไทย ที่เคยเป็นแฟนคลับของผม ตั้งแต่รุ่นเด็กจนกระทั่งรุ่น 70-80 ปี วันนี้ผมได้มาแถลงข่าวให้สังคมได้รับรู้แล้วว่า สิ่งที่ถูกกล่าวหานั้นมันไม่ใช่ความจริง ความเป็นจริงผมคือคนธรรมดาทั่วไป ยังกิ๊กก๊อกและเป็นนักแสดงให้กับทุกๆท่านอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ผมขอยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจเลยว่า ไม่เป็นความจริง อย่าคิดว่าผมเป็นดาวร้ายและเป็นทั้งนอกจอในจอ อย่าเข้าใจผิดกันนะครับ”

ด้าน ทนาย “ฉลอง เจยาคม” ได้ชี้แจงต่อถึงการครอบครองที่ดินที่ทำให้เกิดปัญหาว่า เป็นของดาวร้ายรุ่นใหญ่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“คุณภคคมเคยเป็นคู่กรณีกับคุณดามพ์มาก่อน ในเรื่องที่ดินแปลงดังกล่าวนี้ คุณภคคมเคยเช่าอยู่ และที่ดินดังกล่าวเคยขึ้นกับราชพัสดุจริง แต่เมื่อหลังจากปี 2549 แล้ว ด้วยอำนาจของกฎหมายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ที่ดินที่เคยขึ้นอยู่กับราชพัสดุทั้งหมดนั้น กลับไปขึ้นกับองค์การบริหารส่วนตำบล ถ้าอยู่ในเขตเทศบาลก็ขึ้นอยู่กับเทศบาล ทำให้ที่แปลงดังกล่าวนี้ไปขึ้นกับอบต.แก่งเสี้ยน เมื่อคุณดามพ์ได้สิทธิ์ครอบครองมาของอบต.แก่นเสี้ยนก็เลยออกเอกสารสิทธิ์ให้”

“หลังจากนั้นคุณดามพ์ ดัสกรก็ได้สร้างบ้านบนที่ดินที่รับเอกสารถูกต้อง เมื่อทำบ้านเสร็จ กรมการปกครองโดยผู้ใหญ่บ้าน ปลัดฝ่ายทะเบียนราษฎร์ ก็ได้ตรวจสอบบ้าน ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ จึงได้ออกบ้านเลขที่ให้กับคุณดามพ์ถูกต้องตามกฎหมาย ได้บ้านเลขที่ 9/49 ซึ่งพอคุณภคคมแพ้คดีก็เลยคงจะมีอาการอะไรสักอย่างนึง ถามว่ารู้จักกันมั้ย ก็รู้จักกันในนามของคู่กรณี เรื่องแย่งสิทธิ์ในที่ดินกันก่อนที่ศาลจะพิพากษา”

“ส่วนกรณีเรื่องของมูลค้างคาวที่ผมลงพื้นที่ เพราะอยู่ใกล้ที่นั่นด้วย มันเป็นถ้ำอยู่จริงๆ แต่ว่าถ้ำเล็กมาก แล้วก็ลึกมาก ลึกประมาณครึ่งกิโล โดยปกติมนุษย์ทั่วไปลงไปไม่ได้ ถ้ามีก็คงจะสัตว์หรือไม่ก็พญานาคเท่านั้นที่ลงไปได้ ซึ่งก็เคยมีค้างคาวอยู่จริง แต่เป็น 10 กว่าปีมาแล้ว ตอนที่ประชาชนยังไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น”

“แต่เมื่อประชาชนเข้าไปอาศัยอยู่สัก 30-40 ครัวเรือน ค้างคาวก็ไม่ไปอาศัยที่ถ้ำอีก ก็เลยไม่มีขี้ค้างคาว มีแต่ดินก้นถ้ำที่ค้างคาวเคยขี้รดไว้ และชาวบ้านก็ได้เอาขี้ค้างคาวไปหมดตั้ง 10 ปีแล้ว ซึ่งชาวบ้านที่ไม่เข้าใจบางคนก็ลงไปขุด แต่ขุดไม่ได้เนื่องจากว่าไม่มีออกซิเจน พอนำขึ้นมาปากถ้ำ ปรากฏมันไม่ใช่ขี้ค้างคาวก็เลยทิ้งไว้ที่ปากถ้ำ นั่นคือหลักฐานที่ตำรวจยึดไป”



เผยนอกจากดำเนินคดีกับคู่กรณีแล้ว ยังยื่นเรื่องฟ้องร้องสื่อที่ลงข่าวผิดพลาดทำให้ “ดามพ์ ดัสกร” ได้รับความเสียหาย

“หลังเกิดเรื่องคุณดามพ์ ดัสกรได้มอบอำนาจให้สำนักงานของผม ทำการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในเบื้องต้นนั้นได้ดำเนินคดีกับบุคคลหนึ่งบุคคล แล้วก็สื่อ 3 ฉบับและบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์อีก 1 บริษัท ดังต่อไปนี้ 1. นางภคคม ถาวรเจริญสุโข ผู้ให้ข่าว 2.หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 3.หนังสือพิมพ์สยามดารา 4.หนังสือพิมพ์มติชน 5.บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ฯ ในฐานะผู้ผลิตรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ทั้งหมดนี้ได้ดำเนินการแจ้งความเรียบร้อยแล้วที่สภอ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี และเข้าใจว่าตำรวจคงเตรียมออกหมายเรียกแล้ว ตำรวจรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว นี่คือในส่วนของคดีอาญา”

“ส่วนคดีแพ่งนั้น คุณดามพ์ได้มอบอำนาจให้ผมดำเนินฟ้องร้องขั้นแพ่งกับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก, หนังสือพิมพ์สยามดารา, บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ฯ และหนังสือพิมพ์มติชน เรียกค่าเสียหายฉบับละ 50 ล้านบาท เท่าที่เตรียมเงินประกันศาลไว้ ตอนนี้อาจจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่การตกลง เราก็จะฟ้องภายใน 1 เดือนนี้ ถามว่าทำไมเราต้องฟ้อง มีเหตุผลมีหลักฐานอะไรที่จะใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาล”

“ผมจะขอยกตัวอย่างเอาแค่มติชนฉบับเดียว ในข้อความของมติชนบอกว่า คดีดังกล่าวมีการจับกุมผู้ต้องหา 1 คน และให้การรับสารภาพพาดพิงถึงคุณดามพ์ ดัสกร แต่ในบันทึกการจับกุมของตำรวจสภ.อ.นั้น ได้จับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ 2 คน ผู้ต้องหาดังกล่าวให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ความจริงที่ปรากฏในเอกสารราชการบอกว่า ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่มติชนกลับไปลงข่าวไม่ตรงกับความจริงว่า ให้การปฏิเสธและพาดพิงไปถึงคุณดามพ์”

“ข้อที่ 2 บอกว่าจับได้พร้อมหลักฐาน 400-500 ถุง แต่ในบันทึกการจับกุมของตำรวจ หลักฐานที่ตำรวจระบุลงไปนั้น เป็นมูลดินผสมขี้ค้างคาวเพียง 2 ถุงเท่านั้น และผู้ที่ถูกจับกุมนั้นก็ได้ปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ขโมยขี้ค้างคาว คนนึงไปเลี้ยงวัวอยู่บริเวณนั้น อีกคนนึงไปนั่งในบริเวณพื้นที่ที่จะปรับที่ดิน เมื่อไม่มีการให้ปากคำ มันไปพาดพิงถึงคุณดามพ์ได้ยังไง ผมก็ยังงงเหมือนกัน แต่ในส่วนของคดีนี้อยู่ในขั้นตอนของตำรวจซึ่งเคลียร์กันอยู่ แต่คุณดามพ์ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไร”

“จากเอกสารที่ผมรวบรวมทั้งหมด จะเห็นว่าไม่มีข้อมูลหรือคำใดที่เกี่ยวอ้างถึงคุณดามพ์เลย แต่ในข่าวกลับมีเรื่องของคุณดามพ์ขึ้นมา ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ วันที่เกิดเหตุมีนักข่าวจำนวนมากไปทำข่าว แต่ทำไมนักข่าว 4 ฉบับนี้เขียนข่าวไม่ตรงกับความจริง ในขณะที่อีกหลายๆ ฉบับเขียนตรงความเป็นจริง ซึ่งมันตรงกับบันทึกการจับกุม ไม่ตรงกับ 4 ฉบับนี้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีมุมใดมุมหนึ่งที่ผิดพลาด”

“เมื่อเอาหลักฐานก็คือบันทึกการจับกุมของตำรวจไปตรวจสอบกับข่าว ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เลยจำเป็นต้องฟ้องเพื่อให้เป็นพิธีการเท่านั้น ไม่ใช่ทางที่เราเลือกทำ ซึ่งถ้าเรามีทางอื่นที่ดีกว่านี้ก็จะทำ โดยเฉพาะองค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ การที่จะเดินเข้าไปและขอความเป็นธรรมคงเป็นไปไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีการฟ้องร้องเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม”

“ในส่วนของคุณภคคมไม่ได้ฟ้องในคดีแพ่ง เนื่องจากพิจารณาดูแล้วว่าจะเสียเวลาเปล่า คุณภคคมไม่ได้เป็นนักธุรกิจตามที่เป็นข่าว ถ้าผมพูดมากกว่านี้ก็จะเป็นหมิ่นประมาท แต่ทางคดีอาญาทางตำรวจเป็นคนฟ้อง ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และทั้ง 4 ฉบับที่ผมพูดมาในข้อหานี้ ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้าลำพังคุณภคคมพูดอย่างนั้น พูดกับใครต่อใครในบรรดาคนรู้จักด้วยกัน ก็เป็นแค่ความผิดหมิ่นประมาท”

“แต่เนื่องจากสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ ผ่านรายการโทรทัศน์ เลยเป็นความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ฉะนั้นใน 4 ฉบับที่ผมเอ่ยนามไปแล้ว ไม่ได้หมายถึงคน 4 คนนะครับ แต่หมายถึงคน 40-50 คน 1.บรรณาธิการ 2.โรงพิมพ์ 3.ผู้จัดจำหน่าย ก็จะครบองค์ประกอบในการฟ้อง คดีนี้ผมเลยต้องใช้ทนายเกิน 20 คน ตัวผมเป็นแค่หัวหน้าที่รวบรวมคดีเท่านั้น”

รับไม่อยากมีปัญหากับสื่อ แต่ที่ต้องฟ้องเพราะอยากขอความเป็นธรรม ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะไกล่เกลี่ยกันได้สูง

“สำหรับเรื่องฟ้องสื่อนั้น การไกล่เกลี่ยเป็นวิธีหนึ่งในการยุติคดี และเป็นวิธีที่เรานิยมเลือกใช้ แต่มันอยู่ในขั้นตอนไหนเท่านั้นเอง ที่สำคัญไปกว่านั้น เราก็ตระหนักกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณดามพ์ หรือตัวผมเองส่วนใหญ่ก็จะรู้จักกันในฐานะนักเขียน ก็ถือเป็นสื่อเช่นเดียวกัน ฉะนั้นโดยสรุปคือเราพวกกันทั้งนั้น แต่ครั้งนี้มันเกิดความเข้าใจผิดกัน โดยใครบางคนให้ข้อมูลที่ผิดๆ และนำข้อมูลผิดๆ นั้นไปทำให้เกิดความเสียหาย เป้าหมายของเราก็คือไปแก้ไขข้อมูลที่ผิดๆ นั้นให้ถูกต้อง”

“แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ เราคงเข้าไปขอ เขาจะต้อนรับเราหรือไม่ก็ยังไม่ทราบ และด้วยวิธีที่ถูกต้องและเที่ยงธรรมก็คือวิธีทางกฎหมาย เลยจำเป็นต้องเลือกทางนี้ ซึ่งคงไม่มีดาราคนไหน หรือไม่มีนักเขียนคนไหน ทุกคนผมพูดได้เลย 90% ไม่มีใครเห็นด้วยกับให้มีการฟ้องสื่อ แต่ถ้าไม่ฟ้องสื่อไม่ได้ มันไม่ครบองค์ประกอบความผิด เพราะคดีนี้มันหมิ่นประมาทโดยโฆษณา”

“สำหรับผมมีการประสานงานไปยังสื่อทุกฉบับแล้ว ก็พูดคุยกัน ขอเรียนตามตรงว่าหลายคนเป็นเพื่อนผมด้วย ทุกคนเข้าใจในบทบาทหน้าที่ที่ผมทำ ทุกคนโตพอที่จะแยกแยะถึงสิ่งจำเป็น แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องหลักการได้ ทุกคนบอกว่ามันก็จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยวิธีนี้ แต่เดี๋ยวขั้นตอนต่อไปต้องหาความผิดว่า ถ้ามีความผิดจริง ใครเป็นคนทำผิด ถ้ามีความผิดทำนองนั้นเขาจะแก้ไขได้อย่างไร ต่อคำถามที่ว่าประนีประนอมได้หรือไม่ ผมว่าเป็นไปได้สูง”

เปรยตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ อาจยื่นฟ้องสื่อด้วยเหมือนกัน เหตุลงข้อมูลผิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

“ผมได้พูดคุยกับตำรวจที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของคดี ท่านบอกผมว่าวันที่เกิดเรื่องท่านไม่ได้อยู่ ท่านไปตรวจกรณีรถชน แต่อยู่ๆ มีข่าวออกไปว่าท่านพูดอย่างนั้น พูดอย่างนี้ และด้วยความที่ผมทำงานมาทางกฎหมาย ทำงานกับตำรวจมาเป็น 20 ปีเหมือนกัน ก็พอจะมองเห็นว่าท่านไม่น่าจะพูดอย่างนั้นได้ ก็ได้ข่าวว่าท่านจะฟ้องหนังสือเหมือนกัน เพราะท่านก็เสียหาย และทีนี้ท่านมาเป็นพยานให้กับเราว่า ท่านไม่ได้พูด เราก็เลยไม่ฟ้องท่าน”






เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก



กำลังโหลดความคิดเห็น