สื่อบันเทิงต่างประเทศได้รวบรวมหนัง 10 เรื่องที่เรียกได้ว่าคว่ำที่สุดในรอบสิบปีนับตั้งแต่ 1999 เป็นต้นมาของฮอลลีวูด หนังแต่ละเรื่องล้วนประสบปัญหาหลายๆ อย่าง ทั้ง ปัญหาในการถ่ายทำ, ถูกเลื่อนฉาย หรือกระทั่งคุณภาพที่ออกมาย่ำแย่ ที่สุดท้ายทำให้ภาพยนตร์ราคาแพงเหล่านี้ต้องกลายเป็นหายนะของสตูดิโอ นอกจากนั้นยังมีผลต่ออาชีพของทั้งคนทำหนัง และดาราหลายๆ คน ที่จากรุ่งๆ อยู่ดีๆ ให้กลายเป็นร่วงได้ง่ายๆ
10. THE SPIRIT
วันเปิดฉาย: 25 ธ.ค. 2008
ต้นทุน: 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 19.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แฟรงค์ มิลเลอร์ นักเขียนชื่อดังผู้อยู่เบื้องหลังงานการ์ตูนอย่าง 300 และ Sin City รวมถึงเป็นผู้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับตัวละครอย่าง Batman และ Daredevil จนกลายเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลต่อยุคใหม่ของหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่คน แต่เมื่อเขาลองหันมากำกับหนังด้วยตัวเองคนเดียวเป็นครั้งแรก กลับจบลงด้วยความล้มเหลว มิลเลอร์ หยิบเอาผลงานระดับคลาสสิคของยอดนักเขียนการ์ตูน วิลล์ ไอสเนอร์ The Spirit มาสร้างเป็นหนัง ที่ตอนแรกอาจจะเป็นที่สนใจสำหรับใครหลายๆ คน เพราะผลงานการกำกับร่วมของเขาในหนังเรื่อง Sin City ออกมาใช้ได้ทีเดียว แต่หนังกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเมื่อออกฉาย โดยเฉพาะเมื่อหนังต้นทุนสูงเรื่องนี้ถูกสับเละโดยแฟนของหนังสือการ์ตูน และนักวิจารณ์ จนแผนการสร้างหนังเรื่องใหม่ของ ยอดนักเขียนการ์ตูนผู้นี้ต้องชะงักจนถึงเดี๋ยวนี้เลย
9. GRINDHOUSE
วันเปิดฉาย: 6 เม.ย. 2007
ต้นทุน: 67 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สองผู้กำกับ เควนติน ตารันติโน่ และโรเบิร์ต ร้อดดริเกวซ เกิดไอเดียร่วมกันสร้างหนังควบเลียนแบบหนังทุนต่ำเกรดบีในอดีต ที่ผู้ชมสามารถซื้อตั๋วใบเดียวแต่ได้ดูหนังสองเรื่อง Death Proof และ Planet Terror เป็นผลงานของทั้งสองที่ดูสนุก และมีลีลาแบบหนังยุค 70 แท้ๆ แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ได้ใช้ทุนน้อยแบบหนังต้นฉบับพวกนั้น Grindhouse ใช้ทุนร่วมไปถึง 67 ล้านเหรียญ แต่หนังที่ถือเป็นงานที่สร้างเพื่อเปิดตัว บริษัท ไวสตีนท์ โปรดักชั่น กลับทำเงินไปเพียง 25 ล้านเหรียญ จนเจ้าของหนังต้องตัดสินใจแยกหนังออกฉายเป็นสองเรื่อง ในต่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก อย่างไรก็ตามความสิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์ระหว่าง ตารันติโน่ กับฮาร์วี่ย์ ไวสตีนท์ เมื่อฝ่ายหลังยังเชื่อใจในผู้กำกับคนนี้ และให้โอกาสทำหนังเรื่อง Inglourious Basterds ที่กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดของ ตารันติโน่ ไปในที่สุด
8. ROLLERBALL
วันเปิดฉาย: 8 กุมภาพันธ์ 2002
ต้นทุน: 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
หนังเรื่อง Rollerball ปี 1975 ของ นอร์แมน จีวิสัน มีเปลือกนอกเป็นหนังแอ็กชั่นโลกอนาคต แต่แฝงเนื้อหาวิจารณ์ถึง บรรษัทนิยม และความรุนแรงเอาไว้ จนกลายเป็นหนังคัลท์เรื่องดังแห่งยุค 70 อีกเรื่อง แต่เมื่อมันถูกกลับนำมาสร้างใหม่โดยผู้กำกับ จอห์น แม็คเทียแนน ทุกอย่างที่ว่ากลับอันตทานหายไป หลงเหลือเพียงหนังแอ็กชั่นดาดๆ ที่เหมือนเกมส์เรียลิตี้โชวมากกว่าหนังเงินทุน 70 ล้านเหรียญ นอกจากนั้นหนังยังมีปัญหาเรื่องการเข้าฉายเมื่อสตูดิโอตัดสินใจเลื่อนหนังออกไปถึง 4 ครั้ง ตั้งแต่เดือน หน้าร้อนปี 2001 จนกว่าจะได้ฉายก็เมื่อ ก.พ. 2002 ที่ช่วงเวลาดังกล่าวหนังถูกดึงกลับไปตัดใหม่ เพื่อลดเรตติ้งจาก R ไปเป็น PG-13 ซึ่งสุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ และความรุ่งเรืองของอดีตผู้กำกับหนัง Die Hard อย่าง จอห์น แม็คเทียแนน ก็จบลงทันที เพราะหลังจากนั้นเขาได้กำกับหนังอีกเพียง 1 เรื่องเท่านั้น
7. THE INVASION
วันเปิดฉาย: 17 ส.ค. 2007
ต้นทุน: 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 15.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นิโคล คิดแมน เริ่มต้นทศวรรษแบบร้อนแรงด้วยงานอย่าง Moulin Rouge, The Others และ The Hours แต่หลังผ่านพ้นปี 2002 เป็นต้นมา ดาราสาวชาวออสเตรเลียก็เริ่มพบกับความล้มเหลวต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนังอย่าง Stepford Wives, Bewitched, Australia และ The Golden Compass ซึ่งบางคนบอกว่าจุดต่ำสุดของความตกต่ำของสาวสวยคนนี้อยู่ที่หนังเรื่อง The Invasion นี่เอง หนังที่ดัดแปลงจากงานคลาสสิคปี 1956 Invasion of the Body Snatchers หนังมีปัญหาหลังจากผู้กำกับ โอลิเวอร์ เฮิร์ชบิเกล ถูกไล่ออกจากกองถ่ายทั้งๆ ที่หนังยังถ่ายไม่เสร็จ จนต้องมีการเรียก เจมส์ เมคทีค และจอห์น แม็คเทียแนน มาสานต่อในส่วนที่เหลือ จนเกิดปัญหางานล่าช้า งบประมาณบานปลาย แม้กระทั่งนางเอกของเรื่องอย่าง คิดแมน ก็ได้รับผลกระทบจนไม่สามารถไปรับงานอื่นได้เลยในช่วงเวลาดังกล่าว
6. CATWOMAN
วันเปิดฉาย: 23 ก.ค. 2004
ต้นทุน: 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เสน่ห์ของ มิเชล ไฟเฟอร์ ในบทนางแมวป่าจากหนังเรื่อง Batman Returns ทำให้ตัวละครจากหนังสือการ์ตูนยอดฮิตตัวนี้โด่งดังสุดๆ และได้เลื่อนขั้น จนมีหนังเป็นของตัวเอง แต่หนัง Catwoman ที่ออกฉายในปี 2004 กลับต้องพบกับปัญหาอย่างหนักในการถูกเปรียบเทียบกับนางแมวป่าขวัญใจมหาชนของ มิเชล ไฟเฟอร์ จนนำมาซึ่งความล้มเหลวในที่สุด นอกจากนั้นหนังปี 2004 เรื่องนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความตกต่ำของทุกคนที่มีส่วนร่วมกับงานชิ้นนี้ ฮัลลี่ เบอร์รี่ ที่เพิ่งได้รับรางวัลออสการ์ และเป็นสาวบอนด์คนใหม่ แทบจะไม่เจอความสำเร็จแบบนั้นอีกเลย, เช่นเดียวกับ ชารอน สโตนในบทตัวร้ายของเรื่อง และผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ปิตอฟ ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกับการเปิดตัวเป็นผู้กำกับหนังทุนสูงในอเมริกา และต้องหันไปงานประเภทหนังแผ่นไปแล้วในตอนนี้
5. TOWN & COUNTRY
วันเปิดฉาย: 27 เม.ย. 2001
ต้นทุน: 90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
หลังจากเคยมีผลงานเรื่อง Shampoo เมื่อ 25 ปีก่อน ดารารุ่นใหญ่ วอร์เรน เบตตี้ ตัดสินใจมารับบทในหนังตลกเกี่ยวกับเซ็กส์อีกครั้ง แตกต่างที่ในครั้งนี้เขามีอายุได้ 64 ปี เท่านั้นยังไม่พอในหนังเรื่อง Town & Country ยังห้อมล้อมไปด้วยตัวละคร และนักแสดงวัยลายครามอีกกลุ่มใหญ่ New Line ที่ก่อนหน้านี้เน้นไปที่ตลาดวัยรุ่นมาโดยตลอด ตัดสินใจลองกับตลาดหนังผู้ใหญ่ดูบ้าง แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ผู้กำกับ ปีเตอร์ เชลซัม ขัดแย้งกับคนเขียนบท จนมีการแก้บทหลายครั้ง หนังเริ่มเปิดกล้องตั้งแต่ปี 1998 แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 เดือนก็ยังถ่ายทำไม่เสร็จ จนดารานำอย่าง ไดแอน คีตัน และแกรี่ แชนด์ลิ่ง ขอถอนตัวเพราะมีงานหนังเรื่องอื่นๆ ยังรออยู่ หลังจากนั้นอีก 1 ปีเต็ม ผู้สร้างตัดสินใจทุ่มเงินก้อนใหญ่ เพื่อเรียกนักแสดงนำทั้งหมดกลับมาถ่ายทำหนังให้เสร็จ ถึงตอนนี้ทุนหนังพุ่งไปถึง 90 ล้านเหรียญมากกว่าแผนการตอนแรกถึง 2 เท่าแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากสำหรับหนังตลกสำหรับกลุ่มผู้ชมผู้ใหญ่ที่มีทุนถึงเกือบ 100 ล้านแบบนี้ แบะสุดท้ายเก็บเงินได้เพียง 6.7 ล้านเหรียญเท่านั้น
4. GIGLI
วันเปิดฉาย: 1 ส.ค. 2003
ต้นทุน: 54 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 6.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ถ้าความรักสามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง หนังเรื่อง Gigli ก็คงเป็นอุปสรรคที่หนักหนามาก เพราะแม้กระทั่งความรักอันหวานชื่นก็ไม่สามารถพาหนังเรื่องนี้ให้ประสบความสำเร็จได้ เมื่อปี 2003 เจนนิเฟอร์ โลเปซ และเบน แอฟเฟล็กเป็นคู่รักที่ร้อนแรงที่สุดของวงการ ฝ่ายชายเพิ่งได้รับรางวัลออสการ์จากการเขียนบทGood Will Hunting และมีโอกาสได้แสดงในหนังฟอร์มใหญ่อย่าง Pearl Harbor และ The Sum of All Fears ขณะที่ฝ่ายหญิงก็กำลังรุ่งสุดๆ ในวงการเพลง และหนังตลกโรแมนติกเรื่อง The Wedding Planner และ Maid in Manhattan ที่เธอแสดงนำ ก็กลายเป็นหนังฮิต เมื่อคู่รักดาราที่อยู่ในช่วงขาขึ้นด้วยกันทั้งคู่มาร่วมงานกันกลับกลายเป็นความล้มเหลว Gigli มีปัญหาหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ไม่มีใครแน่ใจว่าหนังเรื่องนี้ออกเสียงว่าอย่างไร, การปรากฏตัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ประเภทแท็บลอยด์ของทั้งคู่ชนิดถี่ยิบก็ดูจะสร้างความหมั่นใส้ และเป็นผลร้ายต่อหนังมากกว่าผลดี และที่สำคัญก็คือคุณภาพของหนังที่ทุกฝ่ายต่างเห็นฟ้องต้องกันว่าแย่ ดาราดังทั้งสองแยกทางกันในปี 2004 และทิ้งให้หนังเรื่อง Jersey Girl การร่วมงานกันครั้งที่สองเป็นอนุสรณ์แห่งรักครั้งนั้น
3. LAND OF THE LOST
วันเปิดฉาย: 5 มิ.ย. 2009
ต้นทุน: 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Land of the Lost หนังผจญภัยที่ผสมการใช้เทคนิคของหุ่นกระบอก เป็นงานในความทรงจำในวัยเด็กของหลายๆ คน จนผู้สร้างหนังเห็นว่าการนำงานชิ้นนั้นกลับมาสร้างใหม่อาจเป็นลู่ทางการทำเงินได้ ด้วยทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ และดาราตลกขายดีแบบ วิลล์ ฟาร์เรลล์ ในบทนักโบราณคดีที่หลุดไปในโลกคู่ขนานสุดพิศวง กลับกลายเป็นงานที่ถูกเมินโดยผู้ชมทุกกลุ่ม ผู้ปกครองเห็นว่าเรตติ้ง PG-13 ของหนังคงไม่เหมาะกับบุตรหลาน โดยเฉพาะมุขตลกต่ำๆ ของฟาร์เรลล์ ขณะที่กลุ่มแฟนหนังวัยรุ่นก็คิดว่าหนังเชยเกินไป และแฟนเก่าๆ ของ Land of the Lost ก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่งานที่พวกเขาเคยดู ก่อนหน้านี้สิทธิ์การสร้างหนังเคยถูก Disney และ Sony พยายามแย้งชิงกัน แต่สุดท้ายเป็น Universal ที่รับโชคครั้งนี้ไป จนกลายเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของฮออลีวูดในปี 2009 ที่ระดับผู้บริหารของ Universal สองคนกลายเป็นแพะรับบาปในเรื่องดังกล่าว จนถูกให้ออกจากบริษัทไปในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
2. BATTLEFIELD EARTH
วันเปิดฉาย: 12 พ.ค. 2000
ต้นทุน: 75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในยุค 90s จอห์น ทราโวลต้า กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งกับหนัง Pulp Fiction จนกลับมาเป็นดาราใหญ่อีกคนของฮอลลีวูด เขาใช้เครดิตและชื่อเสียงในการผลักดันโปรเจ็คในฝัน Battlefield Earth นิยายวิทยาศาสตร์ผลงานของ แอล รอน ฮับบาร์ด ผู้ก่อตั้ง ไซเอนโทโยลี ลัทธิความเชื่อสุดดังประจำวงการบันเทิงอเมริกาที่ตัวของเขาเองให้ความศรัทธาอยู่ จอห์น ทราโวลต้า คาดหวังไว้ว่านี่จะกลายเป็นหนังสงครามวิทยาศาสตร์ที่คล้ายๆ หรือว่าดีกว่า Star Wars แต่บริษัททำหนังหลายๆ แห่งไม่เห็นด้วย จนพระเอกชื่อดังคนนี้ไปได้เอาบริษัททำหนังอิสระ Franchise Pictures ออกทุนสร้างให้ สุดท้ายกลายเป็นความล้มเหลว และขายหน้า ของหลายๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีกระทั่งปัญหาฟ้องร้องจากผู้ลงทุนหลายๆ ราย ที่กล่าวหาว่าหนังตบแต่งตัวเลขต้นทุนเกินจริง ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังภาคต่อที่มีการวางแผนไว้คงต้องเป็นหมันไปตลอดกาล
1. THE ADVENTURES OF PLUTO NASH
วันเปิดฉาย: 6 ส.ค. 2002
ต้นทุน: 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายรับในสหรัฐฯ: 4.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
บางคนเรียกเส้นทางอาชีพในวงการหนังของ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ว่าปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เพราะเขามีหนังฮิตเรื่องแล้วเรื่องเล่า ตรงกันข้ามแม้จะทำหนังขาดทุนไปเรื่องแล้วเรื่องเล่า ดาราตลกผิวหมึกผู้นี้ก็ยังคงมีงานใหม่ๆ มาให้ดูกันเรื่อยๆ Meet Dave, Showtime และ I Spy ถือเป็นกลุ่มงานที่อยู่ในกลุ่มเจ๊งของ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ แต่ The Adventures of Pluto Nash ถือเป็นสุดยอดแห่งความล้มเหลว หนังตลกไซไฟที่ผสมเรื่องราวแบบแก๊งสเตอร์เอาไว้ ที่เต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษ ถูกเลื่อนฉายถึง 14 เดือน จนทำรายได้เพียง 4.4 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 100 ล้าน หลายๆ คนบอกว่านี่คือ Cleopatra (ผลงานล้มเหลวในตำนานของฮอลลีวูด) ของวงการยุคใหม่ แต่อย่างที่บอกไปแล้ว เขาไม่เหมือนดาราคนอื่นๆ แม้จะมีงานที่ล้มเหลวเช่นนี้เขายังมีงานให้ชมกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากเรียกชื่อเสียงกลับมาด้วยการชิงรางวัลออสการ์จากบทจริงจังใน Dreamgirls เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ก็ยังมีงานตลกเจ๊งๆ อย่าง Imagine That มาให้ดูกันอีก และคงจะไม่หยุดง่ายๆ แค่นี้ด้วย