xs
xsm
sm
md
lg

ปริศนา “หมอกฤษฏ์” กับ “บริเฉท 7 ดารา” ตอน 3“ปฏิบัติการเคอิโงะ พลิกแผ่นดินตามหาอาจารย์ของหมอกฤษฏ์ ที่ อ.จอมบึง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วัดวาปีสุทธาวาส วัดที่หมอกฤษฏ์มาบวช
เมื่อมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าหมอกฤษฏ์ คอนเฟิร์ม ไม่ได้มาบวชเณรและร่ำเรียนวิชาดูดวงตำราบริเฉท 7 ดาราที่วัดสัตตนารถฯ อย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้างในนิตยสาร WHO เป้าหมายต่อไปของ ASTV บันเทิงผู้จัดการออนไลน์จึงต้องเบนเข็ม ไปตรวจสอบข้อมูลของหมอกฤษฏ์ที่เคยเขียนในพ็อกเก็ตบุ๊คของตนเองว่า”....
“ได้มาเรียนวิชาบริเฉท 7 ดาราจากหลวงปู่วัย 96 ปี พระลูกวัดแห่งหนึ่งในอำเภอจอมบึง ซึ่งขณะนั้นเป็นสำนักสงฆ์ตั้งอยู่กลางป่า โดยหลวงปู่ดังกล่าวได้สืบทอดวิชาการดูดวงมาจาก “หมอหน้าบาก” ซึ่งหมอหน้าบากเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชา มาจากพระครูอินทร์เทวดานั่นเอง จากนั้นหลวงปู่ก็ได้มรณภาพไปเมื่อปี 2548 นอกจากนั้นแล้วหมอกฤษฏ์ยังได้บรรยายลักษณะของหมอหน้าบากในพ็อกเก็ตบุ๊คอีกว่า หน้าจะบากเนื่องจากถูกมีดฟันตั้งแต่ประมาณกลางกระหม่อม เรื่อยลงมาจนถึงจมูกแล้วก็ยาวไปถึงหางหูทางด้านซ้าย”

จากข้อมูลดังกล่าว บวกกับภาพของหมอกฤษฏ์ที่ถ่ายคู่กับหลวงปู่ในพ็อกเก็ตบุ๊คของหมอกฤษฏ์ ได้กลายเป็นข้อมูลที่เราใช้ตามหาอาจารย์ปริศนาของหมอกฤษฏ์ ที่อำเภอจอมบึง เช่นเดียวกับที่ “ด.ช.เคอิโงะ” ตามหาพ่อ

อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มี 6 ตำบล 33 วัด หากจะค้นหาทุกวัดคงต้องใช้เวลาร่วมเดือน จึงเริ่มต้นด้วยการไปสืบทะเบียนรายชื่อจำนวนวัดทั้งหมดที่อยู่ในอำเภอจอมบึง จ.ราชบุรี กับทางเจ้าคณะอำเภอ วัดวาปีสุทธาวาส(วัดตลาดควาย) ตั้งอยู่ที่ ซอยเทศบาล 11 (บ้านเกาะ) ต.จอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ว่าที่อำเภอนี้มีวัดทั้งหมดกี่วัด และที่ไหนที่เคยเป็นสำนักสงฆ์มาก่อนบ้าง เนื่องจากหมอกฤษฏ์ได้กล่าวอ้างไว้ในพ็อกเก็ตบุ๊คว่า ตนได้รับถ่ายทอดวิชาหมอดูมาจากหลวงปู่ชราภาพท่านหนึ่ง ที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.จอมบึง ซึ่งขณะนั้นเป็นสำนักสงฆ์

และทันทีที่เราเข้าไปคุยกับ “พระณรงค์ศักดิ์" พระเลขาเจ้าคณะอำเภอวัดวาปีสุทธาวาส พร้อมกับนำภาพถ่ายเมื่อครั้งที่หมอกฤษฏ์ทำพิธีบวชเป็นสามเณร และถ่ายรูปคู่กับหลวงปู่ปริศนาที่เจ้าตัวกล่าวอ้างว่าเป็นอาจารย์ในหนังสือให้ดู ปรากฏพระเลขาก็ตอบออกมาทันทีว่าสถานที่ที่อยู่ในรูปนี้คือที่วัดวาปีสุทธาวาส และหลวงพ่อที่ทำพิธีเป็นพระอุปัชฌาย์บวชเณรให้กับหมอกฤษฏ์ในรูปก็คือ ท่านเจ้าอาวาสคนเก่า "พระครูวาปีวรคุณ" (หลวงพ่อนิตย์) ที่มรณภาพไปแล้วเมื่อต้นปี นอกจากนั้นยังพาไปดูบริเวณสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ในรูปพ็อกเก็ตบุ๊คของหมอกฤษฏ์ชนิดแบบรูปต่อรูปเลยทีเดียว

"ดูจากในรูปแล้วเขาบวชที่วัดนี้แหละ อย่างในรูปนี้ (ชี้ไปที่ภาพหมอกฤษฏ์ถ่ายกับหลวงปู่บริเวณหน้าพระประธาน) ถ้าโยมไปดูอีกฝั่งจะเห็นชัด เพราะว่าตรงฐานพระก็คือตรงวัดนี้ และที่วัดนี้ก็เคยเป็นสำนักสงฆ์มาก่อนจริงๆ ต่อมาได้รับการจดทะเบียนแต่งตั้งให้เป็นวัดประมาณ พศ.2514 วัดนี้ตั้งมาประมาณ 30 กว่าปี รูปที่เขาถ่ายกับหลวงปู่ตรงหน้าพระประธาน ก็คือตรงนี้ซึ่งแท่นพระประธานที่ตั้งอยู่ที่วัด มองทะลุผ่านองค์พระไปจะเห็นหน้าต่างเหมือนกับในรูป แต่ปัจจุบันนี้จะมีการกั้นห้องตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา"

"ส่วนอีกภาพหนึ่ง(ภาพที่หมอกฤษฏ์กำลังทำพิธีบวชเณร)จะอยู่ตรงบริเวณหน้ากฏิเจ้าอาวาสองค์เก่า ย้อนไปประมาณปีที่แล้วโต๊ะมุขชุดเดียวกับรูปในหนังสือนี้จะอยู่ข้างนอกห้อง แต่ตอนนี้ย้ายที่เอามาตั้งอีกมุมหนึ่งแล้วเท่าที่ดูน่าจะเป็นโต๊ะมุกชุดเดียวกันนะ ส่วนรูปนี้ (รูปที่หมอกฤษฏ์ทำพิธีบวชเณรเสร็จแล้วมานั่งถ่ายรูปกับป้าและน้องชาย) ก็จะย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้าม และมีโต๊ะมุกชุดเดียวกันตั้งอยู่ แต่ว่าของทั้งหลายที่อยู่ในรูปมีการย้ายและเปลี่ยนทำเลที่ตั้งไปบ้างแล้ว"

"สรุปก็คือเขาบวชที่นี่ (ชี้ไปที่ภาพหมอกฤษฏ์กำลังถวายสังฆทาน) พอบวชเสร็จก็ต้องถวายสังฆทาน ที่ยืนยันก็คือมันก็เหมือนกับว่า คนนั่งกันสองคนแล้วมีมงคลคล้องหัวนั่นคือสัญลักษณ์การแต่งงาน นี่ก็เหมือนกันในรูปหลังจากที่ห่มผ้าเหลืองเสร็จก็มานั่งรับศีล ส่วนหลวงพ่อนิตย์ก็เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ภาพที่เห็นถือว่าเป็นสัญลักษณ์ในการบวชเณร ฉะนั้นถ้าดูจากในรูปและเปรียบเทียบแล้วอาตมาคิดว่า เขาต้องมาบวชเณรที่วัดนี้แน่นอน แต่พอหลังจากบวชแล้วเขาก็อาจจะไปจำพรรษาอยู่ที่อื่นก็ได้"

“พระครูวิบูลย์กิจสุนทร” เจ้าอาวาสวัดวาปีสุทธาวาส เผยไม่เคยมีพระที่อายุถึง 96 ปีจำพรรษาอยู่ที่วัดเหมือนที่ “หมอกฤษฏ์” กล่าวอ้างว่า ได้เรียนรู้วิชาการดูดวงมาจากหลวงปู่ที่อายุ 96 ปี

แต่ถึงจะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า หมอกฤษฏ์ได้มาบวชที่วัดแห่งนี้แน่นอน แต่ที่น่าแปลกก็คือไม่มีพระรูปใดรู้จักหลวงปู่ที่ถ่ายภาพคู่กับหมอกฤษฏ์ แม้แต่ "พระครูวิบูลย์กิจสุนทร" เจ้าอาวาสวัดวาปีสุทธาวาสที่จำพรรษามานับ 20 กว่าปี และที่สำคัญวัดแห่งนี้ไม่เคยมีพระที่อายุถึง 96 ปีจำพรรษาอยู่ที่นี่เหมือนที่ “หมอกฤษฏ์” กล่าวอ้างว่า ได้เรียนรู้วิชาการดูดวงมาจากหลวงปู่ที่อายุ 96 ปี

"อาตมาบวชที่วัดนี้มา 20 กว่าปีแล้วตั้งแต่กุฏิยังไม่มี ในบรรดาพระที่วัดก็มีอาตมานี่แหละ ที่พรรษามากกว่าทุกรูปในวัด ในเรื่องพระที่ดูดวงได้ก็มีหลวงพ่อนิตย์ เจ้าอาวาสองค์ที่แล้วและก็อาตมาพระที่ดูได้ แต่พระลูกวัดท่านอื่นก็ไม่เห็นมี แต่ดูจากรูปแล้ว(รูปหมอกฤษฏ์ถ่ายกับหลวงปู่) หน้าตาคุ้นๆ จะเป็นหลวงตามากหรือเปล่า หน้าตาเขาคล้ายๆแบบนี้ แต่หมอกฤษฏ์นี่จำไม่ได้ (หัวเราะ) อาตมาบวชที่นี่มาไม่เคยได้ยินวิชาจากพระครูอินทร์เทวดา"

"หลวงตามากแกเป็นพระที่พอดูดวงได้ มรณภาพไปหลายปีแล้ว แต่ท่านไม่ใช่พระที่วัดนี้นะ อยู่ที่อื่นพอบวชแล้วมาจำพรรษาที่นี่หลายปีอยู่เหมือนกัน แกมาจากเพชรบุรีเคยไปเรียนวิชามาจากอาจารย์เดียวกันกับท่านเจ้าอาวาสองค์เก่าที่วัดแถวเพชรบุรี แต่หลวงตามากท่านมรณภาพไปเมื่อตอนอายุประมาณ 80 ปีไม่ถึง 96 ปีและก็ไม่ใช่ปีพศ.2548 ด้วย ส่วนหลวงตาแก่ๆ ท่านอื่นๆ ที่มรณภาพไป แล้วหลวงตาตุ้น หลวงตามาก หลวงตาเมื่อย และก็หลวงตาเฟื้อง ก็ดูดวงไม่ได้เลยสักองค์เดียว และที่วัดนี้ก็ยังไม่เคยมีพระรูปไหนที่อายุถึง 96 ปี"

นอกจากนั้นแล้ว “พระณรงค์ศักดิ์” เลขาเจ้าคณะอำเภอยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากจะไม่มีพระที่เคยมีอายุถึง 96 ปีจำพรรษาในวัดวาปีสุทธาวาสแล้ว ปี 2548 ในอำเภอจอมบึงก็ไม่มีพระรูปใดมรณภาพ เหมือนที่หมอกฤษฏ์ได้กล่าวอ้างว่า หลวงปู่ที่เป็นอาจารย์ของหมอกฤษฏ์ได้มรณภาพไปตั้งแต่ปี 2548 !!

ส่วนเรื่องที่เจ้าอาวาสวัดวาปีสุทธาวาสกล่าวว่า หลวงปู่ในรูปมีลักษณะคล้ายหลวงตามาก ที่เคยจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้น จากการตรวจสอบไปยังครอบครัวของหลวงตามาก ที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ บริเวณวัด ต่างยืนยันว่าภาพดังกล่าวไม่ใช่หลวงตามากอย่างแน่นอน เพราะถ้าเป็นหลวงตามากจะต้องขาว ใบหน้ายาวกว่านี้ ที่สำคัญหลวงตามากมรณภาพไปเมื่อตอนอายุ 80 ปีเท่านั้นเอง

เมื่อหลวงปู่ที่หมอกฤษฏ์กล่าวอ้างว่าเป็นอาจารย์ กลับไม่มีพระรูปใดในวัดรู้จัก ประหนึ่งว่าไม่มีตัวตน คำถามก็คือแล้ว “หมอหน้าบาก” ที่หมอกฤษฏ์บอกว่า เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาบริเฉท 7 ดาราให้กับหลวงปู่มีตัวตนจริงหรือไม่ ?!

พระณรงค์ศักดิ์ เลขาเจ้าคณะอำเภอยืนยันว่า ภาพที่ หมอกฤษฏ์ ถ่ายขณะบวชที่วัดแห่งหนึ่งนั้น คือวาปีฯ นั่นเอง

ภาพที่ หมอกฤษฏ์ ที่ถ่ายกับ หลวงปู่ปริศนา ที่วัดที่ตนเองบวช
ภาพในอดีต กับภาพปัจจุบัน ตำแหน่งเดียวกันกับที่ หมอกฤษฏ์ ถ่ายภาพกับ หลวงปู่ปริศนา
ที่แท้ พระครูวาปีวรคุณ (หลวงพ่อนิตย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดวาปีฯ คือพระอุปัชฌาย์ให้หมอกฤษฏ์
โต๊ะหมู่บูชาอันเดียวกับที่อยู่ในภาพถ่ายขณะบวชของ หมอกฤษฏ์ แต่ปัจจุบันมีการกั้นเป็นห้องกระจก และทำหน้าต่างเพิ่มขึ้น
พระครูวาปีวรคุณ (หลวงพ่อนิตย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดวาปีฯ
“หมอสลึง” หมอดูชื่อดังราชบุรี ยัน “หมอหน้าบาก” ผู้ที่ถ่ายทอดตำราบริเฉท 7 ดาราให้ “หลวงปู่” ซึ่งเป็นอาจารย์ของ “หมอกฤษฏ์” แท้จริงแล้วไม่ได้หน้าบากเป็นแผลยาวมาจนถึงหูด้านซ้ายเหมือนที่หมอกฤษฏ์กล่าวอ้าง หากแต่หน้าผากย่น ซึ่งเป็นลักษณะของคนมีอาคมตามความเชื่อของคนสมัยก่อน

สุดท้าย ASTV บันเทิงผู้จัดการออนไลน์ก็เลยต้องย้อนกลับไปที่อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีอีกครั้ง เพื่อตามหาหมอหน้าบาก ที่หมอกฤษฏ์กล่าวไว้ในพ็อกเก็ตบุ๊คว่า หมอหน้าบากเคยดูดวงในตลาดราชบุรีเมื่อประมาณ 70 ปีก่อน
ซึ่ง "นายเชิด โพธิ์ทอง" อายุ 72 ปี อาชีพขับรถสามล้ออยู่ในตลาดราชบุรี ได้กล่าวว่า ที่ราชบุรีมีตลาดสองตลาด เป็นตลาดเก่าและตลาดใหม่ ตลาดเก่าจะสร้างเมื่อร้อยปีที่แล้ว และตลาดใหม่ก็สร้างมาได้หลายสิบปีแล้ว ซึ่งตนก็ขับรถทำมาหากินอยู่ทั้งสองตลาด แต่ไม่เคยได้ยินชื่อหมอดูหน้าบาก หรือหมอดูที่หน้าบากเหมือนที่หมอกฤษฏ์ได้บรรยายไว้ในหนังสือ และในตลาดก็ไม่เคยมีหมอดูมานั่งดูดวง จะมีก็แค่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วดูเท่านั้น

ทางด้านชาวบ้านหรือแม่ค้าคนอื่นๆ ที่ประกอบอาชีพขายของอยู่ในตลาดนี้มานาน ต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเห็นและได้ยินชื่อหมอดูหน้าบากมาก่อน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเราไปสอบถามเรื่องนี้กับ “หมอสลึง”
อาจารย์นพรัตน์ อุ่นทา หมอดูชื่อดังของราชบุรี ก็ได้ทราบความจริงว่า หมอดูหน้าบากนั้นมีอยู่จริง แต่ไม่ได้มีลักษณะใบหน้าเป็นแผลเหมือนที่หมอกฤษฏ์กล่าว

"ผมบวชที่วัดเขาถ้ำกรวย จังหวัดราชบุรี เมื่อ พ.ศ.2510 เรียนหนังสือกับหลวงพ่อผักกับหลวงปู่โต๊ะ ที่วัดประดู่เป็นหนังสือขอม และบวชเรื่อยมาจนเป็นเจ้าอาวาสเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ แล้วแต่หลวงปู่หลวงพ่อจะพาไป จนกระทั่งมาสึกเมื่อ พ.ศ.2520 ในช่วงที่บวชก็รู้จักหลวงปู่พรหมที่วัดสัตตนารถปริวัตร แต่ไม่ได้คลุกคลีกับท่านมาก ส่วนพระครูอินทร์เทวดารู้จักแต่ชื่อ ไม่ทราบรายละเอียดมาก เพราะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ท่าน”

และทันทีที่เอ่ยถามว่าเคยได้ยินชื่อ และเจอกับหมอดูหน้าบากบ้างไหม เจ้าตัวรีบตอบในทันทีว่าเคยเห็นพร้อมกับบรรยายลักษณะให้ฟังอย่างละเอียด ถึงสาเหตุที่หมอดูคนนี้ถูกเรียกว่าหมอดูหน้าบาก

"เคยเห็น แต่เราไม่ได้ไปสุงสิงกับเขา หมอหน้าบากมีจริง เป็นหมอดูทั่วไปเขาจะเดินทางไปเรื่อยๆ เคยเห็นหน้ายืนยันว่ามีตัวจริง ลักษณะหน้าแกจะเป็นย่นๆ มีเส้นหน้าผาก แกไม่ได้บาก แต่จะเป็นเส้นย่นๆ ไม่ใช่แผลเป็น เป็นลักษณะของคนมีคาถาอาคมตามความเชื่อของคนโบราณ แกนุ่งขาวห่มขาวตัวสูงใหญ่ เคยเห็นตั้งแต่เมื่อสมัยที่บวชใหม่ๆ พ.ศ.2510 โน่น"

"ตอนที่เจอกับหมอหน้าบากตอนนั้น เขาน่าจะอายุประมาณ 50 กว่าๆ ส่วนหมอนี่อายุประมาณ 20 ปีได้ หมอดูหน้าบากเขาเป็นฆราวาสไม่ได้เป็นพระ จะเป็นคนที่พกหนังสือขอมตลอด มีใบลานสมุดข่อยเป็นตำราคล้ายๆ กับหลวงพ่อผัก หลวงปู่โต๊ะนี่ล่ะ แต่บางตำรามันหายไป"

"ในยุคนั้นหมอหน้าบากถือว่าเป็นที่นิยมเหมือนกันนะ เขาดูวันเดือนปีดูลายมือลายเท้า หรือบางทีเขียนเลขคำนวณยาวเหยียด เป็นเจ็ดตัวหรือสิบห้าตัวก็มี แกทำได้หลายอย่าง แต่มันก็เป็นตำราคล้ายๆ กันนะ แต่จะละเอียดไม่ละเอียดเป็นเรื่องของส่วนบุคคล"

"ในเรื่องของครูบาอาจารย์ของหมอหน้าบาก เท่าที่เขาเคยเล่าให้ฟังนิดหน่อยไม่ละเอียดถี่ถ้วน เขาบอกว่าเรียนมาจากพระ เป็นหนังสือขอมแล้วก็สมัยนั้นพวกที่เป็นหมอดูมีตำราจริงๆ มักจะมารวมตัวกันอยู่ที่วัดคุยกับหลวงพ่อ ส่วนเราเป็นพระใหม่ก็มานั่งฟังกับเขาด้วย ถึงได้รู้จักเขาแต่ไม่สนิทมาก"

"สำหรับเรื่องลูกศิษย์ของหมอหน้าบากนี่ไม่ทราบเลย รู้ข่าวแค่ว่าแกหายสาบสูญไป ถ้าเป็นครูบาอาจารย์เดียวกับเรายังพอจะทราบบ้าง แต่นี่เขาก็เรียนมาของเขา เราก็เรียนของเรา เลยไม่ทราบว่าเขาไปถ่ายทอดให้ใครบ้าง เพราะแกเดินทางไปเรื่อยๆ เป็นหมอดูแม่น แต่ถ้าใครเชิญไปทำพิธีที่ไหนแกก็ไป คิดว่าแกคงตายไปนานแล้ว"

"เราไม่ได้ข่าวว่าตายนะ แต่จะได้ข่าวว่าสาบสูญไปตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2520 หมอหน้าบากแกน่าจะเป็นคนราชบุรีนี่แหละ แต่อยู่ อ.โพธาราม เท่าที่ฟังเขาคุยกันจริงๆ ก็ไม่รู้ว่ายังไง วิชาหมอดูในสมัยก่อนมันเป็นอะไรที่เร้นลับ อย่างเมื่อก่อนเวลาคนที่โดนปืนยิงกระสุนฝังใน ผ่าตัดไม่ได้ เขาจะมาตามหมอหน้าบาก แกก็ไปนั่งสมาธิสวดมนต์ แล้วลูกปืนก็ค่อยเคลื่อนออกมาได้ เป็นเรื่องน่าแปลกมาก”

“สมัยก่อนเขาจะมีคัมภีร์มีหนังสือขอมใบลานใบตาลหอบมาอ่านกัน แกชอบไปตามวัดไปคุยกับพระไปเรื่อยๆ ส่วนมากพักตามวัด พวกนี้ไม่มีบ้าน คนติดตามก็ไม่มีมีแต่คนมารับ เขาไม่ได้มาอยู่ประจำที่ไหน สมัยก่อนไม่มีใครเขาไปดูในตลาดหรอก หมอดูเขาจะมารวมตัวกันที่วัด"

สรุปว่า “หมอกฤษฏ์” ไม่ได้บวชที่วัดสัตตนารถฯ ราชบุรี และร่ำเรียนตำราบริเฉท 7 ดาราจากพระลูกวัดเหมือนที่ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร WHO แต่หมอกฤษฏ์ไปบวชเณรที่วัดวาปีสุทธาวาส ในอำเภอจอมบึง ราชบุรี อย่างไรก็ตามกลับไม่มีพระรูปใดในวัดรู้จักหลวงปู่ที่อายุ 96 ปีอาจารย์ของหมอฤษฏ์แต่อย่างใด ทั้งที่หมอกฤษฏ์ยืนยันในพ็อกเก็ตบุ๊คว่า ได้ไปบวชเณรและได้วิชาดูดวงจากพระลูกวัดแห่งนั้น

ที่สำคัญในวัดวาปีสุทธาวาสก็ไม่มีพระรูปใดที่อายุถึง 96 ปี และในปี 2548 ก็ไม่มีพระในอำเภอจอมบึงมรณภาพแม้แต่รูปเดียว สวนทางกับสิ่งที่หมอกฤษฏ์กล่าวไว้

แม้แต่หมอหน้าบากผู้ที่ถ่ายทอดวิชาดูดวงให้กับหลวงปู่ปริศนา ซึ่งหมอกฤษฏ์บรรยายไว้ในพ็อกเก็ตบุ๊คว่า มีลักษณะหน้าบากเนื่องจากถูกมีดฟันตั้งแต่ประมาณกลางกระหม่อม เรื่อยลงมาจนถึงจมูกแล้วก็ยาวไปถึงหางหูทางด้านซ้าย จึงทำให้ผู้คนเรียกกันว่าหมอดูหน้าบากนั้น “หมอสลึง” หมอดูชื่อดังเมืองราชบุรี ผู้ที่กล่าวว่าเคยเห็นหมอหน้าบากตั้งแต่สมัยที่บวชพระ ก็ยืนยันว่า หมอหน้าบากไม่ได้มีแผลเป็นเหมือนที่หมอกฤษฏ์กล่าวอ้าง เป็นแค่รอยย่นตรงกลางหน้าผาก ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่มีคาถาอาคมตามความเชื่อของคนสมัยก่อน

น่าแปลกว่าทำไมข้อมูลจากปากของผู้คนที่เกี่ยวข้อง กลับไม่ตรงกับสิ่งที่หมอกฤษฏ์เขียนเล่าถึงที่มาที่ไปของตำราบริเฉท 7 ดาราในพ็อกเก็ตบุ๊ค ยังมีความลับอะไรที่ซ่อนอยู่อีกหรือไม่

ติดตาม ปริศนา “หมอกฤษฏ์” กับ “ตำราบริเฉท 7 ดารา” ตอน4(จบ) “เมื่อความลับแตก !!” ได้ในวันถัดไป....

ปริศนา “หมอกฤษฏ์” กับ “บริเฉท 7 ดารา” ตอน 2“พลิกแผ่นดินตามหา หลวงปู่ปริศนา” บุคคลที่ “หมอกฤษฏ์” ไม่เคยเปิดเผย "

ปริศนา “หมอกฤษฏ์” กับ บริเฉท 7 ดารา ตอน 1"ตำราเทวดา หรือ ตำนานขี้โม้!"
หมอกฤษฏ์ ถ่ายภาพกับป้าขณะมาบวช
ชุดเก้าอี้มุขซึ่งอยู่ในภาพที่ หมอกฤษฏ์ ถ่ายกับป้า ปัจจุบันถูกย้ายไปตั้งตำแหน่งอื่น
ชุดเก้าอี้มุขซึ่งอยู่ในภาพที่ หมอกฤษฏ์ ถ่ายกับป้า ปัจจุบันถูกย้ายไปตั้งตำแหน่งอื่น
 “พระครูวิบูลย์กิจสุนทร” เจ้าอาวาสวัดวาปีสุทธาวาสรูปปัจจุบัน
หมอสลึง หมอดูชื่อดังราชบุรี
กำลังโหลดความคิดเห็น