ตรัง - “ไข่หมูก” ตัดสินใจเข้ามอบตัวต่อรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังถูกกดดันอย่างหนักจากการตามไล่ล่ามาเป็นระยะเวลานานแล้ว ยืนยันตนเองไม่ได้เรียกค่าคุ้มครองอย่างที่ถูกกล่าวหา
วันนี้ (5 ส.ค.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายปราบปราม พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประเสริฐ จันทร์สว่าง ผบก.ภ.จว.ตรัง พล.ต.ต.กิติสัณห์ เดชสุนทรวัฒน์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง และพระอาจารย์ประสูติ ปิยธัมโม เจ้าอาวาสวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา) อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคใต้ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมประมาณ 50 นาย เดินทางเข้าไปยังบริเวณพื้นที่ห้วยลำพัน หมู่ที่ 5 บ้านแพน ต.ลานข่อย อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง เพื่อรับมอบตัว นายเจิม เส้งเอียด หรือไข่หมูก จอมโจรเรียกค่าคุ้มครองชื่อดังของภาคใต้ วัย 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 217 หมู่ที่ 4 ต.ป่าพะยอม อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งค่าหัวไว้ที่ 50,000 บาท
ทั้งนี้ การเข้ามอบตัวของนายเจิม หรือไข่หมูก ในครั้งนี้ เป็นไปตามแรงกดดันอย่างหนักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ท.ธานี ทวิชศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พล.ต.ต.ประเสริฐ จันทร์สว่าง ผบก.ภ.จว.ตรัง หรือ พล.ต.ต.กิติสัณห์ เดชสุนทรวัฒน์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง รวมทั้ง พระอาจารย์สูติ ปิยธัมโม เจ้าอาวาสวัดในเตา ซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่นายเจิมให้การเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อประมาณปี 2551 ได้เคยไปบวชเป็นพระที่วัดดังกล่าว และเคยรับปากต่อพระอาจารย์ประสูติว่าจะไม่ไปก่อคดีเหมือนอย่างเช่นที่เคยกระทำในอดีตอีกแล้ว จึงได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวในที่สุด โดยมีข้อแม้ว่าผู้รับมอบตัวจะต้องเป็น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนเดียวเท่านั้น
จากนั้น เมื่อเวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายเจิมมาแถลงข่าวที่ สภ.ห้วยยอด จังหวัดตรัง ซึ่งเบื้องต้นถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีกรรโชคทรัพย์ผู้อื่น ตามหมายจับในหลายท้องที่ของภาคใต้ รวม 9 คดี ประกอบด้วย จังหวัดตรัง คือ สภ.ห้วยยอด 1 คดี สภ.รัษฎา 2 คดี จังหวัดพัทลุง คือ สภ.ป่าพะยอม 2 คดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี คือ สภ.ไชยา 1 คดี จังหวัดนครศรีธรรมราช คือ สภ.ชะอวด 1 คดี จังหวัดสงขลา คือ สภ.หาดใหญ่ 1 คดี และจังหวัดยะลา คือ สภ.เบตง 1 คดี โดย นายเจิม ให้การกึ่งรับกึ่งปฎิเสธว่า การก่อเหตุเรียกค่าคุ้มครองต่างๆ ที่ผ่านมา ตนเองมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนญาติพี่น้องหรือลูกน้องเก่าของตนเองที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังนั้น ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นความจริงใดๆ ทั้งสิ้น
นายเจิมยืนยันว่า การเรียกค่าคุ้มครองในพื้นที่ภาคใต้ช่วงที่ผ่านมา เป็นฝีมือของกลุ่มวัยรุ่นทั่วไปที่นำชื่อของตนเองมาแอบอ้าง พร้อมทั้งยังเขียนจดหมายปลอมส่งไปเรียกค่าคุ้มครองจากนักธุรกิจ ซึ่งหลังจากลูกเลี้ยงถูกจับกุมที่จังหวัดพัทลุง ตนเองจึงต้องหลบหนี และไม่กล้าออกมามอบตัว เพราะไม่มั่นใจว่าคดีนี้จะได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดพัทลุงมาโดยตลอด โดยมิได้เคยหลบหนีไปอยู่ที่กรุงเทพฯ หรือที่อื่นใดตามที่เป็นข่าวเลย แต่ช่วงหลังมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้เครื่องตรวจจับดาวเทียม ทำให้การหลบหนีของตนเองเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น สุดท้ายจึงตัดสินใจเจรจาเข้ามอบตัวเพื่อต่อสู้คดี โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าจะต้องติดคุกในคดีนี้จริงๆ ก็ขอติดคุกอยู่ที่เรือนจำจังหวัดพัทลุง บ้านเกิด เท่านั้น
นายเจิมให้การอีกว่า เมื่อช่วงประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมา พล.ต.ต.กิติสัณห์ เดชสุนทรวัฒน์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช และตรัง ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 434 พัทลุง พร้อมสุนัขสงครามเข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านญาติของตนในพื้นที่หมู่ที่ 5 บ้านแพน ต.ลานข่อย อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ซึ่งขณะนั้นตนและภรรยาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย โดยกำลังปลูกต้นขมิ้นอยู่ แต่ก็แปลกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดไล่ล่ากลับมองไม่เห็นตัว เมื่อถึงจังหวะนี้ผู้สื่อข่าวได้ถามว่าที่มองไม่เห็นเพราะเขาร่ำลือกันว่ามีคาถาอาคมหรือวิชาบดบังตัวเอาไว้ใช่หรือไม่ นายเจิมไม่ยอมตอบคำนี้พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายเจิมบอกผ่านต่อผู้สื่อข่าว ต่อหน้า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็คือ อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ นายเอียด เซ่งเอียด น้องชาย และหลานของตนจะพ้นโทษออกมาจากเรือนจำแล้ว อยากจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในสังคมเหมือนผู้อื่นทั่วๆ ไป พร้อมกลับตัวเป็นคนดี และทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง ขออย่าให้ครอบครัวของตนเองต้องถูกนำไปโยงกับคดีต่างๆ อีก และขอให้พี่น้องประชาชนสบายใจได้เลยว่า ครอบครัวของตนเอง จะไม่ไปสร้างความเดือดร้อนใดๆ ให้อีกอย่างแน่นอน สำหรับเรื่องของการดำเนินคดีกรรโชกทรัพย์ หรืออื่นๆ ของตนเองนั้น ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปด้วยความเป็นธรรม และพร้อมจะต่อสู้คดีโดยไม่ขอประกันตัวออกมา
พระอาจารย์ประสูติ ปิยธัมโม เจ้าอาวาสวัดในเตา กล่าวว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนายเจิม หรือไข่หมูก ตนได้รับรู้มาโดยตลอด พร้อมทั้งพูดคุยปรึกษาหาวิธีให้เขาได้กลับมาคืนสู่สังคมตามปกติ และหวังว่าจากนี้ไปทุกอย่างจะสงบสุขกันมากขึ้น รวมทั้งให้อภัยและยกโทษในสิ่งที่เขากระทำไปในบางอย่าง พร้อมขอให้ได้รับความเป็นธรรมในส่วนของการดำเนินคดี แต่ไม่สามารถพูดได้ว่านายเจิมบริสุทธิ์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากลายมือและจดหมายเรียกค่าคุ้มครองที่ตำรวจนำมาให้ดูก็เชื่อว่าไม่ใช่ฝีมือของเขา เพราะจำลายมือนายเจิมสมัยที่มาบวชอยู่ในวัดเกือบ 1 ปี ได้เป็นอย่างดี ที่พูดเช่นนี้มิใช่เป็นการปกป้องอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างขึ้นกับความจริง ถ้าปกป้องจะไม่มีเหตุการณ์มอบตัวอย่างวันนี้เด็ดขาด
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้วางแผนกดดันตามล่าตัว นายเจิม หรือไข่หมูก มาอย่างต่อเนื่อง 3-4 เดือนมาแล้ว โดยใช้เทคโนโลยีของกองวิทยาการ กองบัญชาการตำรวจภาค 9 เข้าช่วย พร้อมทั้งได้มีการประสานผ่านไปทาง พระอาจารย์ประสูติ ด้วย ทุกอย่างจึงสำเร็จผล ส่วนการดำเนินคดีตามหมายจับที่ออกมาแล้ว 8-9 คดีนั้น ก็เป็นเรื่องที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และภาค 9 จะดำเนินการต่อไป โดยเจ้าหน้าที่พร้อมจะให้ความเป็นธรรมในการดำเนินคดีอย่างเต็มที่ แต่นายเจิม จะเป็นคนร้ายเรียกค่าคุ้มครองตัวจริงหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมหรือทางกฎหมายต่อไป
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวอีกว่า เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาต้องรับว่า ชื่อเสียงของไข่หมูกเป็นที่โด่งดังอย่างมากในพื้นที่ภาคใต้ เพราะฉะนั้น เมื่อกรณีใดก็ตามเอาไปแอบอ้าง คนที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง จึงมีการยอมจ่ายคุ้มครองให้ตามข่าวที่ปรากฏออกมา ส่วนหลังจากนี้ไปแล้ว ความสงบจะกลับคืนมาสู่พื้นที่ภาคใต้จริงๆ หรือไม่ ตนเองคงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังมีรายชื่อของกลุ่มผู้ต้องหาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกระบวนการเรียกค่าคุ้มครองที่ผ่านมา จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องในการตามล่าตัวต่อไป พร้อมทั้งเชื่อว่าการที่ไข่หมูกสามารถหลบหนีลอยนวลอยู่ได้นานนั้น ไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือมีผู้มีอิทธิพลรายใดอยู่เบื้องหลัง