ไม่ใช่แค่ความคิดเห็นของคุณผู้อ่านบางท่านบางคนที่มาโพสต์ไว้ในกรอบแสดงความเห็นข้างล่างบทความของผม แต่หลายครั้งหลายหน กับหลายๆ คนที่ได้พบเจอและสนทนา ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันแบบเจือน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ ว่าเพราะอะไร คนไทยถึงไม่ดูหนังไทยหรือไม่ชอบดูหนังไทย ขณะที่บางคนนี่ไปไกลถึงขั้นเอ่ยอ้างแนวคิดเชิงชาตินิยมขึ้นมาพูดเลยว่า ถ้าคนไทยไม่สนับสนุนของไทย แล้วใครไหนล่ะจะมาอุ้มชู?
พูดไปก็น่าเห็นใจล่ะครับ เพราะเชื่อว่า คนทำงานแต่ละท่านแต่ละคนต่างก็หวังดอกผลจาก "สินค้า" ของตัวเองทั้งนั้น อย่างทำหนังมาเรื่องหนึ่งก็ย่อมต้องฝันถึงการตอบรับที่ดี ไม่ว่าจะในแง่ของรายได้หรือคำชื่นชม
แต่ก็อีกนั่นแหละ ในโลกเสรีแบบทุกวันนี้ที่มีอะไรๆ ให้เลือกเสพเลือกรับเยอะแยะมากมาย ผมว่าความคิดแบบ “เป็นคนไทยต้องดูหนังไทย” นั้น เป็นความคิดที่นอกจากจะ "ปิดกั้น" ยังดู "คับแคบ" สุดจิตสุดใจ
ผมคิดอย่างนี้นะครับว่า ก่อนที่เราจะออกมาร้องแรกแหกกระเชอว่า เป็นคนไทยต้องดูหนังไทย สิ่งที่เราๆ ท่านๆ โดยเฉพาะคนทำหนังทั้งหลาย ต้องย้อนกลับไปมองให้ชัดๆ ก่อน ก็คือว่า ผลงานที่ผลิตที่สร้างกันออกมานั้น มันมี "คุณค่า" หรือ "คุณภาพ" เพียงพอหรือเปล่ากับการที่จะเก็บเงินจากกระเป๋าของคนดู
คือไม่ใช่ว่าทำหนังห่วยๆ ออกมา แล้วพอคนไม่ไปดู ก็ทู่ซี้ดันทุรังอ้างตรรกะตื้นๆ แบบว่า "คนไทยประสาอะไร ไม่ดูหนังไทย"...อย่างนั้น ผมว่ามันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย
อย่าลืมสิครับว่า คนดูหนังเขามีสมองและดุลยพินิจ เขา "คิดได้" และ "ตัดสินใจเป็น" ว่าหนังเช่นใดคุ้มค่ากับการดู แล้วผมก็ชอบจังเลยกับถ้อยคำประโยคหนึ่งซึ่งมีคนพูดเข้าหูอยู่บ่อยๆ ว่า "คนไทยไม่ได้กินหญ้า"
แน่นอนล่ะ โดยน้ำเสียงของวาจา มันอาจจะฟังดู "แรง" มากๆ ในความนึกคิด แต่ผมว่า นี่แหละครับ "จริง" ที่สุดแล้ว
และที่สำคัญ ถ้าคนทำหนังเก็บคำนี้ไปคิดต่อ จะเป็นประโยชน์มากมายเลยนะครับ เพราะถ้าคุณเชื่อว่าคนดูเขาไม่ได้โง่ พวกคุณก็จะได้เลิก "คิดโง่ๆ" และ "ทำง่ายๆ" โดยไม่สนใจว่าคุณภาพของหนังจะดีหรือด้อยอย่างไรกันเสียที
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่ผมเกริ่นมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันเป็นอะไรที่ "เป็นไปได้ยากยิ่ง" สำหรับวงการหนังไทยที่คำว่า "รายได้กำไร" ถูกยกให้มีค่ามากกว่า "เนื้อหาคุณภาพ" และเชื่อเถอะว่า บางที ผ่านไปอีกร้อยปีหรือมากกว่านั้น หนังไทยประเภท "ตีหัวเข้าบ้าน" หรือ "งานลวกๆ เผาๆ" ก็อาจจะยังไม่หมดไปจากอุตสาหกรรมหนังไทย
และพูดก็พูดเถอะ แม้เราไม่อาจจะกล่าวได้ว่า หนังอย่าง "สวย...ซามูไร" เป็นงานประเภท "ลวกๆ เผาๆ" หรือ "ตีหัวเข้าบ้าน" แต่นี่ก็คือหนังอีกเรื่องหนึ่งซึ่งดูแล้วทำให้ผมรู้สึก “ปวดตับ” อย่างไรบอกไม่ถูก (แน่นอน อาการแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการจิบเมรัยทุกคืนวันศุกร์แต่อย่างใด!!)
โอเคล่ะ ดูจากชื่อชั้นของผู้กำกับอย่าง "มานพ อุดมเดช" มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้คาดหวังกับผลงานเรื่องนี้เหมือนกัน แม้ว่าล่าสุด ฟอร์มของผู้กำกับรุ่นเก๋าท่านนี้ จะ "ตก" ไปบ้างจากการทำหนัง “ตุ๊กแกผี” แต่ก่อนหน้านี้ “อามานพ” ของใครต่อใครคนนี้ เคยสร้างงานดีๆ ไว้หลายต่อหลายเรื่อง
ซึ่งถ้าไม่นับรวมหนังรางวัลอย่าง "คืนบาป พรหมพิราม" ที่ดีเด่นถึงขั้นคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีสุพรรณหงส์ทองคำไปครองเมื่อปี 2546 และ "ครั้งเดียวก็เกินพอ" หนังปี 2530 ที่ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดีถึง 2 รางวัล คือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และบทภายนตร์ยอดเยี่ยม...มานพ อุดมเดช ก็ยังมีงานดีๆ ที่น่าจดจำอีกจำนวนหนึ่ง อย่าง "ประชาชนนอก", "ดอกไม้ในทางปืน", "หย่าเพราะมีชู้" นั่นยังไม่ต้องพูดถึง "กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน" หนังดีๆ ที่ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับฟิล์มนัวร์เมืองไทย
อย่างไรก็ตาม สำหรับ "สวย...ซามูไร" ดูเหมือนจะมี "ชะตากรรม" ที่ไม่ต่างกันเท่าไรนักกับ "ตุ๊กแกผี" นั่นก็คือ คุณมานพ อุดมเดช นอกจากจะไม่สำเร็จในการคืนฟอร์ม หนังทั้งเรื่องยังแสดงให้เห็นถึง "ความไม่พร้อม" ในทุกๆ ด้าน
พูดกันตามความจริง ในแง่ของความเป็นหนัง ผมว่าตุ๊กแกผียังมี "เส้นเรื่อง" ให้จับต้องได้ชัดๆ อยู่มากกว่าด้วยซ้ำ (อย่างน้อยๆ ก็พอจะรู้ว่ามันเป็นหนังผี!!) แต่สำหรับ "สวย..ซามูไร" มันเหมือนมีฝุ่นควันคละคลุ้งลอยฟุ้งอยู่ในหนังชนิดที่ไม่รู้ว่า อะไรคือ "เรื่องราว" หรือ "เนื้อหา" แท้จริงที่หนังอยากจะสื่อสารกับคนดู (คนใกล้ตัวผมบางคนบอกว่าดูไม่รู้เรื่อง ผมก็พอจะเข้าใจว่าไม่ใช่เพราะดูไปหลับไปหรือแอบเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่เป็นเพราะ "เส้นเรื่อง" ของหนังเซไปเซมาเหมือนคนเมาที่ไม่รู้จะทรงตัวยังไงดี)
โดยภาพรวม ผมว่าผู้กำกับมีความทะเยอทะยานสูงอยู่เหมือนกันในการที่จะคว้าโน่นหยิบนี่มาใส่ ไล่ตั้งแต่ภัยก่อการร้ายข้ามชาติ ประเด็นอ่อนไหวในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือแม้กระทั่งการชอบเข้าไปจุ้นจ้านในกิจการประเทศอื่นๆ ของหน่วยงานอย่างซีไอเอ แต่บทหนังที่อ่อนปวกเปียกก็ทำให้ประเด็นทั้งหมดที่ว่ามา ตกอยู่ในภาวะ "คุมไม่อยู่" ในท้ายที่สุด
พูดแบบรวบรัดก็คือว่า หนังไม่มีความลงตัวในแทบจะทุกจุด และสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คนทำหนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะยังไม่มี "ความสุกงอม" และ "ชัดเจน" เพียงพอกับสิ่งที่ตัวเองอยากจะเล่า ส่งผลให้บทหนังดูสะเปะสะปะ กระโดดข้ามไปข้ามมา
มันสะเปะสะปะเหมือนกับภาษาพูดของตัวละครที่ฟังแล้วน่าปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างที่สุด ยกตัวอย่างเจ้าที่ซีไอเอสาวอย่าง "แคลร์" (แจ๊คกี้ อภิธนานนท์) ที่สอบตกในเรื่องการสื่อสารแบบติดลบศูนย์ไปเลย (ไม่เข้าใจเลยครับว่า ทำไม ทั้งๆ ที่เธอพูดไทยกับคนไทยคนหนึ่งได้ แต่พอไปพูดกับคนไทยอีกคนกลับพูดภาษาอังกฤษ คือถ้ามันแค่ครั้งสองครั้ง ผมจะไม่ว่าเลยครับ แต่นี่เป็นทั้งเรื่อง)
พ้นไปจากนี้ แอ็กชั่นที่ประกาศเป็นจุดขายก็จืดสนิท ทีแรก เห็นคำโฆษณาหนังก็ยังกับว่าจะมาทำให้เราได้รับอรรถรสแห่งแอ็กชั่นของสาวซามูไรสไตล์ Kill Bill ยังไงยังงั้น แต่เอาเข้าจริงๆ แค่ฉากแอ็กชั่นธรรมดาๆ ก็สอบไม่ผ่านแล้ว คิวบู๊ก็ดูมั่วๆ ไม่กระจะกระจ่างตาเลยสักช็อต
ขณะเดียวกัน การโชว์เต้าของนักแสดงสาวซามูไร ผมว่ามันเป็นการ "จงใจ" และ "เจตนาขาย" เกินไปหรือเปล่าครับ ในหลายๆ ครั้ง หนังโฟกัสเนินอกอันอวบอิ่มของนักแสดงสาวให้เห็นโต้งๆ เต็มๆ แล้วชุดเสื้อผ้าที่หนังจัดให้พวกเธอสวมใส่ก็ดูจะตั้งใจขาย "ของดี" กันแบบตรงๆ
พูดก็พูดเถอะครับ ว่ากันอย่างถึงที่สุดเลย คนดูหนังเค้าไม่ได้ต้องการเข้าไปดูหรอกครับหน้าอกของดาราสาวๆ จะอวบอึ๋มขนาดไหน เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ ก็คือ หนังที่เล่าเรื่องได้ดีๆ มีประเด็น หรือถ้าเป็นหนังไร้สาระ ก็ขอให้ดูสนุกหน่อย แต่ "สวย...ซามูไร" ไม่มีอะไรที่ว่ามาเลย
สุดท้าย คนอื่นเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ แต่สำหรับผม เวลาเกือบๆ สองชั่วโมงและค่าตั๋วร้อยยี่สิบบาทกับการดูหนังเรื่องนี้ นับเป็นความสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง