ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากไปเปิดปากพูดพล่ามให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ด้วยถ้อยคำสามหาวซึ่งทำเอาหัวใจคนไทยผู้จงรักภักดีทุกๆ คนลุกร้อนเป็นเปลวเพลิง...นักโทษชายผู้หลงระเริงไม่รู้จบอย่างทักษิณ ชินวัตร ก็สวมบทบาทกูรูภาพยนตร์ เปิดประเด็นสนทนากับเหล่าสาวกผ่านเครือข่ายทวิตเตอร์ด้วยน้ำเสียงเชิงไต่ถามทำนองว่า มีใครเคยดูหนังเรื่อง Wag the Dog หรือไม่?
แน่นอนครับ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านภาพยนตร์อะไรมากมายนัก แต่ผมและอีกหลายๆ คนก็คงพอจะรู้ว่า ภาพยนตร์ที่ทักษิณ ชินวัตร อ้างถึงนั้น นับเป็นผลงานที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของทศวรรษ 1990 พูดง่ายๆ ก็คือมันเป็นหนังเก่านับสิบปีแล้ว
แต่คำถามที่จะตามมาอีกก็คือว่า แล้วเหตุผลกลใด ชายชรานักลี้ภัยอย่างทักษิณถึงพูดถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาในห้วงเวลาเช่นนี้
คำตอบนั้นหรือ ไหนเลยจะลอยอยู่ในสายลม เพราะบรรทัดถัดมาในวาจาของทักษิณ บ่งบอกชัดเจนถึง “เจตนาสามานย์” แห่งการสาธกยกหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเอ่ยอ้าง...
...“ใครเคยดูหนังเมื่อปี 1997 ชื่อ Wag the Dog นำโดย Robert Deniro เกี่ยวกับอเมริกาส่งคนไปทำสงครามเพื่อจะได้ลืมความล้มเหลวในบ้าน สร้างตอนนี้ พระเอกชื่อ...???”
แกล้งทำเป็นลืมๆ ชื่อพระเอกที่เจ้าของคำพูดจุดเครื่องหมายฟุลสต็อปเว้นที่ว่างไว้ไปก่อนก็ได้...ไม่ว่าใครก็ตามที่เกาะติดก้าวตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองมาโดยตลอด ย่อมจะ “อ่านความหมาย” ของถ้อยคำนี้ออกได้ไม่ยาก เพราะเจตนาที่ซ่อนอยู่ในวาจาของนักโทษพเนจร มันคือการพูดแบบมีเป้าหมายเพื่อ “เทียบเคียง” ให้ผู้คน “เข้าใจ” ไปว่า สิ่งที่รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังกระทำต่อประเทศกัมพูชา ณ เวลานี้ เป็นเพียง “หมากเกม” หมากหนึ่งเพื่อ “เบี่ยงเบน” ความสนใจของประชาชน และ “กลบเกลื่อน” ความล้มเหลวในการบริหารงานที่ผ่านมา!!
ก็เหมือนกับในหนังเรื่อง Wag the Dog ที่ทักษิณ “พยายาม” บอกว่า อเมริกาทำสงครามเพียงเพื่อจะได้ “ลืมความล้มเหลวในบ้าน”
อย่างไรก็ดี ไม่ว่า ณ ตอนนี้ ทักษิณจะกำลังคิดวางแผนเลวร้ายอะไรอยู่ ขณะนั่งจิบไวน์ขวดละล้าน และร่วมโต๊ะอาหารกับรัฐบาลฮุนเซน แต่ประเด็นก็คือ ทั้งๆ ที่มีโอกาสได้ดูหนังดีๆ ระดับตำนานขนาดนั้น แต่ทักษิณก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้เข้าใจ “สารัตถะ” ของหนังที่ตัวเองหยิบมาอ้างอย่างถ่องแท้
เพราะลำพังแค่ “เล่าเรื่องย่อ” ก็ล้มหัวฟาดพื้นไปก่อนแล้ว (แน่นอน สิ่งนี้บอกกล่าวกับเราอย่างเด่นชัดว่า เงินหมื่นๆ ล้านบาทนั้น อาจจะซื้ออะไรต่อมิอะไรได้ก็จริง แต่มิอาจซื้อ “ความเข้าอกเข้าใจ” ใส่สมองของใครได้เลย!!)
เพราะจริงๆ นั้น Wag the Dog ไม่ได้มีเนื้อเรื่องแบบว่า “อเมริกาส่งคนไปทำสงครามเพื่อจะได้ลืมความล้มเหลวในบ้าน” ครับ แต่มันเกี่ยวข้องกับนักการเมืองห่วยๆ ระดับผู้นำคนหนึ่งซึ่งคะแนนนิยมกำลังดิ่งลงเหว และดันไปประพฤติตัวเลวๆ ในช่วงฤดูกาลใกล้วันเลือกตั้งใหม่ เดือดร้อนวุ่นวายถึงลูกสมุนที่ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนหาวิธีการ “สร้างภาพ” ให้กับหัวโจกของตัวเองเพื่อเรียกความเชื่อมั่นศรัทธากลับคืนมาจากประชาชน
พูดง่ายๆ เลย มันเป็นเรื่องของนักการเมืองสามานย์ที่ไม่ต้องการหลุดจากอำนาจ ทั้งๆ ที่ตัวเองมีบาดแผลเต็มตัวยิ่งกว่าวัวสันหลังหวะ...
น่าเศร้าที่ว่า หลังจากคนอย่างทักษิณพยายามบิดเบือน “ความจริง” หลายๆ อย่างมาโดยตลอด แต่มานาทีนี้ ใครเล่าจะคิดว่า แม้แต่สื่อบันเทิงอย่างหนังก็ยังถูกเขาหยิบเอามาพูดถึงแบบ “ผิดๆ ถูกๆ” เพื่อให้คนเข้าใจแบบ “ผิดๆ ถูกๆ”
ที่พูดแบบนี้ เพราะมันแทบจะไม่มีความจริงในถ้อยคำของเขาเลย โดยเพาะอย่างยิ่ง ที่ทักษิณบอกว่า หนังเรื่องนี้พูดถึงการที่อเมริกาส่งคนไปทำสงคราม จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย เพราะสงครามในหนังเป็นเพียงแค่ “ภาพหลอกๆ ลวงๆ” ที่ลูกน้องสมองกลวงของท่านประธานาธิบดีพากันเมคขึ้นมาให้นักข่าวเอาไปกระพือเพื่อเรียกคืนคะแนนนิยมให้กับเจ้านายของพวกตนเท่านั้นเอง
มันไม่ต่างอะไรกับการ “ปลุกผี” ขึ้นมาหลอกหลอนผู้คน แล้วใช้ประโยชน์จากผีที่ไร้ตัวตนนั้น!!
โดยพื้นฐานที่มา Wag the Dog (กำกับโดย แบร์รี่ เลวินสัน) แปลงร่างมาจากหนังสือนวนิยายเรื่อง American Hero (เขียนโดย Barry Beinhart) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการเสียดสีล้อเลียนเรื่องราวฉาวโฉ่ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่าง “บิล คลินตัน” ที่แต่งเรื่องโกหกและสร้าง “สงครามปลอมๆ” ขึ้นมาในชื่อว่า ปฏิบัติการอ่าวสงครามเปอร์เซียเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนไปจากข่าวอื้อฉาวสัมพันธ์สวาทระหว่างเขากับเลขาลูวินสกี้ที่กำลังโด่งดังอยู่ ณ ขณะนั้น
เรื่องราวอันแสนตลกร้ายของ Wag the Dog เริ่มต้นขึ้นในฤดูกาลหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา โดยมีสองคู่แข่งคนสำคัญลงชิงชัย คนหนึ่งเป็นตัวเลือกใหม่ ส่วนอีกคนเป็นผู้นำหน้าเก่า แต่คะแนนนิยมเริ่มแผ่ว ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังตกเป็นข่าวว่าแอบมีอะไรกับสาวเนตรนารีที่มาดูงานในทำเนียบ คนที่ต้องวิ่งหูตั้งก็คือขงเบ้งมือขวาของท่านประธานาธิบดีอย่าง “คอนนี่ บรีน” (โรเบิร์ต เดอ นีโร) ที่ต้องหาวิธีเรียกคะแนนนิยมกลับมาให้ได้ก่อนถึงวันเลือกตั้ง
แน่นอน วิธีของคอนนี่ ก็คือ การเดินเข้าไปหา “สแตนลี่ย์ มอสส์” (ดัสติน ฮอฟฟ์แมน) ผู้อำนวยการสร้างหนังชั้นเซียนแห่งฮอลลีวูด เพื่อร่วมกันผลิตวิดีโอข่าวขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่า บางที คุณทักษิณอาจจะดูหนังเรื่องนี้ตอนกำลังกรึ่มไวน์หรืออย่างไรไม่ทราบ เลยทำให้เข้าใจว่า อเมริกาส่งคนไปทำสงคราม ทั้งที่จริงๆ แล้ว เป็นคอนนี่กับสแตนลี่ย์ต่างหากที่ “กุสร้าง” ข่าวสงครามปลอมๆ ขึ้นมา ผ่าน “สื่อวิดีโอ” ที่พวกเขาแอบผลิตกันแบบลับๆ ก่อนจะส่งไปให้สื่อทีวีและวิทยุออนแอร์ออกอากาศ
พูดกันตามความจริง นี่คือหนังที่ทั้งดูสนุกและได้สาระ สนุกเพราะอารมณ์ขันอันตลกร้ายเหลือรับประทาน และได้สาระเพราะมันสะท้อนให้คนดูได้รู้ได้เห็นถึงธาตุแท้อันสกปรกโสมมที่ซุกซ่อนอยู่ในวงโคจรของการเมืองเลวๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับผม สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือว่า เป้าหมายของทักษิณที่พิมพ์ข้อความเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้โยนขึ้นทวิตเตอร์เพราะต้องการ “สั่นคลอน” ภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยนั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันเป็นการ “คัดสรรผลงาน” มา “ประจานตัวเอง” มากกว่า
เพราะอะไรน่ะหรือ?
ก็เพราะรายละเอียดหลายๆ อย่างในหนังนั้น มัน “พ้องพาน” กับพฤติกรรมของทักษิณอย่างแยกกันแทบไม่ออกนั่นแหละครับ โอเคล่ะ ต่อให้ไม่นับรวม “กุนซือเจ้าเล่ห์” อย่างคอนนี่ที่ชวนให้นึกถึง “แก๊งหัวโข่งหัวขวด” ทั้งหลายซึ่งอาสาเป็น “มือไม้” เคลื่อนไหวแทนเจ้านายในทุกๆ ด้านแล้ว “ความจริง” เกี่ยวกับตัวประธานาธิบดีในหนัง ก็ดูราวกับเป็น “ละครชีวิต” ฉบับเดียวกันที่ทักษิณกำลังเล่นอยู่
คิดดูสิครับ ในขณะที่ท่านประธานาธิบดีในหนังไปพักค้างที่เมืองจีน ไม่ยอมกลับประเทศเพราะกลัวการ “ตอบคำถาม” ทักษิณเองก็ร่อนเร่เป็นสัมภเวสีด้วยเหตุผลไม่ต่างกัน นั่นก็คือทำผิดแล้วหนีโทษ
และถ้าประธานาธิบดีในหนังมีข่าวฉาวโฉ่ว่าไปมีอะไรกับ “หญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของตน” ใช่หรือไม่ว่า ทักษิณเองก็ตกเป็นข่าว “ราวๆ นั้น” อยู่เรื่อยๆ หรือถ้าลูกกระจ๊อกของท่านผู้นำใน Wag the Dog พากันบอกนักข่าวว่าหัวหน้าของพวกเขาป่วยไข้ไม่สบาย (เลยกลับประเทศไม่ได้) คนหนีคดีความอย่างทักษิณก็ถูกลือหนาหูเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมากซึ่งจะฉุดกระชากลากตัวเขาไปเข้าเฝ้าและรายงานตัวต่อท่านยมบาลในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้เช่นกัน
มากกว่านั้น การที่ลูกสมุนของท่านประธานาธิบดีในหนังที่วิ่งกันหูตั้งหางชี้เพื่อสร้างข่าวสงครามในอัลบาเนีย ก็จะต่างอะไรกันเล่ากับการที่ทักษิณไปทำตัวเองให้เป็นข่าวอยู่ ณ มุมนั้นมุมนี้ของโลกด้วยคิดว่าจะไม่มีใครู้ทัน “การสร้างข่าว” ของเขา
คือไม่รู้ว่า รายละเอียดของคนในหนังกับคนนอกจอมันจะคล้ายคลึงกันอะไรถึงเพียงนั้น และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ ขณะที่ท่านประธานาธิบดีในหนังมีลูกน้องเป็นตัวช่วย “สร้างภาพ” ให้ดูดี (โดยมีผู้ผลิตสื่อหิวเงินและผลประโยชน์เข้ามาร่วมสมคบคิด--ฟังดูคล้ายๆ เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองไทยเราบ้างหรือเปล่า??) แต่ทักษิณดูจะไปไกลกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาคนนี้ เคยทำเอง ลงมือเอง โดยไม่ต้องง้อมือง้อตีนลูกสมุนด้วยซ้ำไป
ไม่ว่าจะนุ่งโสร่งอาบน้ำ หรือแม้แต่กางนอนเต๊นท์นอนกลางลานโล่งดินดอนที่ อ.อาจสามารถ มาจนถึงหมอบราบคาบแก้วก้มลงกราบผืนดินสุวรรณภูมิ ใช่หรือไม่ว่า ฉากเหล่านี้ แท้ที่จริงแล้ว มันก็คือฝีมือขั้นสุดยอดของนักแสดงขั้นเทพที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคนิคงานสร้างอะไรให้เปลืองงบ นอกไปจากความ “หนา” ของ “หนังหน้า” แค่นั้นเอง?!?!
และเพราะแบบนั้นด้วยหรือเปล่า บ้านเราเมืองเรา ถึงยังมีคนที่ “หลงเชื่อ” ทักษิณอยู่ เพราะวิธีการ “สร้างภาพลักษณ์” ของเขาที่แสนจะเข้าอกเข้าใจ เขาสามารถทำให้คนที่ได้เห็น “ร่ำไห้” ไปกับชะตากรรมของเขาได้ ซึ่งก็ไม่ต่างกันแต่อย่างใดกับวิธีการของท่านประธานาธิบดีในหนังที่ทำให้ประชาชนปลาบปลื้มน้ำตาไหลไปกับ “ภาพลักษณ์ดีๆ” ที่ถูกสร้างขึ้นโดยของลูกน้องของตน (บอกตามตรงว่าเห็นภาพของผู้คนชาวอเมริกันในหนังหลั่งน้ำตาให้กับ “วีรกรรมจัดสร้าง” ของท่านผู้นำแล้ว ช่างเหมือนกับภาพประชาชนคนเสื้อแดงที่ร่ำไห้ราวกับสูญเสียบุพการีตอนที่ทักษิณโฟนอินเข้ามาในเวทีชุมนุมซะเหลือเกิน!!)
ผมไม่รู้นะครับว่า ทักษิณชอบหนังเรื่องนี้เข้าไปได้ยังไง เพราะเมื่อภาพรวมของหนังทั้งหมดมัน “โดน” เข้ากับ “ความจริง” ของตัวเขาแบบเต็มๆ เท่าๆ กับที่ไม่รู้ว่า ทักษิณดูหนังเรื่องนี้ถี่ถ้วนหรือดูจบหรือเปล่า เพราะถ้าเขาดูแบบเก็บรายละเอียดดีๆ บางที เขาอาจจะโยนหนังเรื่องนี้ทิ้งไปเลยด้วยซ้ำ เพราะมันก็เป็นที่ชัดแจ้งแดงแจ๋อยู่แล้วว่า หลายๆ อย่างในหนัง มันไปตอกย้ำและทิ่มตำ “บาดแผล” ของเขาเข้าอย่างจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหนังเดินทางไปถึงสักช่วงกลางๆ เรื่อง มันมีถ้อยคำประโยคหนึ่งจากปากคู่แข่งขันลงชิงประธานาธิบดีที่พูดผ่านทีวีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ขอให้ท่าน (หมายถึงประธานาธิบดีคนปัจจุบัน) กลับบ้านเถอะ กล้ายอมรับความจริงซะที แล้วให้คนทั้งประเทศเค้าตัดสิน”!!
ไม่รู้ว่าทักษิณได้ยินคำนี้หรือเปล่า หรือแอบเดินไปเข้าห้องน้ำจนทำให้พลาดตอนสำคัญ เพราะนี่มัน “ชีวิตจริงๆ” ของคุณเลยนะครับ ถามหน่อยเถอะว่า คุณรู้สึกอย่างไร หรือว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย?!!
แน่นอนล่ะ ไม่ว่าที่สุดแล้ว รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์จะดำเนินการอย่างไรต่อกัมพูชาก็ตามแต่ แต่ที่แน่ๆ ก็เป็นที่ “เชื่อได้ว่า” มันเกิดจากเจตนารมณ์อันดีที่จะปกป้องประเทศในยามที่ถูกล่วงล้ำ และก็คงมีแต่คนที่ไม่รักและหวงแหนแผ่นดินถิ่นเกิดเท่านั้นที่จะอุตริคิดไปได้ว่า ทุกสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังกระทำอยู่นั้นเป็นแค่ “แผนอำพราง” ของรัฐบาลที่ต้องการหลอกล่อสายตาผู้คนให้หันไปสนใจเรื่องอื่นๆ แทนการจับจ้องผลงานของรัฐบาล
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เพื่อ “ลืมความล้มเหลวในบ้าน” อย่างที่ทักษิณต้องการจะบอก แต่ถามจริงๆ เถอะครับว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ “ล้มเหลวรุนแรง” ขนาดนั้นถึงขั้นที่ต้องสร้าง “มุกเลวๆ” มาแหกตาประชาชนเลยหรือ?
พูดกันอย่างถึงที่สุด ต้องยอมรับล่ะครับว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนที่มีรสนิยมในการดูหนังไม่เลวเลย อย่างน้อยๆ ก็รู้จักหาหนังดีๆ มาให้ตัวเองดู ทว่าดูแล้วจะเข้าอกเข้าใจหรือไม่อย่างไรนั้น ก็เป็นอีกเรื่อง แต่สังเกตจากรูปการแล้ว คำพังเพยที่ว่า “ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว” อาจจะตายไปแล้วจากใจของคนที่ใช้ชื่อว่าทักษิณ ชินวัตร เพราะถ้าไม่เช่นนั้น เขาก็คงไม่หยิบยกหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นวาระถามคนอื่นๆ
และเหนืออื่นใด ผมไม่อยากจะคิดนะครับว่า นี่เป็นความอวดฉลาดในทำนอง “ฟัง(ดูหนัง)ไม่ได้ศัพท์ แล้วจับไปกระเดียด” ของทักษิณ ชินวัตร แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังอดคิดไม่ได้อีกว่า การหยิบหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็น แท้จริงแล้ว ก็ดูไม่ต่างจากการจุดไฟขึ้นมาเผาตัวเองแบบโง่ๆ ของคนคนหนึ่งซึ่งเหมือนจะไม่ดูตาม้าตาเรือเลยว่า เนื้อหาเรื่องราวในหนัง มัน “เข้าตัวเอง” และเป็นภาพสะท้อน “ชีวิตมืดๆ” ของเขาเองทั้งนั้นเลย!!