“วิสูตร” บิ๊กบอส “จีทีเอช” ไม่หวัง “ความจำสั้นฯ” ติด 1 ใน 5 เข้าชิงออสการ์สาขาหนังต่างประเทศ แฉเบื้องหลังต้องทุ่มเงินมหาศาล 20 ล้าน ถึงจะเบียดมีชื่อติดโผได้ บอกเป็นแค่ความฝันสำหรับหนังไทย เพราะยังไม่โดดเด่นมากถึงขั้นต้องลงทุนขนาดนั้น
เป็นเพราะมีเนื้อหาหนังที่โดดเด่น และซาบซึ้งกินใจใครหลายๆคน จนโกยเงินเข้ากระเป๋าค่ายหนังจีทีเอชไปไม่น้อย ล่าสุดภาพยนตร์เรื่อง “ความจำสั้นแต่รักฉันยาว” ที่นำแสดงโดย “เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ” และ “ญารินดา บุนนาค” กำกับโดย “สิน ยงยุทธ ทองกองทุน” ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนหนังจากประเทศไทยสู่การแข่งขันระดับโลก ส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งจะมีการประกาศผลรางวัลในวันที่ 7 มีนาคม 2553
เมื่อสอบถามความรู้สึกของผู้บริหารค่ายจีทีเอช “วิสูตร พูลวรลักษณ์” เจ้าตัวกลับไม่ตื่นเต้นแต่อย่างใด แถมเผยอีกว่าตนไม่คาดหวัง หนังจะติด 1 ใน 5 ภาพยนตร์คุณภาพ ที่จะได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในรอบสุดท้าย
“ปกติปีนึงๆ ทางสมาพันธ์ภาพยนตร์จะต้องคัดเลือกหนังไทยเรื่องนึง ที่พูดง่ายๆ ว่าเป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อไปชิงรางวัลออสก้าร์ ก็จะมีคณะกรรมการเข้ามาคัดเลือก อย่างหนังเรื่องความจำสั้นฯก็ได้ถูกเลือกให้ส่งไปของปีนี้ ซึ่งการคัดเลือกหนังเข้าชิงของเรา ส่วนใหญ่ในรอบปีเขาก็จะคัดเลือกหนังมา 5 เรื่อง แล้วก็นำคณะกรรมการที่คัดเลือกทั้งหมดมาตัดสิน สมมติว่าปีนี้มี 10 คน ก็จะเอาคณะกรรมการมาโหวตกันเองเพื่อให้เหลือเพียงเรื่องเดียว”
“เรื่องนี้ที่ถูกคัดเลือกผมว่ามันมีรูปลักษณ์ของหนัง ที่เป็นหนังดีงามโดยเนื้อหาของหนังพูดถึงคู่รัก 2 คู่ที่ต่างวัย คู่นึงคือคู่ของผู้สูงอายุที่ความจำของเขากำลังจะหมดไป ขณะที่อีกคู่นึงซึ่งเป็นคู่หนุ่มสาว กำลังมีชีวิตที่ค่อนข้างจะยืนยาว แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่กล้าที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันเหมือนเป็นการเปรียบเทียบความรัก ที่เหมือนบอกอะไรกับคนดูได้ ผมคิดว่าด้วยประเด็นและตัวเนื้อหาของความจำสั้นฯ มันน่าที่จะเป็นหนังเอาไปประกวดได้”
“แต่กว่าจะทราบผลจริงๆ ก็ต้องปีหน้า ตอนช่วงที่ใกล้ประกาศผลรางวัลเลย คือรางวัลหนังต่างประเทศในอเมริกา ไม่ถือว่าเป็นรางวัลใหญ่มาก เขาจะประกาศผลทีเดียวเลยว่าใครเข้ารอบ คือคณะกรรมการออสการ์พอเขาเอาผลงานของทุกประเทศไปดูกันครบแล้ว เขาก็จะมีคณะกรรมการตัดสินชุดนึง ซึ่งมันจะไม่มีการผ่านๆเป็นเข้ารอบ ถ้าไม่ติดก็คือไม่ติดเลย"
"เขาจะเลือกให้เหลือเพียง 5 เรื่อง เพื่อเอา 5 เรื่องนี้ไปเป็นนอมินีเลย ตอนนี้ของเรายังเป็นแค่ 1 ใน 36 เรื่องจากทั่วโลกที่ส่งไป ซึ่ง 1 ใน 5 เรื่องผมบอกตรงๆ ว่ายากมาก ยากจริงๆ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์หนังในประเทศไทย ยังไม่มีหนังไทยเรื่องไหนเข้าไปอยู่ 1 ใน 5 ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าเป็นความฝันของคนทำหนัง ที่อยากเข้าไปอยู่ 1 ใน 5 ให้ได้ เพราะถ้าอยู่ได้คุณก็จะได้เข้าไปนั่งอยู่ในเวทีแล้วล่ะ”
ไม่ฝันหนังจะติด1 ใน 5 เข้าชิงออสการ์ แฉเบื้องหลังต้องใช้เงินจ่ายสูง ซึ่งตนมองว่าหนังยังไม่เหมาะที่จะลงทุนถึงขนาดนั้น
“สำหรับหนังเรื่องความจำสั้นฯเราไม่หวัง ผมบอกได้ว่าโอกาสที่จะเข้าไปติด 1 ใน 5 น้อยมากครับ คงจะเหมือนกับทุกๆ ปีที่มีหนังของ พี่หง่าว ยุทธนา มุกดาสนิท หรือว่าจะเป็นของ พี่บัณฑิต ฤทธิ์ถกล หรือของ ท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ที่เขามีหนังเข้าไปเป็นตัวแทนในทุกๆ ปี ในมุมมองของผมหนังไทยที่จะมีคุณสมบัติเข้าไปอยู่ 1 ใน 5 ได้มันต้องโดดเด่นจริง”
“อีกอย่างเท่าที่ผมเคยคุยกับท่านมุ้ย ท่านบอกว่าไม่ใช่อยู่ดีๆเราส่งหนังไปแล้ว เขาเลือกเราให้ติด 1 ใน 5 มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องมีการล็อบบี้ มีการวางแผน มีการทำการตลาด เขาบอกว่าอย่างน้อยจะต้องใช้เงินถึงประมาณ 5แสนเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยมันร่วม 20 ล้านนะ ที่คุณจะทำให้คณะกรรมการได้รับเทปหนังของคุณทุกคน สมมติกรรมการมีพันคน คณะกรรมการพันคนต้องได้ดูหนังคุณทุกคน ถึงจะมีโอกาสได้ติดกับเขาไป เท่าที่ทราบเคยเห็นบางคนล๊อบบี้หนักมาก ซึ่งการล็อบบี้นี้มีเยอะมากครับในวงการนี้”
“เอาไว้ถ้าปีไหนที่ประเทศเรา มีหนังไทยที่โดดเด่นมากๆ ปีนั้นมันเอาท์สแตนด์ดิ้งสุดๆ ในแง่ของคุณภาพ ผมก็อยากจะเชียร์ให้ทำอย่างนั้น อย่างปีที่หนังจีนเข้ารอบ เขาล็อบบี้มากเพราะรู้สึกว่าตัวเขามีโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ 1 ใน 5 เขาก็ทำการตลาด แจกดีวีดี ดราฟเทปกันอุตลุต ของเราก็ปล่อยให้หนังมันทำหน้าที่ของมันไป ก็คงจะเหมือนกับทุกเรื่องที่เราส่งไป คือ 30 ปีที่ประเทศไทยส่งไป เขาก็ทำกันแบบนี้ ผมคิดว่ามันก็ยังคงจะต้องเป็นแบบนั้นอยู่ อย่างที่บอกคือถ้าเราเจอหนังที่มันพิเศษจริงๆ มันโดดเด่นจริงๆ ผมว่าอันนั้นอาจจะน่าลอง”