เศรษฐกิจ การเมืองฉุดอุตสาหกรรมภาพยนตร์รวมตก 20% หนังเทศเจอหนักสุด การเติบโตหาย 30% มองโลกในแง่ดี ปีหน้ามีหนังน่าสนใจจ่อคิวเพียบ คาดกระตุ้นคนดูหนังได้ "จีทีเอช" มั่นใจส่ง 5 เรื่องเข้าชิงเม็ดเงิน คาดรายได้โต 10-20% จาก 450 ล้านบาทในปีนี้
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีทีเอช จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้านเราในปีนี้ ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในขั้นที่ดี แต่เริ่มมีการชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง มาจากสภาพเศรษฐกิจและการเมืองเป็นหลัก ส่งผลต่อคนเข้าชมภาพยนตร์
ขณะที่จำนวนภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในปีนี้รวมแล้วประมาณ 50 เรื่อง ใกล้เคียงปีก่อนที่มี 44 เรื่อง แต่ละเรื่องทำรายได้เฉลี่ยที่ 20 ล้านบาท ส่วนภาพยนตร์ต่างประเทศ ปีนี้ถือว่าใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ไม่ค่อยมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ หรือหนังทำเงินมากนัก โดยรวมแล้วถือว่า กลุ่มภาพยนตร์ต่างประเทศปีนี้ มีการเติบโตลดลงถึง 30% อันเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ เศรษฐกิจ การเมือง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการที่คนดูมีทางเลือกในการชมภาพยนตร์ได้หลากหลายมากขึ้น
โดยตลอดทั้งปีนี้ มีภาพยนตร์ต่างประเทศเพียงเรื่องเดียวที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท คือ มัมมี่ 3 ขณะที่ภาพยนตร์ไทยนั้น ปีนี้มีภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูดสุดมีเพียงเรื่องเดียว คือ ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ทำได้ 80 ล้านบาท ขณะที่ปลายปีนี้มีเรื่อง องค์บาก2 ที่กำลังเข้าฉายอยู่ คาดว่าจะทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท โดยทั้งปีนี้คาดว่ามูลค่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์รวมจะเติบโตลดลงที่ 20% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ภาพยนตร์ไทย 30% และภาพยนตร์ต่างประเทศ 70% ขณะที่ปีก่อนมีมูลค่าที่ 3,700-3,800 ล้านบาท (ไม่รวมนเรศวรมหาราช 2 ภาค ที่ทำรายได้ไปประมาณ 500 ล้านบาท)
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีหน้า จากข้อมูลที่มีอยู่ พบว่า มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศ อยู่หลายเรื่อง เช่น เทอร์มิเนเตอร์4, แฮร์รี่ พ๊อตเตอร์, เอ็กซ์ เมน ภาคพิเศษ, ทรานสปอตเตอร์ และ 2010 ส่วนกลุ่มภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ในปีหน้า จะมีนเรศวร มาหาราช ภาค3 และองค์บาก 3 ด้วย ซึ่งเพียงแค่เฉพาะรายชื่อภาพยนตร์ที่จะเข้าโรงฉาย ก็เชื่อว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์น่าจะสดใส หรือมีการเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า20% แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ และการเมือง ดังนั้นจึงคาดหวังว่า อย่างน้อยที่สุดอุตสาหกรรมฯ อย่างน้อยไม่น่าจะโตไปมากกว่าปีนี้
นายวิสูตร กล่าวต่อว่า สำหรับจีทีเอชจากแผนการดำเนินธุรกิจ และความถนัดในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์กลุ่มหนังผี หรือแนวรัก เป็นหลัก ส่งผลให้ภาพยนตร์ทั้ง 5 เรื่อง คือ ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น, สี่แพร่ง, รักสามเศร้า, กอด และโปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต ที่เข้าโรงฉายในปีนี้ สร้างรายได้รวมให้กว่า 450 ล้านบาท เติบโต20% กำไรสุทธิมากกว่าปีก่อน แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องกอดจะทำรายได้ น้อยกว่าที่คาดไว้ก็ตาม
ส่วนในปีหน้า บริษัทฯจะยังคงยึดแผนนำเสนอภาพยนตร์ที่ 5 เรื่องไว้เท่าเดิม เช่น ความจำสั้น แต่รักฉันยาว, กาลิเลโอ เพราะโลกมีแรงดึงดูด, ห้าแพร่ง และ รถไฟฟ้า มาหานะเธอ เนื่องจากมองว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสมต่อการผลิตในแต่ละปี โดยยังคงไว้ซึ่งความถนัด คือเป็นหนังรักเป็นหลัก การลงทุนอยู่ที่ 20-30 ล้านบาทต่อเรื่อง ปีหน้าคาดว่า จะมีการเติบโตขึ้นอีก 10-20%
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าจะมีการเพิ่มบริษัทลูกขึ้นมาอีก 1 บริษัท เพื่อมาดูแลในส่วนของละครทีวีด้วย จากแผนที่เตรียมไว้ว่าในปีหน้า จะมีการผลิตซีรีย์ขึ้นมาอีก 1 เรื่อง ป้อนทางฟรีทีวี จากเดิมที่ในปีนี้ มีละครซิทคอม 1 เรื่อง คือ เนื้อคู่ ประตูถัดไป ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีทีเอช จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้านเราในปีนี้ ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในขั้นที่ดี แต่เริ่มมีการชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง มาจากสภาพเศรษฐกิจและการเมืองเป็นหลัก ส่งผลต่อคนเข้าชมภาพยนตร์
ขณะที่จำนวนภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในปีนี้รวมแล้วประมาณ 50 เรื่อง ใกล้เคียงปีก่อนที่มี 44 เรื่อง แต่ละเรื่องทำรายได้เฉลี่ยที่ 20 ล้านบาท ส่วนภาพยนตร์ต่างประเทศ ปีนี้ถือว่าใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ไม่ค่อยมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ หรือหนังทำเงินมากนัก โดยรวมแล้วถือว่า กลุ่มภาพยนตร์ต่างประเทศปีนี้ มีการเติบโตลดลงถึง 30% อันเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ เศรษฐกิจ การเมือง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการที่คนดูมีทางเลือกในการชมภาพยนตร์ได้หลากหลายมากขึ้น
โดยตลอดทั้งปีนี้ มีภาพยนตร์ต่างประเทศเพียงเรื่องเดียวที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท คือ มัมมี่ 3 ขณะที่ภาพยนตร์ไทยนั้น ปีนี้มีภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูดสุดมีเพียงเรื่องเดียว คือ ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ทำได้ 80 ล้านบาท ขณะที่ปลายปีนี้มีเรื่อง องค์บาก2 ที่กำลังเข้าฉายอยู่ คาดว่าจะทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท โดยทั้งปีนี้คาดว่ามูลค่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์รวมจะเติบโตลดลงที่ 20% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ภาพยนตร์ไทย 30% และภาพยนตร์ต่างประเทศ 70% ขณะที่ปีก่อนมีมูลค่าที่ 3,700-3,800 ล้านบาท (ไม่รวมนเรศวรมหาราช 2 ภาค ที่ทำรายได้ไปประมาณ 500 ล้านบาท)
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีหน้า จากข้อมูลที่มีอยู่ พบว่า มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศ อยู่หลายเรื่อง เช่น เทอร์มิเนเตอร์4, แฮร์รี่ พ๊อตเตอร์, เอ็กซ์ เมน ภาคพิเศษ, ทรานสปอตเตอร์ และ 2010 ส่วนกลุ่มภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ในปีหน้า จะมีนเรศวร มาหาราช ภาค3 และองค์บาก 3 ด้วย ซึ่งเพียงแค่เฉพาะรายชื่อภาพยนตร์ที่จะเข้าโรงฉาย ก็เชื่อว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์น่าจะสดใส หรือมีการเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า20% แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ และการเมือง ดังนั้นจึงคาดหวังว่า อย่างน้อยที่สุดอุตสาหกรรมฯ อย่างน้อยไม่น่าจะโตไปมากกว่าปีนี้
นายวิสูตร กล่าวต่อว่า สำหรับจีทีเอชจากแผนการดำเนินธุรกิจ และความถนัดในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์กลุ่มหนังผี หรือแนวรัก เป็นหลัก ส่งผลให้ภาพยนตร์ทั้ง 5 เรื่อง คือ ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น, สี่แพร่ง, รักสามเศร้า, กอด และโปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต ที่เข้าโรงฉายในปีนี้ สร้างรายได้รวมให้กว่า 450 ล้านบาท เติบโต20% กำไรสุทธิมากกว่าปีก่อน แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องกอดจะทำรายได้ น้อยกว่าที่คาดไว้ก็ตาม
ส่วนในปีหน้า บริษัทฯจะยังคงยึดแผนนำเสนอภาพยนตร์ที่ 5 เรื่องไว้เท่าเดิม เช่น ความจำสั้น แต่รักฉันยาว, กาลิเลโอ เพราะโลกมีแรงดึงดูด, ห้าแพร่ง และ รถไฟฟ้า มาหานะเธอ เนื่องจากมองว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสมต่อการผลิตในแต่ละปี โดยยังคงไว้ซึ่งความถนัด คือเป็นหนังรักเป็นหลัก การลงทุนอยู่ที่ 20-30 ล้านบาทต่อเรื่อง ปีหน้าคาดว่า จะมีการเติบโตขึ้นอีก 10-20%
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าจะมีการเพิ่มบริษัทลูกขึ้นมาอีก 1 บริษัท เพื่อมาดูแลในส่วนของละครทีวีด้วย จากแผนที่เตรียมไว้ว่าในปีหน้า จะมีการผลิตซีรีย์ขึ้นมาอีก 1 เรื่อง ป้อนทางฟรีทีวี จากเดิมที่ในปีนี้ มีละครซิทคอม 1 เรื่อง คือ เนื้อคู่ ประตูถัดไป ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี