xs
xsm
sm
md
lg

หนังไทยถอดใจลดงบสร้างเทปผีซีดีเถื่อนหลอกไม่เลิก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อุตสาหกรรมภาพยนตร์ส่อแววขาดทุนลงเรื่อยๆ คนสร้างหนังเริ่มถอดใจ หลังเจอมรสุมการก็อปปี้ถล่มมานานไม่หยุดหย่อน เผยเม็ดเงินลงทุนสร้างหนังไทยดลง ปีนี้หนังไทยลงทุนเรื่องละ 10 ล้านบาท มีมากขึ้น จากปรกติเฉลี่ย 20-25 ล้านบาท ด้าน “จีทีเอช” ลั่นไม่ขอลดงบลงทุน เชื่อเนื้อหาหนังฝ่ามรสุมได้ หวังรายได้ทั้งปีแตะ 450 ล้านบาทเท่าปีก่อน

             นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท ฮับ (จีทีเอช) จำกัด ผู้ผลิตภาพยนตร์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การละเมิดลิขสิทธ์ภาพยนตร์ในปัจจุบันนี้ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง  และยังถือเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเป็นอย่างมากด้วย เพราะบ่อนทำลายทั้งในเรื่องของกำลังใจของผู้ที่จะมาสร้างสรรค์ภาพยนตร์ไทยให้ก้าวหน้า รวมถึงรายได้ที่เจ้าของภาพยนตร์ควรจะได้รับ แต่ก็ต้องมาสูญเสียรายได้ให้กับกลุ่มตลาดก๊อปปี้นี้ไป

             ทั้งนี้หากภาครัฐให้ความสำคัญและพร้อมปราบปรามเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง เชื่อว่าในระยะยาว จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้คนสร้างภาพยนตร์มีกำลังใจและพร้อมพัฒนาหนังไทยสู้ระดับโลกได้

             “จริงๆแล้ว ผมมมองว่า เรื่องของการละเมิดลิขสิทธ์ภาพยนตร์ไทยนั้น ถือเป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงานควรเร่งรีบหาแก้ไข เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมานานและทำให้นักลงทุนสร้างภาพยนตร์เริ่มถอดใจและไม่มีใจที่จะลงทุนสร้างหนังด้วยงบการลงทุนที่มากแล้ว ซึ่งอาจจะทำให้หนังฟอร์มใหญ่ของไทยเองจะไม่เหลืออีกต่อไปด้วย”

           อย่างไรก็ตาม ในปีนี้วงการภาพยนตร์นอกจากจะยังคงได้รับผลกระทบจากการละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว ปัญหาจากเรื่องเศรษฐกิจที่ซบเซาลงนั้นก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน จึงยิ่งทำให้ภาพการลงทุนสร้างภาพยนตร์ไทยจะเริ่มเห็นงบการลงทุนต่อเรื่องลดลง โดยหลายๆค่ายมีโมเดลธุรกิจหรือออกมาประกาศวิธีการลงทุนสร้างหนังไปบ้างแล้ว ที่จะต้องปรับลดลงการลงทุนลง โดยปีนี้สิ่งที่น่าสังเกตคือ มีการลงทุนสร้างหนังในระดับ 10 ล้านบาทค่อนข้างมีจำนวนมากขึ้น จากปกติโดยเฉลี่ยการลงทุนสร้างหนังไทยต่อเรื่องจะอยู่ที่ 20-25 ล้านบาท

         แต่ทั้งนี้เม็ดเงินการลงทุน ไม่ใช่สิ่งชี้วัดเสมอไปว่า งบประมาณการลงทุนน้อยแล้ว ภาพยนตร์จะออกมาไม่ดีหรือไม่ทำเงินหรือไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะก็มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่งบประมาณการลงทุนน้อย แต่ก็ได้รับการตอบรับจากผู้ชมค่อนข้างดีและสร้างรายได้กลับมาสูงมากทั้งนี้มองว่าขึ้นอยู่กับเนื้อหาและวิธีการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ให้ออกมามากกว่าว่าจะน่าสนใจมากน้อยเพียงใด และตรงกับความต้องการของผู้ชมหรือไม่เป็นสำคัญ

             นายวิสูตร กล่าวต่อว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย 7 เดือนที่ผ่านมา มองว่าอยู่ในภาวะขาดทุนสูง หนังทำเงินมีน้อย เฉลี่ย 2 ใน 10 เรื่อง เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นอัตราส่วนปกติ แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่ดีด้วย บวกกับปัญหาการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ที่เกิดขึ้นมาอีก ยิ่งส่งผลให้คนเข้ามาดูหนังในโรงภาพยนตร์น้อยลง จึงทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยแย่ลงไปอีก เช่นเดียวกับภาพยนตร์ต่างประเทศ ถึงแม้จะมีความได้เปรียบว่าปีนี้มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้ามาหลายเรื่อง แต่สถานการณ์แบบนี้ประกอบกับมีไข้หวัด 2009 ครึ่งปีหลังจึงมองว่ามีแนวโน้มน่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน

           สำหรับจีทีเอชแล้ว ทางบริษัทยังไม่มีนโยบายปรับลดการลงทุนสร้างภาพยนตร์ลดลงแต่อย่างไร โดยเฉลี่ยยังอยู่ที่เรื่องละ 25-30 ล้านบาท แล้วแต่แนวทางของหนัง โดยปีนี้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์ของบริษัทเข้าฉายเพียงเรื่องเดียว คือ ความจำสั้นแต่รักฉันยาว สร้างรายได้ไว้ประมาณ 50 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่พอใจ ซึ่งครึ่งปีหลังนี้จะมีออกมาอีกหลายเรื่องเช่น 5แพร่ง และ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ และอีก 1-2 เรื่อง ที่จะเข้าฉาย คาดว่าทั้งปีน่าจะมีรายได้รวมเข้ามาประมาณ 400-450 ล้านบาท ทรงตัวเท่าปีก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น