“ลีน่าจัง” โต้เล่นมุกแกล้งโวยบนเวทีสร้างกระแสโปรโมต “หอแต๋วแตกฯ” คอนเฟิร์มฉุนขาดของแท้ เหตุน้อยใจพอไม่ดังแล้วไร้ค่า ถูก “พจน์” ถีบหัวส่ง ไล่อย่างกับหมูกับหมาหลังเวที แล้วหันไปอุ้มชู “ตุ๊กกี้” แทน เผยได้ค่าตัวแค่ 7 พัน แถมยังเคยด่าต่อหน้าคนให้ได้อาย เข้าใจเป็นกะเทยแก่จอมวีน เมินคำขอโทษเพราะรู้ว่าหยิ่งไม่มีวันทำ ยันยังร่วมงานได้แต่มีข้อแม้ต้องขอดูบทก่อน ส่วน “ตุ๊กกี้” โดนหางเลขด้วย แฉยับดังแล้วลืมตัวทำเชิดใส่ ทั้งที่เมื่อก่อนเคยให้ของใช้ฟรีประจำ
กลายเป็นผู้กำกับจอมสร้างกระแสโปรโมต เพราะไม่ว่าจะเข็นหนังเรื่องไหนออกฉาย “พจน์ อานนท์” เป็นต้องมีข่าวคาวฉาวโฉ่ออกมาปะทะชนในช่วงที่หนังกำลังเข้าโรงฉายทุกครั้ง ล่าสุดกับภาพยนตร์เรื่อง “หอแต๋วแตกแหกกระเจิง” ที่ขณะกำลังถ่ายทำ พจน์ก็ไปสร้างคดีคาวซดเกาเหลาสาวประเภทสองคนสวย “ปอย ตรีชฎา มาลยาภรณ์” โดยแจงเหตุไม่เอาปอยเล่นหนังเรื่องดังกล่าวแล้ว เป็นเพราะอีกฝ่ายเรียกค่าตัวแพงสูงลิบลิ่ว ทั้งที่ก่อนหน้าบอกยินดีเล่นให้เรื่องค่าตัวไม่เกี่ยง ถัดมาในวันแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ ก่อนงานเริ่มไม่กี่ชั่วโมงผู้กำกับคนดังก็ตกเป็นข่าวถูกโจรทุบกระจกรถแล้วฉกของไป สูญทรัพย์สินไปราวครึ่งแสน
กระทั่งถึงวันฉายภาพยนตร์รอบสื่อมวลชน ที่เมเจอร์ รัชโยธิน เมื่อวันก่อน ขณะที่เหล่านักแสดงนำของเรื่องทั้ง โก๊ะตี๋ อารามบอย,จตุรงค์ ม๊กจ๊ก ,อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์,เอกชัย ศรีวิชัย, สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข และตุ๊กกี้ 3 ช่า กำลังนั่งพูดคุยอยู่บนเวที โดยมีดีเจปากจัด “มดดำ คชาภา ตันเจริญ” เป็นพิธีกรสัมภาษณ์อยู่นั้น จู่ๆ “ลีน่า จังจรรจา” อดีตผู้สมัครลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และเป็น 1 ในนักแสดงของเรื่อง ก็ได้เดินขึ้นไปบนเวที พร้อมตะโกนด่าทอ “พจน์ อานนท์” ที่ยืนรออยู่ข้างหลัง ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย พร้อมยังมีการพูดเปรียบเทียบตัวเองกับ “ตุ๊กกี้ 3 ช่า” ในทำนองว่า เธอทั้งรวยและสวยกว่าอีกฝ่าย ทำไมถึงไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งบนเวที
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความตกตะลึงให้กับบรรดาสื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก เหล่านักแสดงบนเวทีจึงช่วยกันแก้สถานการณ์บอกว่า เป็นแค่มุกตลกที่มีการเตี๊ยมกันมาก่อน เพราะหลังจากยืนโวยวายเสร็จ ทุกคนก็เชิญ “ลีน่าจัง” ให้นั่งอยู่บนเวทีพร้อมถ่ายภาพหมู่ร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ แต่สำหรับผู้กำกับ “พจน์ อานนท์” เกิดอาการหัวเสียอย่างแรง ภายหลังจึงได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่มุกตลกเพื่อโปรโมตหนังแต่อย่างใด และตนจะไม่มีวันร่วมงานกับ “ลีน่าจัง” อีก เพราะถือว่าไม่ให้เกียรติ และทำงานเกือบล่ม
ด้าน “ลีน่าจัง” ก็ออกมายอมรับว่าวันนั้นตนฟิวส์ขาด เพราะน้อยใจที่ถูกผู้กำกับชื่อดัง ที่ตนนับถือเป็นอาจารย์ ทำเมินและไล่อย่างกับหมูกับหมาหลังเวที ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายมาอ้อนวอนขอร้องถึงร้าน เพื่อให้ไปแสดงภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว
“เหตุการณ์เครียดจริงๆ วันนั้นลูกน้องเขาเป็นคนเชิญพี่มางานเอง จริงๆพี่ก็ไม่อยากไป แต่เขาโทรมาบอกพี่พจน์ให้โทรมาเชิญ เราก็เลยไป เขานัด 5 โมงเราก็ไปถึง 6 โมงกว่าๆ เพราะไม่อยากไปนั่งเสนอหน้านาน เดี๋ยวเขาจะมองเราไม่มีคุณค่า แต่พอไปถึงก็ยังต้องรออีก พี่ก็เข้าไปยกมือไหว้ทุกคนที่ห้องอาหารสีฟ้า ช่างแต่งหน้าก็ไล่พี่บอกไปนั่งตรงโน้น หนูจะแต่งหน้า ทั้งที่มันยังไม่มีใครมาแต่ง มันยังนั่งเล่นอยู่"
"พี่ก็งงๆ แล้ววันนี้ตุ๊กกี้ไม่คุยไม่มองหน้าพี่เลย ทุกทีตอนเล่น แต๋วเตะตีนระเบิด เจอพี่จะสวัสดี แต่คราวหน้ามันไม่มองหน้าพี่ ทำเป็นไม่รู้จักเมินเลย พี่ก็งงมันเกิดอะไรขึ้น แล้วช่างแต่งหน้าอีกคนที่พี่เคยจ้างให้ไปแต่งหน้าที่บ้านก็ทำเมิน มันไปซับหน้าให้ตุ๊กกี้ แต่มันไม่สนใจพี่เลย เราเลยมีความรู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน รู้สึกเครียดว่าแล้วมึงเชิญกูมาทำไม”
“พอเขาเรียกดารามานี่ พี่ก็เอ๊ะ....เราก็แสดงด้วย ก็น่าจะเป็นดารานะ พี่ก็เดินตามเขาเข้าไปหลังเวที โดยมีผู้หญิงที่เป็นลูกน้องพี่พจน์จูงมือพี่เข้าไป แต่พอไปเจอหน้าพี่พจน์ เขาก็ไล่พี่อย่างกับหมูกับหมาบอก พี่...ออกไปก่อน ยังไม่ใช่ตอนนี้ออกไปก่อน เขาไล่เราทำหน้าจริงจังมาก ไม่ได้แกล้งไล่ พี่ก็เลยเดินมาหน้าเวที แล้วก็ตัดสินใจเดินขึ้นเวทีไป"
"อ้าว...ไม่งั้นพี่ก็ไม่ได้ออกทีวีสิ ถ้าพี่ไปก็ต้องได้ออกทีวี เพราะฉันก็ได้แสดง ฉันด้อยกว่าคนที่แสดงพวกนั้นตรงไหน ศักดิ์ศรีมันเท่ากัน ตุ๊กกี้ตอนนี้อาจจะดัง โชคดีเป็นดวงของมัน มีรายการให้เป็นพิธีกร มีหนังให้เล่นเยอะแยะ ถือว่าเป็นดวงของเด็กมัน แต่ว่าคุณต้องให้เกียรติฉัน ไม่ใช่เชิญฉันมาแล้วให้ฉันเก้ๆกังๆให้ทุกคนมองฉันว่า ฉันเป็นส่วนเกิน ไม่งั้นพี่ก็อยู่บ้านดูทีวีดูเว็บไซด์ไปเรื่อยๆ ยังมีความสุขกว่า ไปอย่างนี้มันขมขื่น”
“ตอนแรกพี่ไม่มีไมค์ พี่ก็ไปตะโกนด่ามัน อีพจน์ตอแหล เชิญกูมาทำไมวะ เชิญกูมาแล้วให้กูเล่นแค่ตอนเดียว แล้วก็ไม่เชิญกูขึ้นบนเวที และอีพวกนี้มันดีกว่ากูตรงไหน อีตุ๊กกี้มันสวยกว่ากูตรงไหน กูสวยกว่ามันตั้งเยอะ กูรวยกว่ามันตั้งเยอะจริงไหม พี่รวยกว่ามันหรือเปล่า พี่มีเงินเกือบ 200 ล้าน รวยกว่าจริงไหม และพี่สวยกว่า ถึงพี่อายุ 51 แล้ว พี่ยังสวยขนาดนี้ อีตุ๊กกี้เพิ่งจะ20กว่า ขี้เหร่จะตายห่า ตอนพี่ด่าพี่ก็ไม่ได้มองหน้าตุ๊กกี้มันว่าเป็นยังไง เพราะตอนนั้นพี่เครียดมาก"
"คือโวยวายจนเสียงแหบเลย ตอนนั้นจาตุรงค์ก็ส่งไมค์ให้ พี่เลยพูดบอกเชิญฉันมาทำไม ไอ้ห่า...มาหาฉันถึงร้านกับลูกน้องเป็นโขลงบอก พี่ลีน่า...พจน์จะเชิญพี่ไปเล่น หอแต๋วแตกภาค 2 พี่เคลียร์คิวให้พจน์ด้วยนะ พี่เป็นคนไม่จู้จี้ไม่ขอดูบทด้วย คิดว่าเขาให้เราทำอะไรเราก็ทำ เราเป็นนักแสดงที่ดี ผู้กำกับคือเจ้านายของเรา เขาเรียกพี่ไปก็ไป เขาให้แสดงอะไรก็ทำ เราก็นึกว่าโห...ได้เล่น หอแต๋วแตกฯ หนังดัง ฉันได้เกิดแน่ แต่ตายแล้วเอาฉันมาฆ่า ให้แสดงแค่ตอนเดียว แล้วจะมีใครมาจ้างพี่ไปแสดงต่อไหม เพราะเขาดูว่าพี่ไร้ค่า”
เผยก่อนหน้านี้เคยโดนอีกฝ่ายด่าต่อหน้าคนดู 200 คนมาแล้ว หรือถ้าไม่พอใจใครก็จะมาลงที่ตน เพราะตอนนี้ไร้ค่าไม่ได้ดังเหมือนแต่ก่อน
“พี่ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่มีการไม่มีงานทำซะที่ไหน เงินค่าตัวเขาให้พี่ตอนละ 7 พันบาท แต่เราไปถ่ายหนังให้เขา เราต้องทิ้งธุรกิจไปเสียหายวันละแสนนะ แต่เขาไม่ให้เกียรติพี่เลย พี่แก่อายุ 51 แล้วนะ แล้วฉันก็ไม่ได้ไปขอคุณ แต่คุณเป็นคนเรียกฉันมาแสดงเอง ตอนที่ถ่ายหนังเขาก็เคยไม่พอใจพี่ วันนั้นไปถ่ายกันที่หอพัก มีคนมามุงดูเกือบ 200 คน เขาก็มาด่ามาไล่พี่ต่อหน้าคน 200 คน ไป๊....กลับบ้านไปเลยดีมั้ย 11 เทคแล้วนะ แต่ไอ้ 11 เทคที่เขาให้เราเล่น ไม่ได้ออกในหนังสักนิดหนึ่งเลย"
"เขาให้พี่กระโดดล้มตกจากรถเอง เหมือนประมาณว่าโดนตุ๊กกี้ถีบ พี่ก็ตก 11 ครั้งจนหัวเข่าข้อศอกถลอกปอกเปิก แต่ดูในหนังไม่มีฉากนี้เลย แล้ววันนั้นเขายังมาไล่เราต่อหน้าคน 200 คน พี่ก็อายเป็นนะ พี่มีเงินเกือบ 200 ล้าน ฉันก็ไม่ได้ยากจน ฉันไม่ได้ไปขอคุณเล่นนะ คุณมาเชิญฉันเอง ความรู้สึกตอนนั้นก็น้อยใจ แต่เขาเป็นผู้กำกับ เขาเป็นเจ้านาย เราต้องอดทน พี่รู้ว่าเขาเครียดเรื่องโก๊ะตี๋ กับอ.ยิ่งศักดิ์ เพราะ 2 คนนี้เดี๋ยวนี้ดังแล้วไง เขาก็จะทะเลาะกันเถียงกัน สมมติพี่พจน์นัดคิววันนี้ ไอ้คนนี้ก็ไม่ได้ ไอ้คนนั้นก็ไม่ได้ แล้วเขาก็ไม่รู้จะลงกับใคร ก็เลยมาลงกับเราเพราะเราไม่ดังไง”
“ตอนที่เขาให้เราไปเล่น แต๋วเตะตีนระเบิด ตอนนั้นเราดังมีกระแส เวลาเราไปกองถ่ายก็จะมีนักข่าวตามไปด้วยทุกวัน วันละ 3-4 ช่อง เหมือนเป็นการทำประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ให้เขาด้วยไง แต่ช่วงนี้เราไม่มีกระแส เขาก็เลยไม่เห็นคุณค่าเราไง มันก็น่าน้อยใจ เมื่อกี้นั่งในรถมาก็ร้องไห้กับลูกชาย บอกว่าต่อไปนี้แม่จะไม่รับบทซี้ซั้ว ใครชวนไปเล่นอะไรโดยที่ไม่มีบทให้ดูก่อนจะไม่ไปแล้ว เพราะพี่พจน์เขาไม่มีบทให้ดูไง เขากำกับแบบนึกอะไรได้ก็จะให้พูดตอนนั้นเลย เขาก็จะนั่งอยู่ที่หน้าจอมอนิเตอร์ ถ้าแสดงไม่ถูกใจเขา เขาก็จะด่า ด่าเรากลบเกลื่อน (หัวเราะ)"
"เขาดูมุกแล้วคิดว่ามันคงไม่สนุกก็เลยเปลี่ยน คราวนี้เขากลัวนักแสดงไม่พอใจ ถ้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆโดยไม่มีบท เขาก็จะด่าเรากลบเกลื่อนแทน เพราะเราไม่จู้จี้ ไม่ใช่ว่าต้องขอดูบทก่อนอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเขานัดวันไหนกี่โมง พี่ก็จะทิ้งธุรกิจแล้วไปตรงเวลาเป๊ะ เขาเคยนัดพี่ให้ไป 5 โมงเย็น พี่ก็ไป 5 โมงเป๊ะ แต่ปรากฏเขาให้รอถึงตี 3 พี่ก็ไม่บ่น ทั้งที่ตอน 7 โมงเช้าพี่ต้องออกไปงานที่ศาลต่อ แล้ววันนั้นพี่ก็เบลอจนไปผิดศาล แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเราน้อยใจ เพราะพี่ไม่เคยไปบ่นให้ใครฟัง เราจะเก็บไว้ในใจเพราะเราแก่แล้ว และเราก็ไม่ดัง เราจะไปวีนเขาก็ไม่ได้ เราเล่นตัวก็ไม่ได้ แต่ครั้งนี้ที่ทำมันอัดอั้นตันใจ มันกดดัน”
ยันเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่มุกที่เตี๊ยมกันไว้สร้างกระแส พร้อมลั่นหากในหนังไม่มีตนโผล่สักฉาก รับรอง “พจน์” โดนฟ้องแน่
“เราเสียใจ ที่เราไปงานให้เขา เพราะมองว่าพี่พจน์เป็นผู้มีพระคุณ เขาให้เราเล่นแต๋วเตะฯ ก็มีคนรู้จักเราเยอะ เราก็มีความสุขที่ได้เล่น เพราะมันเป็นกำไรชีวิต เรื่องเงินทองไม่สำคัญหรอก เพราะเรามีอยู่แล้ว เขาเปรียบเหมือนอาจารย์ที่ให้วิชากับเรา แต่เขาต้องให้เกียรติพี่หน่อย ไม่ใช่มาไล่พี่อย่างกับหมูกับหมา วันนั้นมันเครียดเพราะน้อยใจจริงๆ เราเลยไปแสดงออกบนเวที หลายคนคิดว่าเป็นมุกการแสดง เป็นการทำเพื่อสร้างกระแสโปรโมต แต่ไม่ใช่เลย พี่โกรธจริงๆเลยโวยวายด่าแม่งเลย ขนาดช่างแต่งหน้าที่เข้าไปดูหนังกับพี่ เขาก็ยังนึกว่าเป็นมุก เขาบอกอุ๊ย....เมื่อกี้พี่แสดงเก่งจัง เราก็บอกว่าไม่ใช่ นั่นคือเรื่องจริง”
“วันนั้นที่เข้าไปดูหนัง ถ้าในหนังเขาตัดพี่ออกไม่เหลือให้เล่นสักฉาก พี่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายด้วย อย่างคราวเรื่อง แต๋วเตะฯ เขาเชิญ ตู่ ติงลี่ ที่ลงสมัครผู้ว่ามาเล่น แต่เขาตัดฉากเหล่านั้นออกหมดเลย ครั้งนี้พี่ก็เลยกลัวจะโดนบ้าง ก่อนไปงานพี่ก็โทรถามลูกน้องพี่พจน์ก่อนว่า ฉากที่พี่เล่นพี่พจน์ตัดออกหรือเปล่า ไม่งั้นพี่ไม่กล้าให้สัมภาษณ์นักข่าว เพราะเดี๋ยวนักข่าวจะหาว่าพี่ตอแหล อยากดัง ไม่ได้มาแสดงแล้วมาพูดโกหก เดี๋ยวจะเสียชื่อ เขาก็เลยไปถามพี่พจน์ให้แล้วโทรมาบอกว่า พี่พจน์ไม่ได้ตัดฉากที่พี่เล่นออกเลย พี่ถึงได้กล้าไปงานไง"
"ถ้าเขาตัดออกพี่ฟ้องแน่ เพราะถือว่าหลอกลวงฉันไปแสดงแล้วตัดออก ฉันไม่ต้องการเงินแค่นั้นหรอก แต่เราไปเพราะหวังแสดงภาพยนตร์ อย่างรายการทีวีต่างๆที่เขาเชิญเราไปออก เราก็ได้ออก ไม่เคยมีรายการไหนที่เชิญเราไปแล้วไม่ได้ออกอากาศเลย แล้วทุกรายการพี่ก็ได้เงินหมด ได้เงินมากกว่าไปแสดงหนังให้พี่พจน์อีก แต่พี่เองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะคิดว่าเขามีพระคุณ ถ้าเราได้ร่วมงานกับเขา เราจะได้เกิดจะได้ดัง เหมือนกับที่เขาปั้นคนดังมาหลายคน แต่เราไม่คิดว่าเราจะมาดับที่เรื่องนี้ เพราะเรามาเล่นแค่ตอนเดียว”
คาดปมเหตุถูกผู้กำกับดังวีนใส่ เพราะเก็บกดและไม่พอใจคำให้สัมภาษณ์ของตน
“วันนั้นพอลงจากเวทีขึ้นไปดูหนังพี่ก็ไม่ได้คุยหรือเคลียร์กับพี่พจน์เลย เพราะเขาทำเป็นเมินไม่มองไม่สนใจพี่ พี่มาเจอเขาตอนหนังเลิก พอดีพี่อยู่กับคนของเขา คนของเขาก็บอกว่า พี่พจน์.....นี่ไงพี่ลีน่า พี่ก็ยกมือไหว้เขา เขาก็ยกมือไหว้ตอบ แต่หน้าเขาไม่หันมามองไม่สนใจพี่เลย แล้วเขาก็เดินหนีไป พี่ก็เคยคิดนะว่าไปทำอะไรให้เขาโกรธ"
"คิดว่าคงน่าจะเป็นตอนที่มีทีวีช่องหนึ่งมาสัมภาษณ์เรื่อง ปอย ตรีชฎา เขาถามว่าการที่พี่พจน์เอาสายป่านมาเล่นแทน แล้วให้ชื่อตรีชฎาในหนัง มันผิดกฎหมายมั้ย พี่ก็บอกว่าไม่ผิดหรอก เพราะเขาเอาไปใช้โดยที่ไม่ได้ทำให้เสื่อมเสียผิดกฎหมาย อย่างกรณีคุณปอยที่พี่พจน์ไม่จ้าง เขาอาจจะงบหมดก็ได้ พอดีจตุรงค์ ม๊กจ๊ก ดูพี่ให้สัมภาษณ์ในรายการพอดี เขาก็ไปเล่าให้พี่พจน์ฟัง”
“ส่วนอีกครั้งหนึ่งที่งานครบรอบของทีวีพูล ทีมงานก็จับให้พี่ไปนั่งโต๊ะเดียวกับพี่พจน์ เพราะพี่เป็นนักแสดงของพระนครฟิลม์ วันนั้นอุ๊บ วิริยะ เข้ามาสวัสดีพี่ เราเป็นผู้ใหญ่ถ้ามีคนมาไหว้ เราก็ต้องรับไหว้ถูกมั้ย จากนั้นอุ๊บก็บอกพี่พจน์ว่า วันนี้มาดีนะ แล้วก็พูดแซวเขา พี่พจน์นั่งอยู่กับเด็กๆที่แต่งตัวยังไม่เสร็จ เขาก็ลุกเดินหนีกลับบ้านไปเลย"
"คือเราเข้าใจนิสัยกะเทย เพราะช่างแต่งหน้าพี่ก็เป็นกะเทย ความคิดของเขาจะไม่เหมือนคนปกติ จะเหมือนเก็บกด คือคนเหล่านี้เราต้องเห็นใจ เข้าใจเขานิดหนึ่งว่า เขาเก็บกด ตอนนี้พี่เลยไม่รู้สึกโกรธไม่อะไรเขาแล้ว เราให้อภัย รู้ว่าเขาเป็นกะเทยแก่จอมวีน เขาไม่พอใจอะไรก็ด่าว่า อีดอก เขาจะด่าลูกน้องทุกคนแบบนี้หมด แต่กับพี่เขาไม่เคยด่าคำนี้ แต่พี่ก็เข้าใจกะเทยนะว่า เขาจะด่ากันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เลยเฉยๆไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น”
ไม่หวังคำขอโทษ เพราะรู้อีกฝ่ายหยิ่ง ยันยังมองหน้ากันติด ยินดีเล่นหนังให้อีก แต่มีเงื่อนไขขอดูบทก่อน
“ต่อไปถ้าไปเจอหน้ากันตามงานพี่ก็ยังคุยยังทักพี่พจน์ได้ เรายังมองหน้ากันติด อย่างที่บอกพี่ไม่ได้โกรธเขาแล้ว เราเข้าใจ เรามองเขาเป็นอาจารย์ เรื่องจะให้เขามาขอโทษเรามันเป็นไปไม่ได้ คนอย่างพี่พจน์เหรอจะขอโทษใคร เขาหยิ่งจะตาย เป็นกะเทยแก่จอมวีน พี่ว่าเขาหยิ่งไม่โทรมาเอง แต่อาจจะให้เด็กโทรมาบอก เหมือนตอนเล่นเรื่อง แต๋วเตะฯ เขาก็เคยเป็นแบบนี้ แล้วก็ให้ลูกน้องโทรมาขอโทษเราแทน พอเราไปกองถ่ายเขาก็มาพูดดีกับเรา"
"เรียกพี่ลีน่ามากินข้าวด้วยกัน เขาก็ชวนให้เราไปนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันกับเขาและตุ๊กกี้ ตอนนั้นเขายังให้เกียรติ แต่ครั้งนี้เขามองเราเหมือนเป็นเศษขยะ ไม่ทักไม่ทายไม่มองหน้าอะไรเลย แต่พี่เข้าใจว่าเขาคงเครียดกับหลายๆเรื่อง เลยมาลงที่เรา แต่ถ้าต่อไปเขาจะมาขอให้ไปเล่นหนังให้อีก พี่คงต้องขอดูบทก่อน เพราะพี่ไม่อยากไปเล่นแล้วออกแค่ฉากเดียวอีกแล้ว มันดูเหมือนเราเป็นคนไร้ค่า”
เผยเหตุโวย “ตุ๊กกี้ 3 ช่า” บนเวทีด้วย เพราะดังแล้วลืมตัว ทำเป็นเชิดใส่ไม่รู้จัก ทั้งที่เมื่อก่อนเคยช่วยเหลือและให้ของใช้ฟรีตลอด
“สำหรับตุ๊กกี้ก็เหมือนกัน วันนั้นมันไม่มองหน้าพี่ ทำเป็นไม่รู้จักเชิดใส่เลย สวัสดีก็ไม่ทำ กับคนอื่นมันยกมือไว้หมด พี่โก๊ะตี๋สวัสดี เสียงดังเลยนะเพราะมันเป็นคนเสียงดังอยู่แล้ว พี่เอกชัยสวัสดี อ.ยิ่งศักดิ์สวัสดี แต่กับพี่มันทำเป็นเชิด ทำเป็นไม่รู้จัก ไม่มองหน้าพี่ทั้งๆที่ตอนถ่ายหนังก็เป็นปกติ"
"ตอนพี่ไปถ่ายหนังมันยังเข้ามาทัก พี่ลีน่า สวัสดีค่ะ(ทำเสียงสูง) มันยกมือไหว้ เพราะพี่เอาครีมไปฝากมันอยู่เรื่อย เพราะหน้ามันเป็นฝ้า เราก็เอาสบู่แก้ฝ้าไปให้มันล้างหน้า ตอนที่ตลกคนหนึ่งตาย ตุ๊กกี้มันเอาเสื้อมาขายช่วยเขา พี่ยังช่วยมันซื้อไปตั้ง5พันบาท ตัวละ200 พี่ซื้อมันไปตั้ง25 ตัว แล้วพี่ก็ให้ของตุ๊กกี้ตลอด แต่ทำไมวันนั้นเขาถึงมีปฏิกิริยาแบบนี้ พี่ก็ไม่เข้าใจ เหมือนกับดังแล้วหรือตัว มันดังแล้วมันลืมตัวไง”
“พี่ก็น้อยใจที่มันดังแล้วลืมเรา พี่ถึงขึ้นไปด่ามันบนเวทีไง สะใจมากด่ามันต่อหน้าเวทีเลย (หัวเราะ) แต่พี่อยากบอกให้มันรู้ไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งมันไม่ดังแล้ว มันก็คงโดนพี่พจน์ทำเหมือนอย่างที่เขาทำกับพี่ มันจะเหลือเหรอ ถ้าถึงวันนั้นจริงๆเราคงไม่ไปสมน้ำหน้าอะไรเขาหรอก"
"เพราะกว่าจะถึงวันนั้นตุ๊กกี้ก็คงรวยมีเงินเก็บเยอะแล้ว เพียงแต่พี่อยากให้เด็กมันมีสัมมาคารวะว่า อย่างน้อยๆ ฉันก็เคยเล่นหนังกับคุณมาก่อน อย่างน้อยๆฉันก็เคยให้สบู่คุณไปล้างหน้า ช่วยคุณซื้อเสื้อทีตั้ง 5 พันบาท คุณก็ควรจะมีสัมมาคารวะยกมือไหว้ทักทายฉันบ้าง ไม่ใช่เชิดดังแล้วลืมตัว ศิลปินที่ดังแล้วลืมตัวมันอยู่ได้ไม่นานหรอก”