“อุ๊บ วิริยะ” เจอของแข็ง หลังเขียนด่า “ชายแฮ็คส์” ในหนังสือว่า หน้าเน่า, งูพิษนกสองหัว ฯลฯ จนคู่กรณีตัดสินใจฟ้องหมิ่นประมาท ลั่นงานนี้ไม่มีไกล่เกลี่ย แฉแหลกเบื้องลึกความบาดหมางที่กินเวลามา 12 ปีเต็ม เหตุเพราะอุ๊บไม่พอใจที่ชายแฮ็คส์ให้ “แก้วพรีเมียร์” เป็นผู้จัดการอั้มในยุคนั้น จนแก้วพรีเมียร์ กับ อุ๊บ วิริยะ เคยต่อยกันแย่งอั้มมาแล้ว เผยคราวนี้สู้ไม่มีถอย ไม่หวั่นหากโดนอีกฝ่ายต่อยปาก
ครั้งก่อนก็มีเรื่องกับ “พจน์ อานนท์” จนแทบจะไม่เผาผีกันเลยทีเดียว ล่าสุด “อุ๊บ วิริยะ พงษ์อาจหาญ” ก็เปิดศึกอีกแล้ว คราวนี้เปลี่ยนคู่มาชกกับ “ชายแฮ็คส์” พงษ์ชยุตม์ ทวีศรีธนโชค โดยอุ๊บได้เขียนคอลัมน์ให้กับ “นิตยสารสตาร์คลิป” อ้างว่า ตนเองเป็นคนปั้น “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” มากับมือ พร้อมกับพูดในทำนองที่ว่า นางเอกคนดังเมื่อก่อนกะโปโลกว่าจะเจิดมาได้ขนาดนี้ ต้องผ่านการเทรนมาจากตนเอง จนแหล่งข่าววงในรายงานว่า งานเขียนชิ้นดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับอั้มไม่ใช่น้อย
นอกจากนั้นแล้ว ในคอลัมน์เดียวกันนี้ ก็ยังเขียนถึง “กบฏหน้าเน่า” ทรยศหักหลัง พร้อมกับจวกแหลก ว่า กบฏคนดังกล่าว คือ งูพิษ นกสองหัว ตอแหล ฯลฯ พอชายแฮ็คส์อ่านแล้วถึงกับของขึ้นเลยทีเดียว เพราะมั่นใจว่าคนที่อุ๊บเขียนถึงน่าจะหมายถึงตนอย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่มีการเขียนชื่อผู้ที่ถูกกล่าวถึงแต่อย่างใด
งานนี้ ชายแฮ็คส์ ก็เลยขอเปิดใจถึงที่มาของการโดนเขียนวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ว่า น่าจะเกิดจากเหตุการณ์เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ปี 2540 สมัยที่ อั้ม พัชราภา พึ่งจะเข้าวงการแจ้งเกิดจากเวทีการประกวดหนุ่มสาวแฮ็คส์ ซึ่งขณะนั้นชายแฮ็คส์เป็นฝ่ายโปรโมชันของแฮ็คส์ และได้เชิญ “แก้วพรีเมียร์” ศิริ เหลืองสวัสดิ์ และ อุ๊บ วิริยะ มาเป็นคณะกรรมการตัดสิน
และภายหลัง อั้ม ก็ได้ตัดสินใจเซ็นสัญญาให้แก้วพรีเมียร์เป็นผู้จัดการส่วนตัว หลังจากที่แก้วพรีเมียร์สามารถดันจนอั้มได้เป็นนางเอกช่อง 7 ศึกชิงตัวอั้ม และการกล่าวอ้างว่า “ใครเป็นคนปั้นอั้ม” ก็เลยเริ่มนับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยทั้งคู่เคยมีเรื่องทะเลาะบาดหมางกันรุนแรงถึงขั้นชกต่อยกันกลางเวทีการประกวดแฮ็คส์ในปีถัดไปมาแล้ว
ความบาดหมางของ อุ๊บ วิริยะ กับ แก้ว พรีเมียร์ ส่งผลให้ชายแฮ็คส์โดนหางเลขไปด้วย โทษฐานที่พาอั้มไปเซ็นสัญญากับแก้วพรีเมียร์ โดยชายแฮ็คส์ได้แฉแหลก ว่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอุ๊บ วิริยะ ก็ออกอาการไม่พอใจตน จนถึงขั้นเขียนด่าในพ็อกเกตบุ๊กมาแล้ว จนล่าสุดก็มาเขียนวิพากษ์วิจารณ์ลงในนิตยสารฉบับดังกล่าว ทำเอาทนไม่ไหวต้องลุกออกมาตอบโต้บ้าง พร้อมกับแฉแหลกว่า “ใครกันแน่ที่ปั้น อั้ม พัชราภา”
“จริงๆ แล้ว ผมรู้จักกับเขามานานแล้ว และให้เกียรติเขามาโดยตลอด ประมาณปี 2540 ตอนนั้นผมทำงานฝ่ายโปรโมชันอยู่ที่แฮ็คส์ ก็เชิญเขามาเป็นกรรมการประกวดหนุ่มสาวแฮ็คส์ ซึ่งมันก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความไม่พอใจลึกๆ เริ่มตั้งแต่การประกวดแฮ็คส์ ปี 2540 ซึ่งอั้มเข้าประกวด 12 ปีผ่านมาแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัญหามากระทั่งปัจจุบันว่าใครปั้นอั้ม”
“ซึ่งในเรื่องราวจริงๆ แล้ว อั้มมากับโมเดลลิ่ง คณะกรรมการทุกคนก็นั่งอยู่ตรงนั้นก็มีเขาอยู่ด้วย และก็มีพี่แก้ว พรีเมียร์ พี่เอ ทิวากร และมีผู้ใหญ่อีกหลายคนที่เราให้ความเคารพนับถือ ทุกคนก็มีโอกาสได้เจออั้มในวันนั้น จากนั้นอั้มก็ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่กว่าจะถึงวันตัดสินจะมีการเว้นระยะการประกวดไปประมาณเดือนหรือสองเดือนอันนี้ไม่แน่ใจ”
“พอถึงวันประกวดรอบชิง ก็จะมีการเทรนผู้เข้าประกวด คณะกรรมการทุกคนก็ต้องมีการแนะนำมีการเทรนอั้ม หรือผู้เข้าประกวด ผมเองในฐานะฝ่ายโปรโมชันก็มีโอกาสเทรนอั้มเหมือนกัน ตอนนั้นอั้มบอกอั้มทำอะไรไม่ได้ ผมก็คิดโชว์ให้กับอั้ม ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผมก็คิดโชว์ให้กับทุกคน จนกระทั่งอั้มชนะเลิศ คณะกรรมการทุกคนก็ยินดีที่จะสนับสนุนเวทีแฮ็คส์ เพราะทุกคนก็ให้ความเมตตาในฐานะที่เราเป็นผู้จัด ก็อยากจะสนับสนุนคนที่ได้รางวัลให้มีชื่อเสียงต่อไป”
“อย่าง พี่ต้อย ชาติชาย แก้วสว่าง ก็มาสอนแอ็คติ้งให้กับอั้ม และก็แนะนำให้เราพาไปรู้จักกับผู้ใหญ่ที่ไฟว์สตาร์ ซึ่งตอนนั้นกำลังจะเปิดกล้องเรื่อง เสือโจรพันธุ์เสือ อั้มก็เข้าไปกับผม แต่ว่าตอนนั้นบุคลิกของอั้มไม่ตรงก็เลยไม่ได้โอกาส คุณชัด แทนกาย ก็พาเข้าไปบรอดคาซท์ แต่จังหวะละครตอนนั้นมันก็ยังไม่ลงตัว และก็มาเจอพี่แก้ว พรีเมียร์ ซึ่งตอนนั้นพี่แก้ว ปั้น นุ่น วรนุช (วรนุช วงษ์สวรรค์) เข้าช่อง 7 ไปแล้ว แต่ละคนล้วนมีเครดิตในวงการหมดเลย”
“พี่แก้วก็แนะนำว่า น้องอั้ม น่าจะเป็นนางเอกช่อง 7 นะ ชายไม่ลองพาไปช่อง 7 ดูล่ะ และก็โอเคว่า พี่แก้วจะนัดทางช่องให้ เพื่อเอาอั้มไปลงเทป และเทปอันนี้จะถูกส่งไปให้คุณแดง (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) ดู ถ้าถูกใจคุณแดงก็จะมีโอกาสได้เป็นนางเอกช่อง 7 เราก็พาน้องอั้มเข้าไปในนามของบริษัท แฮ็คส์ และพี่แก้ว ก็บอกว่า ถ้าเกิดน้องอั้มได้ พี่แก้วขอเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอั้มได้ไหม เราก็บอกไปว่าเราตัดสินใจไม่ได้เพราะไม่ใช่พ่อแม่อั้ม พี่แก้วต้องคุยกับพ่อแม่อั้มเอง แต่ผมจะเป็นคนบอกให้ ซึ่งทุกคนก็โอเค ว่า ถ้าน้องอั้มได้เป็นนางเอกช่อง 7 ก็จะให้พี่แก้วดูแล”
“แล้วน้องอั้มก็ได้เป็นนางเอกช่อง 7 จริงๆ ก็มีการเซ็นสัญญาให้พี่แก้วดูแล 3 ปี วันที่ไปเซ็นสัญญาที่ช่อง ก็มีผม คุณแดง พี่แก้ว พ่อแม่ของน้องอั้มก็ไปนั่งอยู่ในห้อง เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ แต่ก่อนหน้านี้ ที่อั้มไปสนิทกับเขาเนี่ย ช่วงระยะเวลาประกวด ผมคิดว่ามันก็เป็นในฐานะคณะกรรมการคนหนึ่ง เราก็สามารถพาน้องๆ ไปถ่ายรูปพาไปแนะนำกับสื่อมวลชนมันเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็พาน้องๆ ที่เข้าประกวดไปถ่ายหนังสือเหมือนกัน คือ คณะกรรมการทุกคนก็ทำแบบนี้เหมือนกันหมด”
“แต่พอเขารู้ว่าพี่แก้วพาน้องอั้มเข้าไปช่อง 7 แล้วก็อาจจะเกิดความไม่พอใจหรือยังไง เพราะหลังจากนั้น เขาก็มีเรื่องกระทบกระทั่งกับพี่แก้วตลอดถึงขนาดลงไม้ลงมือกันกลางเวทีแฮ็คส์ในปีถัดมา นี่คือ ความจริงทั้งหมด พี่อุ๊บ ปั้นหรือเปล่า...อันนี้ไม่รู้ อันนี้ไม่ตอบ แต่ว่าอาจจะเกิดความไม่พอใจกับผมกับพี่แก้วที่อั้มเซ็นสัญญาแล้วพี่แก้วดูแลอย่างสมบรูณ์แบบ”
“แต่ด้วยความที่เรากลัวมีเรื่องมีราวกัน คือ เราไม่อยากมีเรื่องก็เลยพยายามไม่คิดอะไร และเชิญทุกคนมาเป็นคณะกรรมการในปีถัดมา แต่สุดท้ายก็มีการกระทบกระทั่งชกต่อยกันหน้าเวที (ใครต่อยใครก่อน) คือ ผมอยู่หลังเวทีเพื่อเตรียมงาน รู้แต่ว่ารองเท้าที่อยู่หน้าเวทีลอยไปหลังเวทีได้เลย (รองเท้าใคร) ก็ไม่รู้ รองเท้าใครแหละ”
“มันเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งกันแบบนี้มาเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่คิดว่าจะอะไรมากมาย ปีต่อๆ มาก็ยังเชิญมาเป็นคณะกรรมการเหมือนเดิม เพราะเรารักและให้เกียรติผู้ใหญ่ทุกคนที่อยู่ในวงการ เจอกันผมก็ยังยกมือไหว้ เพราะเราเป็นผู้น้อยก็ต้องยกมือไหว้ผู้ใหญ่อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ผมก็รู้สึกลึกๆ ว่า เขาคงจะเคืองผม แต่ผมก็ยังคิดว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ในฐานะที่เด็กกว่าเราก็ยังสวัสดีทักทายเหมือนเดิม”
“กระทั่งเขามาออกพ็อกเกตบุ๊กเล่มหนึ่ง มีการเขียนพาดพิงถึงผม ถึงเขาจะบอกว่าไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็มีการใช้คำ เช่น ผู้กำกับหน้าเขมรเคยกำกับหนังสไตล์เกาหลี หรือเวลาที่พูดถึงเวทีหนุ่มสาวแฮ็คส์ทีไร ก็จะมีตัวละครตัวหนึ่งที่โดนว่า ผู้กำกับหน้าเขมรทะเยอทะยาน อยากจะเด่นอยากจะดัง”
“ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าทุกคนที่ทำงานในวงการบันเทิงก็คงมีความมุ่งมั่นที่อยากจะก้าวหน้า ทุกคนก็ต้องมีสเต็ปที่จะก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ อันนี้เราก็พยายามไม่คิด แต่ผู้ใหญ่หลายๆ คนที่อ่านหนังสือก็จะพูดว่าเขาหมายถึงเรานะ แต่ก็จะมีคนเตือนว่าอย่าออกไปเต้น เพราะหนึ่ง คนจะมองว่าเราอยากโปรโมตตัวเอง สอง เราจะไปสร้างกระแสให้กับหนังสือ ถ้าเขาเขียนด่า หรือเขียนว่าก็ควรจะเงียบ ยอม ตอนนั้นไม่มีการเคลียร์ไม่มีการถามเจอก็ยังยกมือไหว้เขาอยู่”
“เมื่อปีที่แล้วที่ผมมาทำรายการหนึ่งก็มีความรู้สึกว่าเรื่องเก่าๆ ก็น่าจะลืมกันไป ก็ยังเชิญเขามาออกรายการเลย คือ ที่ผ่านมา เวลาที่เราเจอเขา ตัวเขาก็พูดดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เวลาที่เขาไปคุยกับคนโน้นคนนี้คือมันค่อนข้างจะถึงเราตลอด(คือ อยู่กับเราก็จะพูดจาดีแต่เราก็จะไปได้ยินเสียงข้างนอกว่าเขาพูดถึงเราในอีกแง่หนึ่ง) แต่ผมก็ไม่สนใจเป็นคนที่ไม่เคยฟังใคร ต่อให้มีคนไปพูดว่าเขาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็ไม่สนใจ คิดอย่างเดียวว่าเจอก็ยกมือไหว้เขา แล้วซักวันหนึ่งเขาคงจะเห็นในสิ่งที่เป็นความดีของเรา และก็คิดว่าเขาคงจะเห็นว่าไอ้สิ่งที่มันเกิดขึ้นในอดีตมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ไม่ได้ไปหักหน้าใคร”
“คือ พี่แก้วชักนำอั้มเข้าสู่วงการช่อง 7 นะ แต่ผมว่าคนที่ปั้นอั้มจริงๆ ก็คือคุณแดง ถ้าคุณแดงไม่เห็นความสามารถของอั้มก็ไม่ดัง จะเถียงกันไปเพื่ออะไร ทะเลาะกันเพื่ออะไร ถ้าถามผม...ผมว่าคุณแดงเป็นคนปั้นอั้มจนดัง พี่แก้วเป็นคนแนะนำ ผมเป็นคนนำพา คุณแดงเป็นคนแนะนำว่าอั้มเล่นเรื่องแบบไหนถึงดัง ถามหน่อยถ้าไม่มีคุณแดงอั้มจะดังไหม”
ล่าสุด ที่ทนไม่ไหวจนกระทั่งตัดสินใจจะฟ้องหมิ่นประมาท “อุ๊บ วิริยะ” ก็เนื่องจากถูก อุ๊บ วิริยะ เขียนวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในนิตยสารบันเทิงฉบับหนึ่ง
“เห็นเขาเขียนแล้วรู้สึกตกใจมากทำไมมันรุนแรงแบบนี้ เขาไม่หยุดเขาไปให้สัมภาษณ์หนังสือเล่มอื่นๆ ว่า เราอยากจะดังเดี๋ยวจะจัดให้ 12 ปีที่ผ่านมา ผมถูกกระทบกระทั่งมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยออกมาพูด พยายามไม่คิด คือ ใครทำอะไรไว้ย่อมรู้อยู่แก่ใจของตัวเอง ต่อให้ผมบอกว่า ผมเป็นคนปั้นอั้มแต่จริงๆ ไม่ได้ปั้น ถึงใครจะมองว่าปั้น แต่เราไม่ได้ปั้นมันก็ไม่ใช่ความสุขจริงๆ”
ในฐานะที่เป็นคนแรกที่เห็น “อั้ม พัชราภา” ตั้งแต่ตอนเข้าประกวด และเป็นคนที่รู้เรื่องราวของอั้มมาโดยตลอด อย่าง “แก้วพรีเมียร์” ชายแฮ็คส์ก็บอกว่าเป็นคนพาเข้าช่อง 7 คำถามก็คือแล้ว “อุ๊บ วิริยะ” ที่อ้างตัวมาโดยตลอดว่าเป็นคนแรกที่ปั้นอั้ม มีส่วนช่วยผลักดันอั้มอย่างไรบ้าง งานนี้ทำเอา “ชายแฮ็คส์” กระอักกระอ่วนใจไม่น้อย ก่อนจะตอบว่า “ไม่รู้”
“ก่อนที่จะขึ้นรอบชิงคณะกรรมการทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคุยกับผู้เข้าประกวดคนไหนก็ได้ หรือจะพาไปแนะนำกับใครที่ไหนก็ได้ เพราะมันคือการชอบพอส่วนตัว หรือเป็นการสนับสนุนกันส่วนตัว อาจจะพาไปถ่ายคอลัมน์หนังสือ(แล้วอุ๊บพาไปไหนที่ทำให้อั้มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างไหม) อันนี้ไม่ทราบ(แสดงว่ามันก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถึงได้ไม่มีอะไรผ่านหูผ่านตา) คือผมไม่รู้ อันนี้ไม่รู้จริงๆ มันเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ พออั้มได้ตำแหน่งไม่ถึงเดือนอั้มก็เป็นนางเอกเลย(สรุปไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่ไม่มี) ไม่รู้จริงๆ”(หัวเราะ)
“เอางี้ดีกว่า....ขอถามหน่อยว่า ถ้าคุณบอกว่าคุณเป็นผู้จัดการของอั้มหรือสนิทมาก ทำไมอั้มไม่บอกทางบริษัทว่าพี่คะหนูอยู่กับพี่คนหนึ่งแล้ว ถ้าอั้มเขามีคนดูแลอยู่แล้วเขาจะไปเซ็นสัญญากับพี่แก้วทำไม”
ในบทความของ “อุ๊บ วิริยะ” ที่เขียนในนิตยสารฉบับดังกล่าวจนเกิดกรณีพิพาท มีการพูดถึง “อั้ม พัชราภา” ในทำนองที่ว่า อั้มเป็นเด็กกะโปโลกว่าจะมาได้ขนาดนี้ต้องผ่านการเทรนจากอุ๊บ วิริยะ งานนี้ “ชายแฮ็คส์” การันตีว่าอั้มสวยตั้งแต่วันแรกที่เห็น
“จริงๆ แล้วอั้มสวยตั้งแต่วันแรกที่เห็น ตอนนั้นยังใส่เหล็กดัดฟันอยู่เลย โมเดลลิ่งชื่อเมรินทร์เป็นคนพาเข้ามาสมัคร อั้มมาจากฉะเชิงเทราตอนนั้นยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ก็เห็นว่าเขาสวยก็พาขึ้นเวทีเลย คุณเอ ทิวากรซึ่งเป็นเมคอัพอาร์ติสต์ ยังบอกเลยว่า พัชราภาหน้าตาสวยมาก ยังไม่มีความสามารถไม่เป็นไรเดี๋ยวเอามาเทรนได้ แต่ถ้าให้ฉันแต่งหน้าต้องสวยมาก เนี่ยแหละสวย คือเขาสวยมาตั้งแต่ทีแรกแล้ว ถ้าไม่สวยก็คงไม่ได้ตำแหน่งชนะเลิศหรอก”
“ส่วนที่เขาเขียนมาเนี่ยเราก็ไม่รู้ คือคนเราพอมีปากกาอยู่ในมือลักษณะการเขียนจะออกมาเป็นมุมไหนแนวไหนก็ไม่รู้ แต่บอกได้เลยว่าเขาไม่ได้กะโปโลเขาสวยมาตั้งแต่แรกเลย ไม่งั้นจะชนะเลิศได้ยังไง คณะกรรมการตั้ง 30 กว่าคนคงไม่หลับหูหลับตาเลือกหรอก ถ้าไม่สวยทำไมวันที่ไปเทสต์ที่ช่อง 7 ได้รับการคัดเลือกเป็นนางเอกล่ะ การปรับมันต้องปรับอยู่แล้วมันเป็นหน้าที่ของกองประกวด นางงามมาใหม่ๆ ก็เดินขาโก่งขากางแต่พอถึงเวทีการประกวดก็ต้องผ่านการอบรมเพื่อที่จะเข้ารอบชิงให้เพอร์เฟคที่สุดมันก็เป็นเรื่องปกติ”
จากการให้สัมภาษณ์ของ “ชายแฮ็คส์” เจ้าตัวจะยืนยันตลอดว่า ที่ผ่านมาเป็นฝ่ายอดทนไม่อยากจะตอบโต้ แต่วันนี้อะไรที่ทำให้ชายแฮ็คส์ลุกขึ้นมาฟ้องร้อง “อุ๊บ วิริยะ” ซ้ำยังประกาศว่างานนี้ไม่มีไกล่เกลี่ย
“เพราะเขาไม่หยุดไง ล่าสุดเขาก็ไปเขียนว่าเราในหนังสือเล่มหนึ่ง เขียนด่าว่าเป็นกบฏเวทีนางหนึ่งร่วมมือร่วมใจเล่นละครตบตาพาน้องอั้มเข้าไปช่อง แล้วก็ด่าว่าเป็นผีเน่า ถ้าเธอไม่เป็นผีเน่าเธอจะต้องปรึกษาผมก่อนไม่ใช่คิดหักหลังกัน งูพิษสองหัวเห็นเชื่องๆ แบบนี้มีพิษสงตลอด ใต้สันดานมีแต่ความทะเยอทะยาน ชาวบ้านเรียกว่าอยากดัง”
“ซึ่งไอ้คำๆ นี้เขาก็ได้ไปให้สัมภาษณ์ที่ไหนก็ว่าเราว่าอยากดัง เขาจะมีคำพูดแบบนี้ตลอด และพอมันหลายๆ ครั้งเข้าก็ไม่ไหวแล้วไง โดยเฉพาะอ่านในที่เขาเขียนอ่านจบแล้วหน้างี้ร้อน ผมงี้ตั้งเลยนะ ทำไมน่ะ...เรายังยกมือไหว้เขาอยู่เลยวันนั้น ปีที่แล้วก็พึ่งจะออกรายการด้วยกันก็ยังพูดกันอยู่เลยว่า เรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาอย่าไปติดใจอะไรเลยนะ แต่วันนี้หนังสือออกมาแบบนี้(ชี้ไปที่หนังสือ)ตอแหล ตอหลดตดใต้น้ำไปวันๆ อะไรอย่างนี้ คือมันเยอะมากๆ”
มั่นใจว่าในบทความนั้นเขียนถึงตนเองอย่างแน่นอน
“จริงๆ แล้วมันก็เป็นใครไปไม่ได้หรอก ต่อให้ใครอ่านมันก็ไม่มีใครหรอกที่ดำเนินการแบบนี้ หรือจัดการเรื่องน้องอั้มกับพี่แก้วก็คือตัวเรานี่แหละ ก็ต้องถามเขาแล้วว่า ที่เขียนนี่คือใคร คนเราถ้ากล้าเขียนก็ต้องกล้าพูด กล้ายอม ถ้าไม่ใช่คนๆ หนึ่ง แล้วคนๆ นั้นจะเป็นใคร มันจะมีใครล่ะ”
“ตอนนี้หมดเวลาที่จะถามเขาแล้ว การที่เขาไม่ยอมหยุดเราก็อยากจะหยุดเขา เพราะมันเกิดความเสียหาย เช่นที่เขาเขียนว่า ทำหนังโลว์คลาสนายทุนนอนพะงาบๆ แล้วนายทุนหมายถึงใครล่ะ ? ที่ไม่สบายอยู่อ่ะ แล้วผมทำหนังอยู่กี่เรื่อง มันเป็นเรื่องนะ ก็เลยมีความรู้สึกว่าทำไมเขาจะต้องแบบนี้”
“สุดท้ายเราก็เลยตัดสินใจปรึกษาทนาย และรวบรวมหลักฐานทั้งหมดปรึกษานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งทุกคนก็เห็นว่า ถ้าเราไม่ได้ผิดทุกคนก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ ถึงเราจะเป็นเด็กแต่เราโดนกระทำย่ำยีตลอดเวลา โดยที่เด็กไม่เคยจะไปโต้ตอบ หรือพูดบ้างก็ทำให้กลายเป็นคนไม่ดี ฉะนั้นก็คงมีผู้ใหญ่อื่นๆ ที่เมตตามาอุ้ม บอกได้เลยว่า ยังไงก็ไม่ยอม เรื่องนี้จะไม่มีการคุย ไม่มีการไกล่เกลี่ย ไม่คุยแล้ว เรื่องทุกอย่างมอบหมายให้ทนายจัดการทั้งหมด”
งานนี้ถึง “อุ๊บ วิริยะ” จะเอ่ยปากขอโทษ “ชายแฮ็คส์” ก็ไม่ใจอ่อน บอกในเมื่ออยากทำให้เสียหาย งั้นก็ต้องจ่ายค่าเสียหายมา
“เราก็พยายามอดทนแล้ว แต่ถ้าวันนี้เราไม่เอากฎหมายเข้ามาจัดการแล้ววันต่อไปข้างหน้าใครจะมาการันตีว่าจะไม่เป็นแบบนี้อีก ถ้าเขามาขอโทษก็ไม่เชื่อ ไม่รู้ และไม่ตอบ(ไม่เชื่อว่าขอโทษด้วยความจริงใจ หรือไม่เชื่อว่าเขาจะขอโทษ) คนเราเนี่ยทุกอย่างที่เกิด มันมาจากจิตใต้สำนึกทั้งนั้นแหละ ในเมื่ออยากจะทำให้เกิดความเสียหาย ฉะนั้นก็มาชดใช้ค่าเสียหายดีกว่า”
ปฏิเสธข่าว “พจน์ อานนท์” เป็นแบ็คหนุนฟ้องเต็มที่
“อย่าไปถึงเจ๊เขาเลย(หัวเราะ) จริงๆ แล้วพี่พจน์เป็นคนที่เคารพมาก เขาเป็นไอดอลเราเลย เราอยากทำหนังเก่งเหมือนพี่พจน์ ยังไปขอเขาเล่นหนังเลย เรื่องประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับพี่พจน์เลย และก็ไม่เคยปรึกษาเขาเลย มองว่ามันคนละประเด็นคนละเรื่องกัน มีคนถามว่าจะเอาอั้มมาเป็นพยานไหม คงไม่เอาอั้มมาเกี่ยวข้องเพราะมันไม่เกี่ยวกับอั้ม”
เมื่อ 12 ปีที่แล้วอดีตเด็กช่างกลเก่า “อุ๊บ วิริยะ” ก็เคยสร้างวีรกรรมต่อยกับ “แก้วพรีเมียร์” มาแล้ว งานนี้หลายๆ คนก็เลยเป็นห่วง “ชายแฮ็คส์” ไม่ใช่น้อย
“เดี๋ยวนี้กฎหมายรุนแรงนะ กฎหมายทำร้ายร่างกายแรงกว่าเมื่อก่อน บางคนอาจจะทำโดยไม่ได้คิดก็แล้วแต่ ตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เป็นอะไร เราก็อยู่ในฐานะของผู้น้อยดีกว่า(แล้วถ้าผู้ใหญ่ทำร้ายเด็กล่ะ) คงสู้ไม่ไหว...(เขาเรียนช่างกลด้วยนะ) เพราะคำว่าเด็กช่างเนี่ย ทำให้คนคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมอยากจะบอกว่าจบนาฏศิลป์ก็ต่อยได้ แต่เราไม่ได้จบนะ แค่ยกตัวอย่างให้ฟัง”
แปลง่ายๆ ว่าแรงแค่ไหนก็จะสู้ว่างั้นเถอะ...