สกู๊ปชิ้นนี้ ตั้งใจที่จะทำความรู้จักกับเธอ เพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง ผ่านบุคคลเหล่านี้ ทุกคนมีมุมที่รู้จักเธอแตกต่างกันไป หลายคนมีโอกาสพูดจารู้จักเธอ, บางคนกับบางเรื่องก็ยังไม่ได้เคลียร์กันจนถึงวันนี้ เรื่อยไปจนถึงบุคคลที่เกิดไม่ทันยุครุ่งโรจน์ของเธอ แต่ก็มีส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานที่ต้องเอาเรื่องราวของเธอเข้ามาเกี่ยวข้อง และนี่คือเรื่องราวของเขาเหล่านั้น
พินิจ – เพชรา : เราต่าง "พิการ" ด้วยกันทั้งคู่
คืนก่อนวันนัดหมาย ทั้ง เพชรา เชาวราษฎร์ อดีตนางเอกภาพยนตร์ไทยเจ้าของฉายา "นางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง" กับเจ้าของบริษัท เบทเตอร์เวย์ (มิสทิน) คิดเรื่องเดียวกัน และในเวลาเดียวกัน
"พี่อี๊ดเล่าให้ฟังว่า แว่น พี่นอนไม่หลับเลย ต้องลุกออกมาเดินตอน 2 ยามถึงตี 1 คิดว่าจะเริ่มต้นคุยกับเขาอย่างไรดี ประโยคแรกที่จะทักทายกันควรจะเป็นอย่างไร ในเวลาเดียวกันพี่ก็เพิ่งทราบจากวันที่ได้คุยกันว่า ทางเจ้าของมิสทินก็เป็นอย่างนี้ เขาคิดว่า เมื่อเจอกับเพชราจะเป็นอย่างไร รูปร่าง หน้าตา ตลอดจนถึงคำทักทาย จะเริ่มต้นอย่างไร เพชราถึงจะยอมฟังและร่วมงานในครั้งนี้ด้วย เจ้าของมิสทินพูดกับพี่อี๊ดว่า พ่อเคยพูดสั่งไว้ว่า ในชีวิตนี้ ยังไงก็ต้องเอาเพชรามาถ่ายมิสทินให้ได้" พินิจ หุตะจินดา ผู้ที่เพชรา เชาวราษฎร์เรียกติดปากว่า "แว่น" บอกเล่าด้วยน้ำเสียงอันแจ่มใสกับซูเปอร์บันเทิงออนไลน์
"เราถามว่า ถ่ายอะไร พี่อี๊ดบอกว่า ถ่ายลิปสติก คงเพราะว่าปากฉันยังอิ่มเอิบอยู่เหมือนเดิม เราก็ยังถามว่า ทำไมไม่เป็นเครื่องสำอางอื่นๆ พี่อี๊ดก็บอกว่า หน้าฉันคงจะไม่อิ่มเอิบแล้วล่ะมั้ง พี่อี๊ดยอมรับว่า การทำงานหนนี้ เธอรู้สึกเครียดมาก กลัวจะออกมาไม่ดีอย่างที่ต้องการ เราบอกว่า พี่ทำได้ การแสดงมันเป็นสายเลือดของพี่อยู่แล้ว เธอก็ยังบอกว่า เรื่องแสดง ฉันเล่นดีอยู่แล้วไม่ต้องกลัว เพียงแต่ว่า ฉันไม่รู้ว่ากล้อง 1 กล้อง 2 มันอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง"
โฆษณาชิ้นนี้ ผ่านเส้นทางดำเนินการมาร่วมหนึ่งปีเต็ม โดยเริ่มต้นที่ เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร และ เฮเลน ปวรา ศิริสาล เป็นผู้ประสานงาน โดยก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เคยนำดาราหลายคนของช่อง 7 สีไปกรุยทางถ่ายโฆษณาให้กับมิสทินมาแล้ว 1 ปีผ่านไป จนถึงวันหนึ่งในเดือนกันยายน เพชรากับเจ้าของมิสทินเพิ่งจะมีโอกาสได้เจอและคุยอย่างเป็นทางการ
พินิจ หุตะจินดากับเพชรา เชาวราษฏร์ รู้จักและคุ้นเคยกับการสนทนากันมาร่วม 20 กว่าปี เขาย้อนความหลังให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่เขาเริ่มเป็นนักข่าว เขามีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ เพชรา เชาวราษฎร์ ลงในนิตยสาร "บานไม่รู้โรย" (ปีที่ 2 ฉบับที่ 4 เดือนพฤษภาคม 2529 คอลัมน์ "นัดพบพูดคุย" หน้า 37 - 49) ในเครือมติชน ตอนนั้น สุชาติ สวัสดิ์ศรีเป็นบรรณาธิการบริหารอยู่ เหตุผลที่เขาสัมภาษณ์เพชรา เชาวราษฎร์ เพราะ หนึ่ง เป็นความตั้งใจและใฝ่ฝันที่อยากจะสัมภาษณ์คนที่มีชื่อเสียง และเพชราเป็นหนึ่งในนั้น
สอง. เขาเคยดูดำรง พุฒตาล สัมภาษณ์เพชรา ออกรายการ "คู่สร้าง – คู่สม" บางคำตอบของเธอ เขารู้สึกว่าเป็นการตอบที่ไม่ชาญฉลาด และสาม. เขาอยากรู้ว่าทำไมปัญญาชนสมัยนั้น จึงดูถูกมิตร – เพชรา ตรงข้ามกับชาวบ้านที่มีแต่ความชื่นชมในระดับที่มากเป็นพิเศษ
สมัยที่เขารู้จักกับเพชรา เชาวราษฎร์ เป็นครั้งแรก ยังเป็นช่วงที่อดีตนางเอกสาวนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้งดวงตาเลือนรางมากแล้ว ภาพลักษณ์ของพินิจ หุตะจินดาที่เพชรา เชาวราษฎร์เห็นรางๆ ในคราวนั้น คือ ชายหนุ่มที่สวมแว่นสายตาอยู่เสมอ นี่แหละที่ทำให้เพชราเรียกเขาว่า "แว่น" มาตั้งแต่บัดนั้น
การติดต่อขอสัมภาษณ์เพชรา เชาวราษฎร์ เป็นไปอย่างทุลักทุเล เนื่องจากสมัยนั้นที่บ้านย่านบางกระบือยังไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์ อาศัยโทรศัพท์แบบหยอดเหรียญโทร.ตื๊อทุกวัน โทร.กันเป็นเดือนจนเพชราใจอ่อนตกลงปลงใจให้สัมภาษณ์ ครั้นใจอ่อน เธอก็ยังเล่นแง่อีกว่า "อยากสัมภาษณ์ก็หาที่อยู่เอาเองซิ"!! จากนั้น เขาทำการเช็กที่อยู่จาก 13 จนรู้ที่ตั้งของตัวบ้าน แต่เมื่อไปถึงย่านรามคำแหง ก็ยังต้องมะงุมมะงาหรา ถามคนที่บริเวณปากซอยนายแพทย์ปรีชา(รามคำแหงซอย 4) กันยกใหญ่ กว่าจะถึงที่หมาย
นี่คือความฝันของนักข่าวคนหนึ่งในสมัยนั้น
การพูดคุยในคราวนั้น นัดหมายที่ 09.00 น. แต่เพลิดเพลินอยู่กับอีกหลายเรื่องราวจนถึงเวลา 21.00 น. เรียกว่าคุยกันทุกเรื่องจนเป็นที่สนิทสนม รักใคร่ ความคิดและอคติที่เคยมีกับเพชรา เชาวราษฎร์หมดสิ้น!! กลับรู้สึกตรงข้ามว่า เพชรา เชาวราษฎร์เป็นคนฉลาดมากอย่างที่คิดไม่ถึง เขาต้องนำงานชิ้นนั้นไปอ่านให้เพชราฟังก่อนที่จะตีพิมพ์ เมื่อนิตยสารบานไม่รู้โรยวางตลาด ยุทธนา มุกดาสนิทอ่านงานชิ้นนี้ แล้วติดต่อผ่านมาทางสุชาติ สวัสดิ์ศรีว่าอยากนำไปทำเป็นภาพยนตร์
"เราบอกว่า เป็นไปไม่ได้ พี่อี๊ดไม่ให้หรอก หลายเรื่องที่คุยกันในวันนั้น เป็นออฟเรดคอร์ด เปิดเผยไม่ได้จนถึงทุกวันนี้"
หลังจากบทสัมภาษณ์ชิ้นนั้น ยังมีงานอีก 1 ชิ้นเรื่อง "เพชราเอียงหูฟังทีวี" ให้กับธเรศวร์ สุศิวะในหนังสือพิมพ์อินไซด์ทีวี โดยให้เธอฟังเสียงของพระเอก – นางเอกดังๆ ในสมัยนั้น แล้วบอกถึงนิสัย ใจคอ ตลอดจนถึงตัวตนจริงของคนเหล่านี้
พินิจ หุตะจินดา ยังเป็นคนกลางประสานให้เพชรา เชาวราษฎร์สัมภาษณ์ผ่านรายการวิทยุอีก 2 รายการคือ รายการเฟรซแอนด์ฟัน ดำเนินรายการโดย มาลี บุณยศรีสวัสดิ์ และรายการ สราญรมย์ ของประภัสสร เสวิกุล
พินิจ หุตะจินดา กล่าวว่า เพชรา เชาวราษฎร์มีความหวังอยู่ตลอดเวลาว่า วันหนึ่งดวงตาเธอจะกลับมาเป็นปกติ มองทุกอย่างได้กระจ่างชัดดังเดิม ดังนั้น เพชราจึงไปทุกหนแห่งที่ซึ่งเป็นความหวัง ไม่ว่าจะเป็นหมอวิทยาศาสตร์ หมอไสยศาสตร์ ดังนั้น ... ช่วงที่ตามืดสนิทนั้น เธอจึงซัฟเฟอร์มาก
"พี่อี๊ดไม่ยอมเจอใครเลยเป็นเวลานานมาก ราวๆ 10 ปี เพิ่งมาทำใจยอมรับความจริงเมื่อสัก 10 ปีให้หลังมานี้เอง เมื่อทำใจกับเรื่องเวรกรรมได้แล้วจึงประคับประคองชีวิตให้อยู่ให้ได้ ภายนอกภาพลักษณ์ของพี่อี๊ดดูบอบบาง อ่อนโยน แต่ลึกลงไป พี่อี๊ดเป็นคนที่เข้มแข็งมาก ใจแกร่ง เรียกว่าใจเพชร"
"เขาบอกว่า ทุกคนเห็นเขา แต่เขาไม่เห็นใคร เขารู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ สายตาที่คนอื่นมองเขาอย่างสมเพช เวทนา เป็นสิ่งที่เธอรับไม่ได้ อันนี้เราเข้าใจนะ ใครจะมาสมเพชเวทนาเรา เราก็ไม่ยอมนะ ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณค่าของคนยังมีอยู่ มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน"
สมัยหนึ่ง เพชรา เชาวราษฏร์เคยถูกแอบถ่ายรูปขณะตักบาตรอยู่ที่หน้าบ้านในเช้าวันหนึ่ง
"พี่อี๊ดคิดว่า มันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เหมือนแกมีสัมผัสพิเศษ แกเล่าว่า เหมือนมีแสงแวบเข้ามาที่นัยน์ตา ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าระยะห่างใกล้ไกลจากกล้องแค่ไหน แกรู้สึกตลอดเวลาว่า เหมือนมีใครยืนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่แกไม่มั่นใจ จนกระทั่งแกถามปูเด็กที่อยู่ยืนอยู่ด้วยขณะตักบาตร ก็ยืนยันว่ามีคนยืนอยู่ตรงนั้นจริง ความมาชัดเจนเมื่อมีการตีพิมพ์ภาพนั้น เธอโกรธมาก และรู้สึกว่า ไม่เอาอีกแล้ว ไม่อยากให้ใครถ่ายรูปแล้วไปมองเค้าในทางที่ดีหรือไม่ดี"
"บางวันเราโทร.ไปถามสารทุกข์สุขกัน เช่น พี่อี๊ดวันนี้ทำอะไรอยู่ พี่อี๊ดก็ตอบว่า วันนี้ทำความสะอาดบ้าน เราก็เป็นคนปากไวโดยพื้นฐาน ก็เลยพูดออกไปว่า ตาบอดแล้วยังทำความสะอาดบ้านอีก ไอ้มลที่เป็นแม่บ้านก็อยู่ ทำไมไม่ให้ไอ้มลทำ มลเป็นเหมือนกับมือขวาของพี่อี๊ด ช่วยงานทุกอย่าง เนื่องจากว่า คุณเพชราเป็นคนที่รักความสะอาดมาก ดังนั้นเธอจะเป็นคนที่ดูดฝุ่นเอง กฎข้อหนึ่งที่คุณชรินทร์สั่งไว้คือ เพชราจะเป็นคนทำความสะอาดห้องพระ, โต๊ะหมู่บูชาเพียงคนเดียวเท่านั้น การที่เราปากไว พูดว่า ตาบอดหรืออะไรเนี่ย ไม่ได้หมายความว่า เราแสดงความก้าวร้าวหรืออย่างไรนะ แต่มันเป็นเรื่องที่เราคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนพี่สาวกับน้องชาย เพราะเราต่างก็พิการด้วยกันทั้งคู่" พินิจ หุตะจินดากล่าว
กล่าวคือ เพชรา เชาวราษฎร์ อยู่ในโลกมืด ส่วนพินิจ หุตะจินดา ต้องใช้ไม้รัดข้อแขนมือช่วยในเวลาเดินทางไปไหนมาไหน เนื่องจากขาพิการ แต่บ่อยครั้งที่คนคุ้นเคย มักจะเห็นเขาสะพายเป้ใบใหญ่ พกพาหนังสือมากมายหลายเล่ม โดยสารไปไหนมาไหนด้วยรถโดยสารปรับอากาศหรือรถตู้อยู่เป็นกิจวัตรประจำวัน
พินิจ หุตะจินดายืนยันว่า เพชรา เชาวราษฎร์เดินภายในบริเวณบ้านได้อย่างแคล่วคล่อง โดยไม่ต้องมีไม้เท้า แม้ในบริเวณจัดงานเนื่องในวันคล้ายวันเกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม เธอถือก้านแก้วไวน์เดินตามโต๊ะได้อย่างคนสายตาปกติ เป็นที่มหัศจรรย์ใจแก่ผู้ที่เพิ่งพบเห็นเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับคนรู้จักคุ้นเคยดี เห็นเป็นเรื่องปกติ ส่วนงานวันเกิดนี้ กฎข้อเดียวที่ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่รับรู้และรับทราบคือ ห้ามถ่ายรูป!! ถือเป็นคืนวันสำคัญที่ไม่อาจจดจำด้วยภาพถ่าย ...
กลุ่มคนในวงการบันเทิงที่สนิทสนม ไปมาหาสู่เป็นประจำ เช่น ดรุณี ชื่นสกุล, มานี มณีวรรณ, โขมพัสตร์ อรรถยา, วาสนา ชลากร , เอื้อมเดือน อัษฎา, บุศรา นฤมิตร, อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา, เยาวเรศ นิสากร, ดอกดิน กัญญามาลย์, ประจวบ ฤกษ์ยามดี, ลลิตตา ฉันทศาสตร์โกศล, โดม สุขวงศ์, วิทยา ศุภพรโอภาส เป็นต้น
"พี่อี๊ดเป็นคนมีน้ำใจ ห่วงใยคน พูดค่อย เดินค่อย ใช้คำสวยอย่างกุลสตรีไทยสมัยเก่า เป็นคนดื้อตาใส หัวแข็งเหมือนกัน และเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง อะไรที่เค้ายืนยันว่า ใช่ คือ ใช่ ไม่ก็คือไม่"
นี่เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งจากความทรงจำของพินิจ หุตะจินดาที่มีต่อเพชรา เชาวราษฎร์ อดีตนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง ผู้เป็น "เอก" ตลอดกาลของวงการภาพยนตร์ไทย
ความข้างล่างต่อไปนี้ คัดลอกจาก หนังสือพิมพ์ อินไซด์ทีวี ประจำวันที่ 1- 7 สิงหาคม 2535 หน้า 3
เพชราพูดถึงดารานักแสดงชาย – หญิงยอดนิยมของวงการโทรทัศน์ทุกวันนี้ จากการฟังเสียงและจินตภาพขึ้นในใจด้วยตนเอง ซึ่งค่อนข้างชัดเจนเหมือน "ตาเห็น" หรือคุณคิดอย่างไร
ฉัตรชัย เปล่งพานิช – เราไม่เคยเจอตัวเขาหรอก แต่ฟังจากการแสดง เราคิดว่าเขาเป็นแมนดี และถ้าสังเกตนำเสียงนะ เป็นคนหนักแน่น ทำอะไรทำจริงๆ
วรุต วรธรรม – เป็นหนุ่มทรงสเลนเดอร์ สมัยใหม่
ยุรนันท์ ภมรมนตรี – เราว่าเขาเป็นคนน่ารัก รูปหล่อ คุยอะไรตรงไปตรงมา จริงใจ
ลิขิต เอกมงคล – เป็นคนจริงจังกับชีวิตมากๆ เลย ไม่ค่อยชอบหวือหวาอะไร จริงจังซะมาก ไม่นึกว่าดารารุ่นนี้จะมีคนอย่างลิขิตอะไรแบบนั้น
จอนนี่ แอนโฟเน่ – ได้ยินแต่เสียงเล่นละคร รู้สึกว่าเขาเป็นวัยรุ่น รุ่นใหม่ทั่วๆ ไป ก็แบบนี้แหละ
สันติสุข พรหมศิริ – รู้สึกเป็นคนดีนะ ไม่ล่อกแล่กหลุกหลิก เป็นคนจริงจัง จริงใจ
รอน บรรจงสร้าง – ตอนที่เล่นละครแรกๆ เขาบอกว่ารูปหล่อ เล่นละครไม่เก่ง มาตอนหลังนี้เขาบอกว่าเล่นเก่งมากแล้ว
ศรัณยู วงศ์กระจ่าง – เขาก็เหมาะบางบทบาทนะ ไม่ทั่วๆ ไป
จินตหรา สุขพัฒน์ – น่ารัก น้ำเสียงเขาเป็นคนจริงจัง ไม่หลุกหลิกล่อกแล่ก เป็นคนใจบุญด้วยนะ รับผิดชอบต่องานและตรงต่อเวลา ดาราต้องเป็นอย่างนี้ถึงจะอยู่ยงคงกระพัน
สินจัย หงษ์ไทย – ดีนี่เท่าที่ฟังๆ ดู เพราะว่าผู้หญิงนี่นะ เข้ามาอยู่ในวงการตอนนั้นมันต้องหาสังกัดที่ตัวเองไว้วางใจ หาหลักที่พักพิงได้ เชื่อถือได้ใช่ไหม เขาก็เล่นดีนะ
กมลชนก โกมลฐิติ – รู้สึกเขาก็ดีนี่ เขาก็เก่ง แต่ฟังน้ำเสียงเขาแล้วมันไม่ถึงบทบาทเท่าจินตหราน่ะ เพราะเราฟังเขาน้อยเกินไปรึไงไม่รู้ แต่คู่กรรมนี่ฟังเขา รู้สึกเขาเล่นได้ดีมากๆ เลย
จริยา สรณคมน์ – ช่อง 3 ไม่ค่อยได้ดู เพราะฟังแค่ช่องหนึ่งเราก็พอแล้ว หลับๆ ตื่นๆ ก็ฟังตอนที่นกเขาจะบินนั่นแหละ เขาเปิดคอนเสิร์ตใหญ่โตมากไม่ใช่รึ
มนฤดี ยมาภัย – ตอนที่เขาเล่นดาวพระศุกร์นะ อย่าบอกใครเลย หนังก็หนังเหอะ สวดผีก็ต้องเอาทีวีไปตั้งจริงๆ นะ ขนาดที่ศูนย์อิสลามมีงานใหญ่ใกล้ๆ บ้านนี่นะ มีหนังฟรีก็ยังดูดาวพระศุกร์ก่อนถึงจะมาดูหนังจอ ว่ากันจริงๆ เขาเล่นดีด้วยนะ
ชไมพร จตุรภุช – คนนี้รู้สึกเขาเจ้าบทบาทดีนะ น้ำเสียงเขามีหวาน ทั้งเซ็กซี่ ทั้งเศร้า เขาพร้อมนะ
ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี – น้ำเสียงเขาฟีลลิ่งดีมากๆ
มาช่า วัฒนพานิช – น้ำเสียงก็ดีนะ เขาว่าเล่นดีนี่
หัทยา เกษสังข์ – เขาก็ดีนี่ ตอนหลังเขาเล่นคดีแดงเป็นประจำ เขาแคล่วคล่องว่องไวดี แต่ไม่ได้ฟังรายการวิทยุของเขา เป็นคนมั่นใจในตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกที่ทำมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากๆ จากการพูดการจา ปฏิภาณไหวพริบในการพูดการแสดง เขาทำได้ทุกอย่างที่เขาอยากทำ เขาคงสมาร์ทแหละ ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่สูงมาก อย่างดีก็ราวๆ 160 กว่าเซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัมนิดหน่อย
...
พลอย จำปานิล : ก็แกล้งๆ แต่งให้เหมือน
ใครๆ เรียกเธอว่า "พลอย เพชรา" เพราะครั้งหนึ่งเธอถูกแต่งให้เหมือนในนิตยสาร "ลลนา" ยุคที่ แมว สมถวิล จรรยาวงษ์ เป็นบรรณาธิการบริหาร วันนี้เพื่อนฝูงหยอกล้อเธอว่า "เพชร" หายไปเหลือแต่คำว่า "ชรา" ที่ยังโดดเด่นอยู่ แหม... เรื่องนี้ มันผ่านวัน เวลามานานแล้ว
หลังเรียนจบครุศาสตรบัณฑิต จากรั้วจามจุรี เมื่อปี 2528 เธอเริ่มต้นทำงานแห่งแรกด้วยการเป็นช่างแต่งหน้าอยู่ที่คัฟเวอร์มาร์ค ต่อมาเพื่อนๆ ชักชวนให้มาทำงานหนังสือ โดยสมัครเป็นฝ่ายขายโฆษณาให้แก่นิตยสาร FACE แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็ย้ายตัวเองมาทำข่าวสังคม
"เมื่อเราได้ลองทำงานในฝ่ายขายโฆษณาได้ไม่นาน ทางผู้บริหารก็เห็นว่า เราน่าจะเหมาะกับงานอื่นๆมากกว่า ก็เลยลองให้แต่งตัวสวยๆ ออกงานสังคม เราก็แต่งตัวธรรมดาๆ นี่แหละ ไม่ได้แต่งย้อนยุคเป็นเพชรานะ สมัยก่อนมีหนังสือและผู้สื่อข่าวไม่เยอะอย่างสมัยนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้จักกันหมด" พลอย จำปานิลกล่าวกับซูเปอร์บันเทิง ออนไลน์
จนวันหนึ่ง โครงหน้าของเธอไปสะดุดสายตาเมกอัพอาร์ตติส "ต้อ" ชรภาส โอภาสพันธ์ จึงมีการทาบให้มาเป็น "แบบ" ให้กับคอลัมน์ "ก็แกล้งๆ แต่งให้เหมือน" ในนิตยสารลลนา การทำงานในครั้งนั้น ชรภาส โอภาสพันธ์ แต่งหน้า, โสภา กำพลวรรณ (เกศสยาม) ทำผม และถ่ายภาพโดย วชิรา วิชัยสุทธิกุล
"ผมนี่ยุ่งยากที่สุด หน้าไม่เท่าไหร่ เนื่องจากพี่ต้อบอกว่าเรามีโครงที่ละม้ายเพชราอยู่แล้ว พี่โส เป็นอาจารย์สอนทำผมอยู่ที่เกศสยาม สมัยก่อนยังไม่มีผมย้อนยุคขายอย่างทุกวันนี้ ต้องใช้แฮร์พลีทมาเติมๆ เข้าไป แล้วมาประดิษฐ์เป็นช่อๆ โดยใช้รูปคุณเพชรา เชาวราษฎร์เป็นต้นแบบ ไม่ว่าจะเป็นมุม, กิริยา ตลอดจนแสงที่ใช้ในการถ่ายรูปก็พยายามที่จะทำให้ใกล้เคียงกับภาพต้นแบบมากที่สุด ใช้เวลาทำงานจนเสร็จสิ้น ประมาณ 3 ชั่วโมง"
เมื่อภาพของเธอได้รับการตีพิมพ์ ทุกคนเรียกเธอว่า "พลอย เพชรา" แทนที่จะเรียก "พลอย จำปานิล" ขณะที่เธอยังทำงานให้กับนิตยสารเฟส ก็มีโอกาสอื่นๆ เข้ามาอีกหลายชิ้น เช่น งานโฆษณากาแฟโคฟี่ , งานโฆษณาหมู่บ้านจัดสรร และได้รับการทาบทามจาก "โหน่ง" – วิทยา สุภากิจ อดีตสไตลิสต์นิตยสาร "แก้ว" ให้มาถ่ายแบบแฟชั่นอย่างเป็นทางการ โดยครั้งนั้น "เล็ก" - วาสนา โอดิศัย ทำผม, "แมว" ทัศนพงษ์ สวัสดิพงษ์ แต่งหน้า
ทุกชิ้น ลุคเดียวกันคือ เพชรา ตั้งแต่เสื้อผ้า หน้า ผม
วันนี้ เธอสารภาพบาป!! ที่เคยเบี้ยวคิวละครเรื่องหนึ่ง
"สมัยนั้น เราได้รับการทาบทามจากเจ้าของงานต่างๆ ให้เป็นเซเลบ แล้วก็มีคณะละครเจ้าหนึ่งติดต่อเข้ามา ตอนนั้น ใจจริงเราไม่อยากรับ เพราะรู้ว่าเป็นงานที่เราไม่ถนัด แต่ทนลูกตื๊อไม่ไหว เลยรับปากส่งๆ ไป แต่พอถึงวันถ่ายทำจริง เราก็เบี้ยว ไม่ไปกองละครซะอย่างนั้น นิสัยแบบนี้ อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ"
วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังเลือกดูหนังสือในชอปแห่งหนึ่ง ก็พบ "พลอย เพชรา" ในเวอร์ชัน "ลลนา" ถูกนำมาเป็นต้นแบบในการวาดภาพเหมือนเพื่อประกอบเป็นส่วนหนึ่งของปกนวนิยายเรื่อง "จ้าวแม่ทองคำ" สำนวนแปลโดย ประมูล อุณหธูป (ต้นฉบับ – เจอรัลด์ สแปร์โรว์) สำนักพิมพ์ บ้านหนังสือ เธอจึงซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึก
นอกจาก FACE แล้ว ยังไปทำงานให้กับนิตยสาร "เปรียว" ซึ่งสมัยนั้นทั้ง 2 เล่มอยู่ในออฟฟิศของสยามกีฬา
"สมัยอยู่ต่างจังหวัด ก็มีคนพูดเหมือนกันว่าหน้าเหมือนเพชรา แต่บางคนก็บอกว่า หน้าเหมือนวิภาวดี ตรียะกุล"
ภาพลักษณ์ต่างกันมาก ทั้งนี้เพราะ เพชรา เชาวราษฎร์ คือ นางเอก แต่วิภาวดี ตรียะกุลคือ ดาวยั่ว!! ลึกลงไปในใจเธอ พลอย จำปานิลเป็นคนชอบผู้หญิงสวยคลาสสิก นักแสดงต่างประเทศคนหนึ่งที่เธอชอบคือ ออเดรย์ เฮปเบิร์น เธอว่า ลุคของเพชรามีบางอย่างที่ละม้ายกับออเดรย์
"โครงหน้าตาเราก็ไม่ใช่คนสมัยใหม่ แต่เป็นคนที่มีโครงหน้าโบราณ"
ต่อมา ...พลอย จำปานิล ได้เบอร์โทรของเพชรา เชาวราษฎร์จากกองบรรณาธิการนิตยสาร "ลลนา" หลังจากที่นิตยสารลลนาเล่มนั้นวางแผงแล้ว เธอมีโอกาสโทร.ไปคุยกับเพชรา เชาวราษฎร์
"ตอนที่เราโทร.ไป เพชรารู้เรื่องที่ถ่ายลงนิตยสารลลนาแล้ว เนื่องจากมีคนบอกให้ฟัง เราโทร.ไปขออนุญาต เนื่องจากใช้ชื่อของเธอมาพ่วงชื่อของเรา เธอบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าทำให้เสียชื่อเสียงก็แล้วกัน นอกจากนี้ ยังได้คุยในเรื่องการทำงานสมัยก่อน ถึงรู้ว่า เพชราแต่งหน้าและดูแลเสื้อผ้าเอง กองถ่ายสมัยก่อนไม่มีช่างแต่งหน้า และฝ่ายคอสตูมอย่างทุกวันนี้ ครั้งที่สองเราโทร.ไปตอนที่เธอจัดรายการวิทยุ ถามเรื่องเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอาง เราอยากรู้เพื่อที่จะเอาไปปรับใช้กับงานของเรา"
ปีนี้ 2552 ทิ้งช่วงห่างจากวันวันที่สำเร็จปริญญาตรีมา 24 ปี .. เธอกลับมาเรียนต่อปริญญาโทในภาควิชา ศิลปะ ดนตรี และนาฏศิลป์ศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
"เราเองรู้สึกละอายใจเหมือนกันว่า เราเรียนจบจากคณะนี้ไปนานมาก แต่ก็ยังไม่ได้ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมเลย เมื่อเราอายุมากขึ้น ความคิดและทัศนคติก็เปลี่ยนไป ช่วงหนึ่งเราถามตัวเองบ่อยมากว่าชีวิตจะเหลืออยู่อีกกี่ปี ยังไม่ได้ทำงานให้แก่สังคมเป็นชิ้นเป็นอันเลย อีกประการหนึ่ง เรากำลังจะพาตัวเองออกจากวงการแล้ว ทุกวันนี้เรารับงานแต่งหน้าน้อยลง เพราะต้องเรียนปริญญาโทในภาคปกติ ทุกวันจันทร์ – พฤหัสบดี ตั้งแต่เช้าถึงบ่ายทุกวัน เราตัดสินใจแล้ว ที่จะเอาวิชาความรู้ตรงนี้กลับไปเปิดโรงเรียนสอนศิลปะให้แก่เด็กด้อยโอกาสในต่างจังหวัด"
พลอย จำปานิล เป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกความทรงจำ ในลุคของเพชรา เชาวราษฎร์ ในอดีต
...
ติดตามอ่าน แอบถ่าย “เพชรา” ในความทรงจำ (ตอนจบ)