xs
xsm
sm
md
lg

“โมเดิร์นไนน์ ทีวี” รุกฆาตบันเทิงดูดคนดู รับ “ล้วงลับฯ” ไร้สาระ ยังอยู่เพราะการเมืองภายใน ลั่นปี 53 ทีวีแข่งเดือด เตรียมเพิ่มช่องเคเบิ้ลสู้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“โมเดิร์นไนน์ ทีวี” เผยหลังปรับผังครึ่งปีหลัง เน้นวางรายการให้เหมาะกับกลุ่มผู้ชม เพิ่มสัดส่วนบันเทิง ทำกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนเป็นคนรุ่นใหม่ รับ “ล้วงลับตับแตก” หลุดคอนเซ็ปต์สถานี แต่ไม่ขอพูดมากเพราะเป็นเรื่องการเมืองภายใน แพลนปีหน้ายึดคอนเซ็ปต์เดิม แต่เพิ่มความหลากหลาย ลั่นปี 53 ทีวีมีการแข่งขันสูง เพราะมีช่องเคเบิ้ลและจานดาวเทียมเพิ่ม ไม่หวั่นถูกแย่งงบโฆษณา เพราะเตรียมเพิ่มช่องเคเบิ้ลเช่นกัน

หลังมีการขยับปรับผังรายการในช่วงครึ่งปีหลัง ตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นมา โดยชูคอนเซ็ปต์ “ก้าวทันยุคสนุกมีสาระ ทั้งครอบครัว” เพิ่มความทันสมัย เข้มข้น มีสาระและอรรถรสความบันเทิงมากขึ้น นายเขมทัตต์ พลเดช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โมเดิร์นไนน์ทีวีได้รับความสนใจจากผู้ชมเพิ่มมากขึ้น กลุ่มเป้าหมายของคนดูเปลี่ยนไป กลายเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งส่งผลอาจทำให้ปีหน้าต้องเพิ่มสัดส่วนบันเทิงเป็น 30

“ในปีนี้ผังเราปรับมาแล้ว 2 ครั้ง ส่วนใหญ่ผังจะปรับช่วงเวลาปกติบ้างเล็กน้อย เป็นเรื่องของรายการข่าว และมาปรับช่วงวันจันทร์ถึงวันศุกร์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราก็มาจัดวางให้มันเหมาะกับตัวกลุ่มเป้าหมาย เช่นรายการคุณพระช่วย เคยอยู่ 2 ทุ่มครึ่ง เด็กอาจจะกลับบ้านแล้วนอนเลยไม่ได้ดู เราก็จับมาอยู่ตอนบ่ายๆเสาร์-อาทิตย์ซะ หรือจับรายการที่มันน่าสนใจ มีแต่ความสนุกสนานแบบใหม่ที่มีสาระหลากหลาย เช่นเกมส์ซ่าท้ากึ๋น เข้ามามากขึ้น”

“ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็มีรายการเรียลลิตี้ซึ่งเราจะคัดเพิ่มขึ้น เพราะเรามองว่าถ้าหากเป็นพวกเอนเตอร์เทนดราม่าหรือเกมส์โชว์ มันไม่ได้ประเทืองวิธีคิดหรือเหลาสมอง ก็เลยทำให้เป็นเรื่องสาระสำคัญของชีวิตจริง เอามาจากนิสัยจากคนในสังคม คือสามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา แล้วก็ทำให้ตัวของสถานีกับผู้ชมมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพอเรามีรายการเรียลลิตี้ เราก็จะมีตัวโหวต มีกิจกรรม ที่เราสามารถต่อยอดเป็นตัวอื่นได้ด้วย”

“ที่ผ่านมาเราเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย คือจริงๆการโหวตในการจัดรูปแบบของตัวรายการ เราอยากจะเทไปที่บันเทิงมากขึ้น แต่อาจจะเพิ่มที่ละนิดๆ อาจจะที่ละ5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปัจจุบันบันเทิงมีอยู่ประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ข่าวและสาระมากกว่า เพราะฉะนั้นในสิ้นปีนี้อาจจะถึง30 ปีหน้าก็อาจจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่มันอยู่ที่ว่า 30เปอร์เซ็นต์ที่ว่า มันจะอยู่ในช่วงไพร์มไทม์หรือเวลาทำเงินได้มากน้อยแค่ไหน และมันอยู่ในการโปรโมตหรือสร้างแบรนด์ได้มั้ย ช่อง9เราจะไม่สนใจเรื่องเรตติ้งที่มีบริษัทจัดอันดับ แต่เราสนใจเรื่องของผู้ชมเป็นหลัก ยกตัวอย่างรายการของแอลจี เอนเตอร์เทนเนอร์ เป็นซีซั่นแรก เราเพิ่งโปรโมตไปหลังจากที่เดอะเทนเนอร์จบ ปรากฏมีคนมาสมัครเยอะมากเป็นหมื่นๆ”

“ต่อไปเกมส์โชว์หรือรายการคอนเสิร์ตก็จะมาอยู่ที่ช่องเรา เราก็จะจัดช่วงเวลาว่า ถ้าคอนเสิร์ตแบบนี้แปลกฉีกมากกว่ารายการอื่นมั้ย รายการดนตรีแปลกมีความแตกต่างมั้ย มีข้อคิดซ่อนอยู่มั้ย เรียลลิตี้ ตัวละครดราม่าหรือซิทคอมมีความแตกต่างมั้ย หรือแม้กระทั่งรายการที่เป็นวาไรตี้เกมส์โชว์เหมือนกัน บางทีอาจจะตอบคำถามอะไรไม่รู้ แต่ ของเราต้องมีแบบออกกำลังกายได้ คิดได้สร้างสรรค์ด้วย คือทำให้สังคมได้ตื่นตัวขึ้นมา ซึ่งเรามีทั้งรูปแบบร่วมผลิต ร่วมแบ่งเวลา ร่วมกันแบ่งรายได้ เราทำโอนโปรดักชั่น หรือเรียกว่ารีโปรดักชั่น เช่นเราซื้อคอนเท้นท์จากฝรั่งหรือเกาหลีมา แล้วก็มาทำ ซึ่งมันมีอยู่ทั้งหมด 4-5 แบบ คือเราพยายามทำให้องค์กรดูทันสมัยขึ้นทีละเล็กทีละน้อย”

ยอมรับรายการ "ล้วงลับตับแตก" ของบ.เวิร์คพ้อยท์ หลุดคอนเซ็ปต์ของสถานี อ้ำอึ้งไม่บอกเหตุผลที่ยังเอามาลงจอ บอกเป็นเรื่องการเมืองภายใน พูดไปกลัวจะมีผลกระทบ

“รายการของเวิร์คพ้อยท์เช่น ล้วงลับตับแตก หลายคนมองว่าไม่มีสาระ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่อยากพูดถึง เพราะถ้าพูดไปจะกระทบคนข้างใน ปัญหาคือเหมือนเป็นเรื่องการเมืองเล็กๆ ซึ่งจริงๆมันอาจจะหลุดคอนเซ็ปต์ไปบ้าง แต่ถามว่ามันจะให้อะไรตรงนี้ ถ้าเรามองด้านแง่บวกคือ เราต้องการที่จะเคลียร์รายการเป็นช่วงทำเงิน ให้มันลงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อันที่สองการลงกลุ่มเป้าหมายมันต้องมีจุดขายล่อ แทนที่คุณจะไปดูรายการกอสซิปดารา เราก็เอามาร้อยเรียงให้มันเป็นรายการวาไรตี้โชว์ซะ หมายความว่าจะพัฒนาให้มันมีความรู้บ้าง เหมือนรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย สมัยก่อนคนด่าว่าแรงๆ แต่ทำไมคนติด คนอยากดูเพราะมันมีอะไรซ่อนอยู่ในตัวคำถาม มันจะเป็นคาแรกเตอร์ของผู้ผลิตรายการ”

“ล้วงลับตับแตกก็เหมือนกัน ถามว่า ล้วงลับตับแตก เทียบกับ ชิงร้อยชิงล้านได้มั้ย แน่นอนว่ามันต่างกัน คือเราจะพยายามคุมคอนเซ็ปต์อยู่ว่า พฤติกรรมผู้บริโภคต้องการดูอะไร เขาอยากดูตลกแบบบ้าๆ บอๆ แต่ก็อยากดูบันเทิงที่มันมีความบรรเจิดอยู่ในสมองด้วย ซึ่ง ล้วงลับตับแตก มีความร้อยเรียงอย่างช่วงรถไฟรักก็น่าสนใจ ช่วงที่ถามคำถามกับวิธีคิดมันมีครีเอทีฟ ตรงนี้เรายังไม่ได้อธิบายให้ฟัง คนก็อาจจะมองรายการ ล้วงลับตับแตก อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถามว่าคนติดไหม ก็ติด แต่ก่อนเรตติ้งในช่วงเวลานั้น เป็นรายการอะไรผมก็ไม่ทราบนะ แต่มันขึ้นมา เพียงแต่ว่าเราต้องปรับ”

“ถ้ามองไปแล้ว ล้วงลับตับแตก ก็เอาลงมาให้ตรงกับกลุ่มคนดูนิดนึง แต่คนดูที่เป็นนักวิชาการก็ยังอยากจะดูว่า เฮ้ย!คุณไปโกหกหรือจับเท็จได้อย่างไร มันสะท้อนสังคมอะไรบางอย่างว่า สังคมมีแต่ความเท็จใช่มั้ย เราจะไปหาวิธีการจับเท็จได้อย่างไร มันจะมีผสมผสานกันอยู่ อันนี้ผมไม่ได้พูดเข้าข้างรายการนะ แต่มันต้องพยายามจูนให้เข้าหากับแนวทางของช่อง ซึ่งเป็นสังคมอุดมปัญญา”

“เหมือนรายการ สุริวิภา สมัยก่อน คุณเอาแต่ไฮโซมา เราก็บอกไปว่าคอนเซปต์คุณได้ แต่คุณต้องปรับจากไฮโซดึงลงมานิดหน่อย ให้เข้าถึงว่าสิ่งที่ได้เป็นไฮโซมาหรือเป็นไอดอล มันเป็นแรงบันดาลใจหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่สะท้อนอะไรบางเรื่องหรือเปล่า มันเป็นสิ่งซึ่งคนรากหญ้าสัมผัสได้หรือเปล่า ก็เลยออกมาเช่นเชิญแม่ชีศันสนีย์มา ไฮโซฟังได้ และมันก็มีวิธีคิดด้วย สุริวิภา เลยขึ้นแท่นแล้วคือโฆษณาเต็ม หรืออย่างรายการ วีไอพี ก็เหมือนกัน สมัยก่อนไปตีโจทย์ว่าวีไอพีคือเอ็กซ์คลูซีฟ เราบอกไม่ใช่ เราบอกว่าวีไอพีคือเรื่องที่สุดยอด คิดว่าแขกรับเชิญสุดยอด ซึ่งพอได้ปรับเดี๋ยวนี้รายการ วีไอพี ก็อยู่ตัว ชื่อหรือแบรนด์ดูดีแต่คนเอื้อมถึง สุริวิภา แบรนด์ดีคนดูก็เอื้อมถึงแล้ว”

เผยกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนไปเป็นคนรุ่นใหม่ เพราะโมเดิร์นไนน์เน้นจัดผังรายการเอาใจคนดูเป็นหลัก โดยไม่สนเรื่องอันดับเรตติ้งของสถานี

“กลุ่มเป้าหมายตอนนี้เราเริ่มมีแฟนคลับ เป็นคนรุ่นใหม่เยอะขึ้นที่จะทำให้เป็นแบรนด์เรียลลิตี้ของช่องเพิ่มขึ้นด้วย เรามีทำวิจัยในสมัยก่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนแบรนด์เป็นอสมท. คนแก่กับข้าราชการจะดูเยอะ รายการก็จะเป็นตัวหนักๆ ไม่ใช่บันเทิง อาจจะมีละครบ้างแต่ก็ไปชนกับช่องอื่นที่เป็นรากหญ้า จนเมื่อ4 ปีที่แล้วเราเปลี่ยนแบรนด์ดิ้งของอสมท. เป็นสังคมอุดมปัญญา แล้วมีการพัฒนาขึ้นมา พอตอนนี้ครบ4ปีแล้วการจะแบ่งตามเดิมก็ไม่ใช่แล้ว เพราะสถานการณ์เปลี่ยน เราก็ต้องเพิ่มรายละเอียดขึ้นมา อันนั้นคือในส่วนของโมเดิร์นไนน์ทีวี ที่ปรับตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคม”

“หลังมีการเปลี่ยนแปลงถ้ามองในงานของจริง คือผู้ชมมากขึ้น ตอนนี้ส่วนแบ่งจำนวนผู้ชม เราขึ้นมาอยู่อันดับ3 แล้ว แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่อันดับ3-4 เนื่องจากเขาวัดส่วนแบ่งทางการตลาดจากโนว์เลทการ์ด เราไม่ได้มีละครมาก เราก็คิดราคาไม่ได้แพงมาก เพราะฉะนั้นเราเลยไม่ได้สนใจหรอกว่าโนว์เลทการ์ดมันเท่าไหร่ หรือส่วนแบ่งทางการตลาดเท่าไหร่ เราสนใจแค่เรื่องฐานผู้ชม มันเป็นเครือข่ายทางกลุ่มสังคมที่จะพัฒนาต่อ สำหรับการแตกสื่อของเราในอนาคต”

“ในลำดับงานของผู้ผลิตรายการ ถ้าหากอยากจะเสนอรายการ สมัยก่อนเขาจะไปทางฝั่งโทรทัศน์ อาจจะยัดเงินหรืออะไรก็แล้วแต่แล้วได้เลย สมัยนี้อาจจะมีบ้าง แต่เราบอกว่าไม่ได้ ต่อไปนี้คุณต้องมาดูตลาดก่อน จะได้รู้ว่าผู้ชมเขาต้องการดูอะไร พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นแบบไหน ดูคู่แข่งเป็นไงบ้าง เราต้องทำวิจัยข้อมูลทางการตลาดก่อน เหมือนกับสินค้าตัวหนึ่ง ก่อนจะออกคุณต้องดูหีบห่อ วิจัยแล้ววิจัยอีก”

ปีหน้ายังยึดแนวสังคมอุดมปัญญา แต่จะพัฒนารายการให้มีความหลากหลาย เพราะพฤติกรรมของผู้ชมเปลี่ยนแปลง แย้มรายการของบ.เวิร์คพ้อยท์ยังคงอยู่ในผังซะเป็นส่วนใหญ่

“การดำเนินงานของโมเดิร์นไนน์ในปี53 แนวทางเรายังยึดในสังคมอุดมปัญญา แต่ในรายละเอียดพยายามที่จะบิดหรือปรับพัฒนาให้เหมาะสมกับผู้ชม มีความหลากหลาย เพราะในช่วงหลังๆ 4-5ปี ที่ผ่านมา การแบ่งสัดส่วนทางการตลาดของผู้ชมปรับเปลี่ยนมาก กลุ่มคนวัยรุ่นมีเยอะขึ้น กลุ่มคนที่เป็นคนแก่ก็เยอะขึ้น กลุ่มคนที่มีความรู้ก็เยอะขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่เคยมีเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ เป็นคนระดับรากหญ้า มันต้องมาระบุให้ชัดเจน เพราะฉะนั้นตัวผังรายการถึงแม้จะอยู่ในผังใหญ่ แต่ก็สามารถแตกแขนงไปได้เยอะ เราพยายามจัดตัวรายการที่เป็นเนื้อหาสาระ ให้เหมาะสมกับตัวผู้ชมในแต่ละ ดังนั้นตัวผังรายการเราจะมีความหลากหลายกว่าช่องอื่นๆ ช่องอื่นจะมีแต่ความบันเทิง หรือละครดราม่า แต่เรามีความหลากหลายดูสนุกก็ได้ ดูเสร็จแล้วได้ความรู้ ได้ข้อคิด ได้วิธีคิดนำไปเป็นแบบอย่าง”

“เราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เดิมช่วงเวลาไพร์มไทม์จะอยู่ที่ประมาณ 3ทุ่ม หลังๆเราพยายามพัฒนาให้ช่วงเวลาไพร์มไทม์เป็น4โมงเย็นถึงเที่ยงคืน แต่ละครยังมีเท่าเดิมโดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ และเราก็เพิ่มดราม่าที่เป็นซีรี่ส์ต่างประเทศช่วงบ่ายจันทร์ถึงศุกร์ และก็ไปเพิ่มช่วงเวลาอีกตอนตีหนึ่งครึ่งถึงตีสามครึ่ง เป็นดราม่าเกาหลี จีน คือพยายามทำให้ครอบคลุมตลาดให้ได้มากที่สุด ละครซีรี่ส์เกาหลีก็ไม่มีตบจูบเลือดสาด แต่พยายามให้เป็นชีวิตชาวบ้านมั้ย เป็นเรื่องสนุกสนานตลกโปกฮาของเด็กๆ ดีมั้ย หรือเรื่องของแม่บ้านจะดีมั้ย มันต้องคัดเหมือนเราจะเอาสินค้าออกสู่ตลาด”

“ถ้าปีหน้าปรับผังรายการของเวิร์คพ้อยท์ ยังคงอยู่ซะเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่สถานการณ์หรือพฤติกรรมของผู้บริโภค มันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ถ้าเปรียบกับเมื่อก่อนรายการเกมส์โชว์บางรายการ อยู่นาน 10-15ปี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ ผู้บริโภคจะเบื่อเร็ว แล้วเขามีสิ่งเร้าอื่นที่จะไปหา เช่นเขาไม่ดูทีวีแล้ว เขาไปดูผ่านจอคอมพิวเตอร์ แชทไปด้วยดูเน็ตไปด้วย หรือดูทีวีย้อนหลัง แถมยังดูคลิปรายการต่างๆ ได้ด้วย”

“ฉะนั้นตรงนี้รายการทีวีมันต้องเหมือนกับสินค้า ทางช่องโมเดิร์นไนน์เปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้า เราจะเป็นพารากอนหรือเอ็มโพเรียม แล้วก็มีผู้ผลิตสินค้าวางตามเชล์ฟ นั่นก็คือผังรายการ เพราะฉะนั้นสินค้าไหนดูแล้วดี ถ้าสมมติเป็นสินค้าแบรนด์ดังจากเมืองนอก เราก็จะโชว์หน่อย แต่ถ้าเป็นผู้ผลิตของบ้านเรา คือตัวเราผลิตเองอาจจะอยู่ช่วงเวลาปกติ อาจจะไม่ดี แต่ราคาถูกก็ยังบริโภคได้ หรืออาจจะเป็นรายการคอนเท้นท์ที่เราร่วมผลิต อย่างเวิร์คพ้อยท์ โพลีพลัส แอ็กแซ็กท์เราก็ให้อยู่เชล์ฟแถวหน้า แต่พอถึงเวลามันก็ต้องปรับ ต้องปัดฝุ่นบ้าง”

“เราคิดว่ามันเป็นรายละเอียดที่ต้องจัดวางใหม่บ้าง เพราะถ้าเราวางเดิมๆ สินค้าเดิมๆ ลูกค้าหรือผู้ชมก็จะมองว่าอ๋อ! มันก็เหมือนเดิม สังเกตได้จากการดูละคร ที่ไปแข่งกันที่เรตติ้ง เราคิดว่าถ้าเราเอาละครไปสู้เขา เราก็สู้ไม่ได้ เพราะโปรดักชั่นเราไม่อยากจะเป็นขนาดนั้น เราหาทางเลือกใหม่แล้วดึงผู้ชมที่เคยหมกตัวอยู่ตรงนั้นดึงออกมา แล้วเราจะบอกว่าแบรนด์ของเรามันสูงขนาดไหน”

“ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเบอร์ 1 หรือเบอร์ 2ในตลาด แต่ผู้ชมที่ชมรายการต่างๆของเราเป็นคนเท่ห์นะ เป็นคนที่มีความรู้รุ่นใหม่ ถึงแม้อายุจะแก่แต่ก็ยังรุ่นใหม่อยู่ ก็เหมือนโทรศัพท์BB (Blackberry) หรือ I-Phone คนตั้งแต่อายุ50-60 ปี หรือวัยรุ่นก็ยังใช้ทั้งๆ ที่สินค้าเหมือนกันเลย แต่ว่าแบรนด์ดิ้งไม่เหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่เราจะวางตรงนั้นไป นี่ยังไม่ลงรายละเอียดว่า ต่อไปเราจะลงสื่อเช่นแซทเทิลไลท์(จานดาวเทียม) เคเบิ้ล ซึ่งมันก็จะแตกไปอีก”

ประเดิมปรับผังใหม่ตั้งแต่ม.ค.ปีหน้า โดยมุ่งเน้นทำช่วงเวลา 6 โมงเช้า-4โมงเย็นทุกวันจันทร์-ศุกร์ให้แข็งแรง ลั่นปีหน้าทีวีจะมีการแข่งขันสูง เนื่องจากจะมีช่องเคเบิ้ลและจานดาวเทียมเพิ่มขึ้น

“ผังรายการของทางช่องคิดว่า น่าจะปรับอีกทีในช่วงเดือนมกราคม แต่คงไม่ได้ปรับเยอะ คงต้องเป็นรายการที่เสริมเข้าไป เช่นตัวละครใหม่ก็จะมา ตัวรายการเรียลลิตี้ใหม่ก็จะมา ตอนนี้บริษัทต่างๆ เริ่มเข้ามาแล้วเราก็พิจารณา เพราะพื้นที่เราค่อนข้างเต็มแล้ว แต่เราคงไม่ได้ปรับใหญ่มากมาย เพราะรายการค่อนข้างจะอยู่ตัว พื้นที่ที่เราจะมุ่งต่อไปคือ ช่วงเวลาปกติจันทร์-ศุกร์ตั้งแต่เช้า 6โมงเช้า ถึง 4โมงเย็น"
 
"เราต้องมานั่งพิจารณาจับตาดูเป็นพิเศษ ส่วน เสาร์-อาทิตย์ตั้งแต่เช้าจรดเย็นมันแข็งแรงอยู่แล้ว ตั้งแต่เช้ามีการ์ตูน พอบ่ายๆมีละคร เย็นๆก็รายการเรตติ้งดีๆ ต่อด้วยละครซิทคอม ต่อจากซิทคอมก็เป็นละครดราม่า ซึ่งมันก็แข็งแรงหมด ตอนนี้กลุ่มเป้าหมายเริ่มดีขึ้น เพียงแต่ว่ามันต้องเพิ่มในบางส่วนเช่น ในเรื่องวิธีขาย การโปรโมต การสร้างแบรนด์ เรื่องของการทำกิจกรรมเสริม ซึ่งปัจจุบันเราทำเยอะมาก”

“ปีหน้าจะต้องแข่งเดือดอีกแน่นอน เศรษฐกิจเริ่มฟื้น อันที่สองมีคู่แข่งในตลาดเพิ่มขึ้น ทรูอาจจะมีโฆษณาซึ่งเราเป็นคนอนุมัติ แซทเทิลไลท์(จานดาวเทียม)ทีวีจะเกิดขึ้นอีกมหาศาล ซึ่งปัจจุบันเกิดขึ้นมาเยอะแยะแล้ว ผู้ที่ใช้เงินลงทุนด้านสื่อสูงสุด10 อันดับแรก เขาต้องการหาสื่อใหม่ๆ เพราะฉะนั้นสื่อหนังสือพิมพ์หรือสื่ออะไรต่างๆจะลดลง เอาเงินไปเพิ่มในแซทเทิลไลท์หรือเคเบิ้ล คู่กับทางฟรีทีวี เขาก็จะคุ้มค่าในเม็ดเงินมากกว่า”

“เพราะฉะนั้นกลุ่มพวกนี้จะโลว์เทรด ไปทางกลุ่มสื่อทีวีมากขึ้น การแข่งขันของฟรีทีวีเองก็ต้องแข่งขันกับตัวเอง แล้วต้องไปแข่งกับคู่แข่งที่เพิ่มมากขึ้นด้วย โอกาสที่จะแชร์กัน โลว์เทรดงบ ลดงบโฆษณาจากปีหนึ่ง 8 หมื่นล้าน อาจจะเป็นงบทีวีสัก 5 หมื่นกว่าล้าน งบทีวีอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ว่าจะไปเพิ่มขึ้นในสื่อใหม่ในงบรวมเท่าเดิม แต่มันจะโลว์เทรดตรงนี้ไป เพราะมันถูกกว่า”

“แต่เราไม่กลัวว่าโฆษณาจะหลุดไปนะ เพราะเรามีเครือข่ายของเรา สมมติว่าในปัจจุบันเราขายถูกกว่าช่องอื่น แต่รายการเราหลากหลายกว่า ถ้าในอนาคตเรามีช่องสัญญาณทีวีอีก2-3 ที่ เราก็บอกลูกค้าว่า คุณมาซื้อที่นี่ที่เดียว คุณได้หมดทั้งแผง แต่ถ้าคุณไปช่องอื่น คุณได้แค่ทีวีช่องเดียว แต่ของเรามีทั้งวิทยุ มีโมเดิร์นไนน์ทีวี มีจานดาวเทียม มีเคเบิ้ลอีกขายเป็นแพ็คเกจ คือพูดง่ายๆ ว่าไม่ให้ลูกค้าไปไหน แต่ว่าตรงนี้มันก็ต้องจัดวางระบบภายในของเราเองว่า เราจะร่วมมือกับภายนอกยังไงในการผลิตรายการ เพราะคอนเท้นท์จะเพิ่มขึ้นมหาศาล บริษัทผู้ผลิตคอนเท้นท์จะผลิตกันไม่ทัน ซื้อกันไม่ทัน ยิ่งถ้าซื้อกันมันต้องมีการแข่งราคากัน เหมือนซีรี่ส์เกาหลีราคาสูงมาก 7 พันเหรียญต่อตอน ซึ่งมันแพง”

“ในปีหน้าเราคงเข้าสู่ยุคดิจิตอล จะมีทีวีช่องใหม่ๆ จะมีอะไรหวือหวามากขึ้น แต่ต้องดูค่อยๆ เป็นค่อยๆไป เรื่องธุรกิจการตลาดเราคิดว่าจะเดินหน้าต่อไปแบบนี้ พยายามทำให้ช่องโมเดิร์นไนน์มีคอนเท้นท์ให้เต็ม เรายังขาดเรื่องนอนไทม์บางรายการ แล้วก็จะมีสื่อใหม่ๆเข้ามา คือเราต้องทำงานหนักมากขึ้น”










กำลังโหลดความคิดเห็น