xs
xsm
sm
md
lg

(ว่าที่) หนังผีที่เจ๋งที่สุดแห่งปี!! : 5 แพร่ง/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


คาดหวังกันมาก็เยอะ ผิดหวังกันมาก็แยะ แต่ก็อีกนั่นแหละ หลายๆ คนอาจจะยังคาใจว่า ทำมั้ย...ทำไม หนังผีไทย พ.ศ.นี้ ถึงไม่จี้จุดโดนใจเลยสักเรื่อง และถ้าคุณกำลังรู้สึกเช่นนั้น ผมเชื่อว่า หนังอย่าง 5 แพร่ง น่าจะทำให้คุณรู้สึก "แตกต่างออกไป" ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย...

ก็อย่างที่คุณและผมคงจะเห็นเช่นเดียวกันครับว่า เกินกว่าครึ่งขวบปีที่ผ่านมา เมื่อคิดประมวลเป็นอัตราส่วน นอกจากพวกหนังตลกไร้สาระทั้งหลายแหล่นั้นแล้ว ก็คงเป็นหนังผีนี่เองที่มีชั่วโมงบิน "ถี่" ที่สุด ดูง่ายๆ จากช่วงเวลาร่วมๆ หนึ่งเดือนที่ผ่านพ้น มีหนังผีเข้าใหม่แทบจะทุกอาทิตย์ จนแทบจะพูดได้เลยว่าเป็น "เดือนแห่งหนังผี"

อย่างไรก็ดี ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นเช่นนั้น แต่สิ่งที่จริงยิ่งกว่าก็คือว่า ในบรรดาหนังผีที่เข้าฉายในแต่ละอาทิตย์นั้น ส่วนใหญ่ก็เป็น "หนังงั้นๆ" ที่จะแนะนำใครให้ไปดูก็ไม่กล้า เพราะเกรงว่าเขาจะผิดหวังเสียดายตังค์

โอเคล่ะ ถ้าแกล้งๆ ลืมหนังผีพื้นๆ ดาษๆ ที่หวังผลด้านการตลาดมากกว่าจะมาโชว์งานฝีมือ อย่างพวกผีตุ๋มติ๋มเอย กระสือฟัดปอบเอย หรือแม้แต่หนังที่เคยดีอย่างบุปผาราตรี...มันก็ยังมีหนังผีที่จัดว่าพอดูได้ในระดับกลางๆ อย่าง "หลวงพี่กับผีขนุน" และมีหนังผีที่ดูแล้วรู้สึกว่าคนทำมีความพยายามสูงอย่าง "ตอกตราผี" (พยายามสูง ไม่ได้หมายถึง "ดีแล้ว") แต่ว่ากันอย่างถึงที่สุด มันก็ยังไม่มีหนังผีเรื่องไหนที่พอจะทำให้เราไม่จำเป็นต้องออมเสียงเวลาพูดแล้วประกาศออกมาแบบเต็มปากเต็มคำได้ว่า "ดูแล้วคุ้ม-น่าเสียตังค์" (หรือถ้าใครจะบอกว่า มันมีแต่หนังที่ "ดูแล้วเครียด เสียดายตังค์" อย่างนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะเถียงเช่นกัน)

แต่ถึงอย่างนั้น ท่ามกลางความน่าผิดหวังของหนังผีเรื่องแล้วเรื่องเล่า ผมคิดว่า หนังอย่าง "5 แพร่ง" น่าจะเป็นหนึ่งในหนังไทยไม่กี่เรื่องของปีนี้ที่คุณและผมจะสามารถบอกกล่าวคนรู้จักให้ไปดูได้แบบไม่ต้อง "อ้อมๆ แอ้มๆ" เวลาบอก...

คล้ายๆ กับจะเป็นการต่อยอดความสำเร็จมาจาก "4 แพร่ง" ที่หลอกหลอนได้ร้อนแรงถึงขั้นที่ทำให้หลายๆ คนกลับบ้านไปแล้วนอนไม่หลับ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมว่า 5 แพร่งก็มี "ทิศทาง" และ "รูปลักษณ์หน้าตา" ที่แตกต่างไปจากผีภาค 4 แพร่งเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคิดถึงว่า มันไม่ใช่หนังผีที่ตั้งหน้าตั้งตามาหลอกคนดูให้ขวัญผวาอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนกับที่ 4 แพร่งเคยทำไว้อีกต่อไปแล้ว

พูดง่ายๆ ก็คือว่า ถ้าเทียบกันในแง่ความหลอน "5 แพร่ง" เป็นรอง "4 แพร่ง" อย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น มันก็มี "หมัดเด็ด" ที่เราไม่อาจปฏิเสธในความพยายามครีเอทของคนทำ ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีโปรไฟล์ที่ดีจากการทำหนังผีมาแล้วทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็น ปวีณ ภูริจิตปัญญา (บอดี้ ศพ#19 และ 4 แพร่ง ตอน ยันต์สั่งตาย) ทรงยศ สุขมากอนันต์ (เด็กหอ) รวมไปจนถึง ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ (ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ แฝด และ 4 แพร่ง ตอน เที่ยวบิน 224) และ บรรจง ปิสัญธนะกุล (ชัตเตอร์ แฝด และ 4 แพร่ง ตอน คนกลาง) และเหนืออื่นใด คือมือใหม่ในตำแหน่งไดเร็กเตอร์อย่าง วิสูตร พูลวรลักษณ์ ที่พักงานบริหารลงมากำกับหนังด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต

เอาล่ะ มาถึงตรงนี้ หลายๆ คนอาจสงสัย...เพราะทั้งๆ ที่ก็บอกอยู่ว่า ไม่น่ากลัวเท่า 4 แพร่ง แต่เพราะอะไร ผมถึงคิดว่า 5 แพร่ง ควรจะได้ตำแหน่ง "หนังผีที่เจ๋งที่สุด" ของ พ.ศ.นี้??

ยังไม่ต้องไปแตะที่ตัวหนังว่าแต่ละแพร่งดีและด้อยแตกต่างกันอย่างไร อันดับแรกเลย ผมเห็นว่า ที่รูปลักษณ์หน้าตาของ 5 แพร่งออกมาเป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะลึกๆ แล้ว จีทีเอชเองก็คงหวั่นๆ อยู่ว่า ศักยภาพความหลอนของภาคนี้ อย่างไรเสียคงไม่มีทางเทียบเท่ากับสี่แพร่งได้แน่ๆ เลยไม่เลือกที่จะ "สานต่อความหลอน" แบบเอาเป็นเอาตาย แต่เลือกที่จะนำเสนอมันออกมาใน "รูป" และ "รส" แห่งอารมณ์ที่หลากหลายกว่า

ถ้าผลงานของคุณเป็นเอก รัตนเรือง เรื่อง "นางไม้" เปรียบเสมือนการปลีกตัวเองออกไปจาก "ขนบซ้ำซาก" ของการทำหนังผีที่ต้องหลอก ต้องหลอน หรือไม่ก็ตลกติ๊งต๊อง ผมคิดว่า 5 แพร่งก็คงไม่ต่างอะไรจากงานที่เป็นทั้ง "งานทดลอง" และ "โชว์ของ" ที่บอกเล่ากับเราว่ามันยังมี "ทริก" อีกเยอะแยะ และมี "ลูกเล่น" อีกมากมายในการทำหนังผี ขอเพียงแค่คุณจะ "คิดออก" กันหรือเปล่า?

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะอะไร แทนที่จะทำตัวเป็น "ศูนย์รวมแห่งความหลอน" แบบเดียวกับ 4 แพร่ง แต่ 5 แพร่ง กลับปฏิเสธสูตรสำเร็จนั้นและทำมันออกมาด้วยการผสมผสานอารมณ์อันหลากหลายเข้าด้วยกัน ซึ่งมีตั้งแต่เอาจริงเอาจังตั้งใจมาหลอกอย่างเป็นเรื่องเป็นราว กับ "หลาวชะโอน" หรือโยนจังหวะตึงตังโครมครามให้สะดุ้งผวา ด้วย "รถมือสอง" และ "ห้องเตียงรวม" ไปจนถึงจินตนาการแปลกๆ ใน Backpackers ก่อนจะวกเข้าสู่ความขำกลิ้ง กับ "คนกอง"

เหนืออื่นใด สิ่งหนึ่งซึ่งผมคิดว่ามันคงผ่านกระบวนการกลั่นกรองมาแล้วอย่างดีของทีมงานหนังเรื่องนี้ก็คือ การเรียงลำดับตอนแต่ละตอนเข้าด้วยกัน ซึ่งผมรู้สึกว่ามัน "ลงล็อก" และ "ลงตัว" อย่างเหมาะเจาะ ด้วยการสตาร์ทเริ่มจากเรื่องที่หลอนมากสุด ก่อนจะค่อยๆ เกลี่ยอารมณ์ของตอนถัดๆ ไปให้คลี่คลายทีละเล็กทีละน้อยจนไปสู่จุดที่ "ปลอดโปร่งผ่อนคลาย" ในท้ายที่สุด และเชื่อเถอะครับว่า คนดูจะกลับบ้านไปพร้อมรอยยิ้มและความสุข ซึ่งจะต่างจากตอนที่ดู 4 แพร่ง ที่แม้จะดูจบแล้ว ก็ยังรู้สึกราวกับว่า "ผีในหนัง" มันยังติดตามไปหลอกหลอนเราต่อถึงเตียงนอน

และก็เหมือนกับตอนที่ดู 4 แพร่ง คำถามหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากดูจบก็คือ ใครชอบแพร่งไหนมากกว่า แน่นอนครับว่า สำหรับผม ขอเลือกแพร่งแรกอย่าง "หลาวชะโอน" (กำกับโดย ปวีณ ภูริจิตปัญญา) เพราะรู้สึกว่ามันดู "แน่น" กว่าเรื่องอื่นๆ ในแง่ของความเป็นหนัง คือมีทั้งคอนเซ็ปต์ที่ปึ้ก (อันว่าด้วยเรื่องราวของกรรมเวร) และมีทั้งจังหวะจะโคนที่ดีในการบีบคั้นความรู้สึกคนดูให้หวาดกลัวร่วมไปกับตัวละคร (ใครอยากศึกษาไวยากรณ์การทำหนังผีดีๆ ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ แบบเดียวกับที่ไม่ควรพลาด "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" หรือ "เปนชู้กับผี")

ที่สำคัญก็คือ นอกเหนือไปจากเรื่องของการจัดบรรยากาศแสงเงาที่ปลุกเร้าความน่ากลัวได้อย่างชะงัดแล้ว มุมกล้องของตอนนี้ก็แพรวพราวมากจนรู้สึกได้ถึงความขยันหามุมมองของช่างภาพ และภาพที่เปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆ (จากมุมสูงแบบ Bird Eye's View ไล่มามองในมุมต่ำ แล้วกวาดไปรอบๆ ฯลฯ) นั้น ก็ใช้แทนสายตาของตัวละครหรือแม้แต่คนเราทั่วๆ ไป เวลาหวาดระแวงได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งๆ ที่ในใจก็หวาดกลัวว่าอาจจะเจอผี แต่ก็ยังชอบอยู่ดีที่จะมองไปทั่วๆ จริงไหม?

แน่นอน ขณะที่ตอน "ห้องเตียงรวม" (กำกับโดย วิสูตร พูลวรลักษณ์) อาจจะทำให้คนขวัญอ่อนไม่กล้านอนโรงพยาบาลห้องเดียวกับคนไข้รายอื่นๆ และตอน "รถมือสอง" (กำกับโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ) อาจทำให้ใครบางคนขยาดที่จะไปถอยรถออกมาจากเต็นท์ ผมคิดว่า ตอนที่น่าพูดถึงเป็นพิเศษก็คือ Backpackers (กำกับโดย ทรงยศ สุขมากอนันต์) ที่ไม่น่าเชื่อว่า ผีแบบ "แดนนี่ บอยล์" (28 Days later) หรือ "จอร์จ.เอ โรมิโร" (Dawn of the Dead) จะมาโผล่ในหนังไทย

โอเคล่ะ ความสมเหตุสมผลอาจจะน้อยไปหน่อย เช่น หนุ่มสาวญี่ปุ่นคู่นั้นมาจากไหน ไปทำอะไรแถวนั้น ที่ดูๆ ไป ก็ไม่น่าจะใช่โลเกชั่นสำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจอะไรเลย แต่รวมๆ ก็ถือว่าแปลกใหม่ดี และยอมรับว่าคนทำนั้นกล้าคิดกล้าเล่น (แต่ถ้าคุณย้ง-ทรงยศ จะไม่เก็บไปคิดมาก ผมขออนุญาตพูดหน่อยครับว่า เทคนิคของกล้องตอนกองทัพผีวิ่งไล่หลังรถบรรทุกนั้น มันช่างคล้ายคลึงกับ 28 Days later มากมาย...)

ขณะเดียวกัน ผมรู้สึกว่า มันมีเนื้อหาหลายๆ อย่าง "ฟุ้ง" อยู่ในตอนแบ็กแพ็กเกอร์ นี้ และก็ล้วนเป็นเรื่องที่ชวนคิดแทบทั้งนั้น ทั้งการลักลอบขนยาเสพติดที่เอา "ชีวิตและความเป็นความตาย" ของคนเป็นเครื่องมือ ไปจนถึงประเด็นความแตกต่างทางเชื้อชาติภาษาและปัญหาในการสื่อสาร (ที่ก็ชวนให้คิดถึงหนังอย่าง Babel ได้อีก) หรือแม้กระทั่งการที่หนังให้ผีกระโดดกัดคอพระ ก็ดูจะเป็นประเด็นขึ้นมาได้...เพื่อนรักของผมบางคนตั้งข้อสังเกตแบบทีเล่นทีจริงว่า มันสะท้อนถึงภัยที่คุกคามศาสนาหรือเปล่า? อันนี้ ผมไม่รู้จริงๆ...

อย่างไรก็ดี ทั้งๆ ที่ดูเหมือนจะ "มีเรื่องให้เล่า" มากขนาดนั้น แต่เราจะพบว่า Backpackers แตะเรื่องเหล่านั้นเพียง "เบาๆ" และแบบ "ผ่านๆ" เหมือนมีปลาหลายตัวให้จับ แต่จับไม่อยู่มือซักตัว ซึ่งเมื่อเทียบกับตอนอื่นๆ ที่มี "จุดโฟกัส" ชัดเจนในตัวเอง ทำให้หนังตอนนี้กลายเป็นเรื่องที่ "เบา" ที่สุด

แต่เอาล่ะ ไม่ว่าจะอย่างไร ในขณะที่กำลังคิดว่า "หลาวชะโอน" คือตัวเลือกที่ชอบที่สุด ผมกลับรู้สึกว่า คะแนนของ "คนกอง" นั้นไล่หลังมาติดๆ เพราะทั้งๆ ที่ความสมเหตุสมผลและความเป็นไปได้แทบไม่มีเลย แต่กลับเป็นหนังที่ดูดีพิลึก ทั้งจากมุกตลกจิกกัดเหน็บแนม (ตัวเองและคนอื่น) รวมไปจนถึงการหักมุมที่จงใจล้อเลียนแบบแผนหนังผีทั่วๆ ไปที่เอะอะอะไรก็ต้องหักมุมไว้ก่อน

แน่นอนล่ะ การหักมุมของ "คนกอง" อาจจะดูงั่งๆ ต๊องๆ เหมือนกับละครซิทคอมเบาสมองทางฟรีทีวีอยู่สักหน่อย แต่ร้อยทั้งร้อย เชื่อผมเถอะว่า คนดูรับได้และพร้อมที่จะสนุกไปกับมัน ยิ่งไปกว่านั้นก็คือคุณมาช่า วัฒนพานิช ในเรื่องนี้ ดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตอนที่เล่นเรื่อง "แฝด" เพราะนอกจากจะดูไม่น่าหวาดผวา ยังเป็นคาแรกเตอร์ที่มาพร้อมกับความฮาแตกอีกต่างหาก (มุก "พี่ช่าเยี่ยว" นี่ ผมว่าน่าจะถูกจดจำไปอีกไกลเลย)

ครับ, พูดกันอย่างถึงที่สุด 5 แพร่ง อาจไม่ใช่ศูนย์รวมแห่งความหลอนเหมือน 4 แพร่งอย่างที่บอก แต่อย่างน้อยที่สุด ผมว่า มันได้รวมเอารสชาติและสีสันอันหลากหลายมาไว้ในเวลาร่วมๆ 2 ชั่วโมง

และสิ่งที่ผมอยากจะบอกจริงๆ ก็คือว่า ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่าความกลัวกำลังจะหายไป ทั้งๆ ที่ดูหนังผีทุกอาทิตย์ตลอดเดือนที่ผ่านมา... 5 แพร่งจะเอา “ความกลัว” นั้นมาคืนให้คุณ หรือถ้าคุณกำลังเซ็งๆ กับหนังผีบวกตลกซึ่งมาพร้อมกับมุกลามกและหยาบที่แป้กแล้วแป้กอีก... 5 แพร่งก็อาจจะทำให้คุณหัวเราะออกมาดังๆ ได้ซะที

พูดแบบนี้ ไม่ได้ "เชียร์" ใครครับ แต่ “ชอบก็บอกชอบ” ก็เท่านั้นเอง...








กำลังโหลดความคิดเห็น