“ต๊ะ บอยสเก๊าท์” จากคนเคยดังสู่ช่วงชีวิตที่ตกต่ำในชีวิตจนอยากจะฆ่าตัวตาย เจ้าตัวเผยรอดมาได้เพราะเสียงเพลง ปัจจุบันหันมาขายเสื้อผ้าหน้าห้าง แต่ก็ยังไม่หยุดความฝันในวงการบันเทิง เชิดใส่นายทุนเตรียมรวมตัวเพื่อนนักร้องเปิดบริษัทออกอัลบั้มเอง
หายหน้าหายจากหน้าจอทีวีไปพักใหญ่จนใครๆต่างลืมเสียงแหบเสน่ห์ของนักร้องหนุ่ม “ต๊ะ ฌานิช ใหญ่เสมอ” หรือ “ต๊ะ บอยสเก๊าท์” อดีตศิลปินบอยแบนด์อันดับต้นๆ ของเมืองไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่แล้วชีวิตก็ต้องพลิกผันเมื่อเข้าไปพัวพันกับยาเสพและอาวุธปืนจนถูกแบนงานถึง 2 ปีเต็ม ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “เป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดของชีวิตถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย” จากคนเคยดังกลายเป็นคนสิ้นหวัง อะไรที่ทำให้เขาผ่านช่วงชีวิตที่เลวร้ายนั้นมาได้ วันนี้ต๊ะจะมาย้อนวันวานถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา
“ผมเริ่มเข้าวงการตอนนั้นก็ได้รู้จักกับทางโมเดลลิ่งก็มีเพื่อนแนะนำเข้าไป ก็ถ่ายโฆษณาไม่ว่าจะเป็นโค้กวันเวย์ ครีมล้าหน้าซีบีส ยำยำจำโบ้ อยู่เกือบ 2 ปีก็ได้ไปรู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็คือพี่อ้อย อัปสร มนต์ตรา เขาก็ทำอยู่เอ็มซีโมเดลลิ่งหลังจากนั้นพี่อ้อยก็นะนำให้รู้จักกับพี่พจน์ อานนท์ จากนั้นพี่พจน์ก็เอาไปถ่ายแบบในหนังสือเธอกับฉัน ทำให้ได้ไปแคสภาพยนตร์เรื่องอนึ่งคิดถึงพอสังเขป ที่ไฟร์สตาร์ จากนั้นก็เริ่มขยับเข้าขั้นความเป็นดารา จากเรื่องอนึ่งคิดถึงพอสังเขปนี่เองทางเอร์เอสก็เรียกเข้าไปคุยจนได้มาทำอัลบั้มบอยสเก๊าท์”
“การที่ได้ออกอัลบั้มก็เลยทำให้คนทั้งประเทศรู้จักผม ตอนนั้นดังมาก เพื่อนๆ ที่ดังมาพร้อมๆ กันก็จะมีมอส ปฎิภาณ ,เต๋า สมชาย และสายฟ้า เศรษฐบุตร หลังจากนั้นก็มีงานตามมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่อง เด็กระเบิดยืดแล้วยึด ซึ่งตอนนั้นก็จะมีอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ด้วย แล้วก็มีภาพยนตร์เรื่องเด็กเสเพล, 18 ฝนคนอันตราย ที่ออกกับบอยสเก๊าท์จริงๆ มีแค่ 2 อัลบั้ม ส่วนใหญ่จะไปออกพวกอัลบั้มรวมไม่ว่าจะเป็นอันปลั๊ค ซุปเปอร์ทีม เข้าคิว เพลงประกอยภาพยนตร์เด็กระเบิดฯ เด็กเสเพล 18 ฝนคนอันตราย แล้วก็ละครสุดแต่ใจจะไขว่คว้า”
“แต่ช่วงที่พีคจริงๆ สำหรับผมคือช่วงที่ผมมาเล่นภาพยนตร์เรื่องเด็กเสเพล ด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์แล้วมีอัลบั้มเพลงประกอบด้วย เรียกได้ว่าตอนนั้นเฉพาะแค่อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ก็ยอดขายค่อนข้างดีมากแล้วยังมีคอนเสิร์ตใหญ่ซึ่งก็เป็นคอนเสิร์ตของช่องด้วยคือ คอนเสิร์ตเลข 3 คอนเสิร์ตช่อง 9 ซึ่งเพลงประกอบภาพยนตร์เองมันก็ไม่เหมือนกับการออกอัลบั้มหรอก แต่ในเรื่องของความแรงของภาพยนตร์ทำให้ได้ขึ้นฟรีคอนเสิร์ตของทั้ง 2 ช่องซึ่งถือตอนนั้นถือว่าเป็นปรากฏการณ์ และสิ่งที่รับรู้ได้คือเวลาที่ไปเล่นตามต่างจังหวัดก็จะได้ทราบข่าวสารจากแฟนๆ ว่ามีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่นไม่เคยมีการต่อคิวเข้าแถวจองตั๋วดูภาพยนตร์ขนาดนี้มาก่อน ตอนนั้นกระแสแรงมากจริงๆ”
“ช่วงชีวิตในตอนนั้นในยุคของผมทางต้นสังกัดจะไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เหมือนกับสมัยนี้ สมัยนี้จะเป็นดารานักแสดงต้องมีเครดิตค่อนข้างเยอะ สมัยก่อนเราเป็นเด็กมากเราเลือกอะไรมากไม่ได้ เราเสียงดังไม่ค่อยได้ซึ่งทางบริษัทเองตอนนั้นก็จะแบ่งเวลาให้เราค่อยข้างที่จะลำบากนิดหนึ่งที่จะต้องเรียนด้วย คือถ้าจะไปเรียนก็ต้องเบรกอัลบั้มนั้นไปเลย มันไปเรียนไม่ได้จริงๆ เพราะมันมีงานทุกวัน เดือนหนึ่งมีวันหยุดแค่วันสองวัน”
ขณะที่ชีวิตช่วงกำลังไปได้สวยก็ต้องมาสะดุดกับจังหวะของช่วงวัยเบญเพสด้วยการจากไปของคุณแม่และการเข้าไปมีข้อหาพัวพันกับยาเสพติดและอาวุธปืน ซึ่งนั้นเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ “ต๊ะ” ถูกแบนงานถึง 2 ปีเต็ม จนเจ้าตัวทุกข์ถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย
“คือตอนนั้นถูกแบนไปเลย 2 ปีเต็มๆ ไม่มีงานเลยจะมีบ้างก็คอนเสิร์ตเล็กๆ น้อยๆ ตอนนั้นมันก็ต้องเครียดแน่นอนอยู่แล้วเป็นธรรมชาติเพราะเราเคยทำงานอยู่ทุกวัน แต่ยังไงซะเราก็ต้องหาทางออก”
“ซึ่งจริงๆ แล้วบอกเลยว่ากว่าจะผ่านช่วงเวลาตรงนั้นมาได้ทุกข์มาก ด้วยความที่เราเป็นเด็กก็ยังไม่มีความคิดอะไรมากมาย จะมารับอะไรหนักๆ ได้ถึงขนาดนั้นค่อนข้างที่จะลำบากเพราะก่อนที่จะมาเจอเรื่องราวนี้แม่ผมก็เพิ่งจะมาเสียชีวิตไป ลำพังแต่เรื่องนี้มันก็ค่อนข้างที่จะหนักมากแล้วสำหรับเด็กผู้ชายคนหนึ่งยังต้องมาเจอเรื่องราวตรงนั้นอีก มันก็มีบางช่วงที่เรารู้สึกไม่ไหวกับตรงนั้น”
“ตอนนั้นยอมรับว่าเคยมีบางวูบนะที่คิดอยากจะหายไปจากโลกนี้ แต่ก็มาคิดได้ช่วงแว๊บหนึ่งที่คิดถึงเนื้อเพลงของพี่โป่ง หิน เหล็ก ไฟเข้ามาในหัวเราท่อนเพลงนั้นมันร้องว่า ตายมันง่ายถ้าแน่จงอยู่สู้ให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือก่อนที่เราจะตัดสินใจเราก็มีเวลาไตร่ตรอง ก็หันมองย้อนดูที่ตัวเองอะไรหลายๆ อย่าง ตอนที่แม่ผมตายผมก็ได้เห็นความโศกเศร้าของครอบครัว เราก็กลับมาคิดว่าถ้าเราหายไปจริงๆ มันจะไปสร้างเหตุการณ์ซ้ำเดิมนั้นให้กับคนในครอบครัวอีกไหม หลังจากนั้นที่คิดได้ก็เลยไม่ทำ”
“ซึ่งตอนนั้นผมก็หันไปเล่นกีฬาฟุตบอล เราก็เล่นทุกวันเลยแล้วก็ให้เวลากับการอ่านหนังสือค่อนข้างที่เน้นในเรื่องของปรัชญาชีวิตอะไรต่างๆ หลายๆ อย่าง เลยทำให้ผ่านมันเวลาที่ลำบากมาได้”
“คือก่อนหน้านั้นผมไม่เคยเข้าใจคำว่า ความรู้คู่การอ่านมาก่อน จนมาถึงวันที่มาเกิดเรื่องต่างๆ นานาขึ้นกับเรา หลังจากที่เรากลายมาเป็นคนว่างงาน ว่างๆ ก็เริ่มอ่านหนังสือหลังจากที่มาเข้าใจคำนี้แล้ว วันเวลาที่ว่างๆ หรือที่คิดฟุ้งซ่านก็จะใช้หมดไปกับการอ่านหนังสือ แล้วก็ยังมีเพื่อนบางกลุ่มที่ไม่ทิ้งกันอย่างวันที่เกิดเรื่องก็มีเพื่อนอย่างเต๋า สมชาย , ลิฟท์-ออย และนุกสุทธิดาที่คอยให้ความช่วยเหลือและก็ให้กำลังใจเราดูแลกันมาโดยตลอด”
หลังจากพิสูจน์ความบริสุทธิ์อยู่กว่า 2 ปีครึ่ง เขาก็ได้มีโอกาสหวนคืนวงการอีกครั้ง แต่ทว่าทุกอย่างก็ไม่ได้สวยหรูโรยไปด้วยกลับกุหลาบอีกแล้ว ซึ่ง “ต๊ะ” เองก็ทำใจยอมรับกับมัน แม้จะมีโอกาสเข้ามาให้เลือกไม่มาก แต่เขาเลือกที่จะรักษามาตรฐานของตัวเองมากกว่าที่จะเลือกเงิน
“คือหลังจากที่สู้คดีแล้วก่อนหน้านั้นทางต้นสังกัดเขาก็ได้ตัดเราออกจากสังกัดแล้ว ซึ่งผมก็สู้คดีไปจนชนะเคลียร์ตัวเองเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าไปคุยกับทางต้นสังกัดเก่าแต่ทางเขาไม่มีนโยบายที่จะทำอะไรกับเราต่อ เราก็เลยต้องหาที่ใหม่เพราะเราเองก็ยังอยากจะทำงานตรงนี้อยู่ ซึ่งทางแกรมมี่เองก็ให้โอกาส ตรงนั้นผมเองก็ยอมรับนะว่ากระแสเราก็คงจะไม่ดีเหมือนเดิมแล้ว เพราะตอนนั้นภาพพจน์เราค่อนข้างที่จะเสียไปเยอะ แล้วก็ด้วยวัยของเราด้วยประกอบกันหลาย ตอนนั้นก็หันมาเล่นละครเรื่องรวมพลคนใช้ ภาพยนตร์เรื่องผีหัวขาด สนิมสร้อย แล้วก็มีโอกาสได้ออกอัลบั้มกับทางแกรมมี่ แล้วก็มีละครอีกเรื่องคือเกิดแต่ตม”
“คืออย่างหนึ่งมันก็ต้องยอมรับว่าเราโตมากับต้นสังกัดเก่าตั้งแต่เด็ก เวลาทำงานเราก็ทำงานดิวกับในเครือของบริษัทเราไม่เคยไปเล่นละครกับบริษัทอื่นเราก็ไม่มีดิวกับบริษัทอื่นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เราอาจจะรู้จักเขาจริงแต่เราก็ไม่ใช่เด็กในคาถาเขาซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ละครมันก็เด็กใครเด็กมันอยู่แล้ว”
“จริงๆ ผมเองตอนนี้ก็ยังไม่ได้หายหน้าออกจากวงการไปไหนนะ มันก็มีงานหลายชิ้นหลายส่วนติดต่อเข้ามา แต่บอกตรงๆ ว่าที่ผ่านมาผลงานของผมค่อนข้างเยอะ แล้วแต่ละชิ้นมีคุณภาพเพราะฉะนั้นการที่ผมจะเลือกรับงานสักอย่างมันก็ต้องพอใจจริงๆ ถึงจะทำ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีโอกาสเลือกหรือว่าเลือกมากอะไรเลยนะ มันก็พอมีละครเข้ามาบ้างแต่ถ้าตัวมันไม่มีบทบาทอะไรมาก มันก็ลำบากที่จะตัดสินใจ คือผมว่ายังไงเราก็ต้องเลือก ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ คือมันยังไม่มีอะไรที่ถูกใจ ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกมากนะ แต่ด้วยความที่เราเป็นศิลปินมันก็ต้องทำงานในสิ่งที่เราคิดว่าเรารัก เราพอใจ ถ้าไม่รู้สึกอย่างนั้นเราก็ไม่อยากทำ”
“ผมยอมรับเลยว่าจากเหตุการณ์นั้นทำให้ผมเสียโอกาสที่ดีไปหลายๆ อย่าง มันเหมือนกับว่าผมไปตัดโอกาสตัวเอง เหมือนกับว่าผมทำลายโอกาสที่มันมีอยู่ในมือคือเราทิ้งทุกอย่างไปด้วยมือของเราเอง”
หลังจากผ่านช่วงชีวิตที่เลวร้ายผ่านไป “ต๊ะ” เลือกที่จะอยู่อย่างสมถะด้วยการรับเล่นคอนเสิร์ตตามต่างจังหวัดและทำธุรกิจค้าขาย แม้จะเป็นสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้แต่เขาเลือกที่จะปรับตัวอยู่กับมัน ซึ่งเขาเองก็ยังไม่หยุดไขว่คว้าหาโอกาส ล่าสุดกำลังรวมกลุ่มเพื่อนศิลปินอาร์เอสเก่าสมัยรุ่นเดียวกันตั้งกลุ่มเปิดบริษัททำอัลบั้มเป็นของตัวเอง
“ที่ผ่านมาผมเองก็มีไปออกคอนเสิร์ตอยู่เรื่อยๆ ต่างจังหวัดบ้าง กรุงเทพฯบ้าง ตามผับบ้าง แต่ส่วนมากจะไปต่างจังหวัดซะเยอะ ก็พออยู่ได้ คนก็ยังพอจะมีจำกันได้ แต่ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ เขาก็อาจจะยังงงๆ อยู่ ก็ยังมีแฟนๆมาให้กำลังใจแต่ก็อาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อน”
“นอกจากงานทัวร์คอนเสิร์ตแล้วผมเองก็ทำธุรกิจขายเสื้อผ้าผู้หญิงวัยรุ่นเล็กๆ น้อยๆ ที่เมเจอร์รัชโยธิน ถามว่าอยู่ได้ไหมมันให้ต้องปรับตัวให้ได้ วัฒนธรรมวงการบันเทิงบ้านเรามันเป็นแบบนี้ก็ต้องทำใจ”
“ผมเองก็เพิ่งหมดสัญญากับทางแกรมมี่ไปเมื่อไม่นานนี่เอง ก็ไม่ได้ต่อทุกวันนี้ผมมองว่าการที่จะเป็นศิลปินออกอัลบั้มค่ายเพลงไม่ใช่คำตอบ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับฝีมือของเรา ทุกวันนี้แนวทางต่างๆ ของธุรกิจเพลงมันไม่ใช่อย่างเดิมแล้ว”
“แต่ใช่ว่าผมจะทิ้งมันนะ ตอนนี้กำลังเตรียมทำอัลบั้มใหม่ กำลังจะวางแผงแล้ว เป็นงานที่เราทำกันเอง ผลิตเอง จำหน่ายเองก็ตั้งบริษัทกับเพื่อนๆ กลุ่มที่เคยอยู่สังกัดเก่าด้วยกันสมัยยุคอาร์เอสที่เคยประสบความสำเร็จด้วยกันอย่างเช่น เป้ ไฮร็อค นุก สุทธิดา บอยสเก๊าท์ พิสุทธ์ ทรัพย์วิจิตร ตอนแรกจะมีเต๋า สมชายด้วยแต่ว่าเขาติดภารกิจส่วนตัวก็เลยไม่พร้อมคาดว่าประมาณอีก2-3เดือนก็จะปล่อยเพลงแล้ว”
“แน่นอนทุกวันนี้ศิลปินมันไม่ได้มีแค่หลักสิบหลักร้อย มันมีเยอะมากนะ มันแข่งขันกันสูง เราเองก็เข้าใจตรงนี้ว่ามันคงจะไม่เหมือนกัน เพราะวันนี้ตัวเลือกมันเยอะ”
“ทุกวันนี้วงการบันเทิงสื่อมีอิทธิพลค่อนข้างเยอะแล้วก็ชัดเจน อีกอย่างผมคิดว่าวงการบันเทิงมันเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดแล้ว ไม่ว่าตอนนี้สภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอะไรยังไงแต่ยังไงซะวงการบันเทิงก็ยังเป็นวงการที่ทำรายได้ให้อยู่ดี เป็นมันกลายเป็นสิ่งที่คนขาดไม่ได้ไปแล้ว”
“อย่างดารานักแสดงศิลปินสมัยนี้เองก็ต้องแข่งขันกันค่อนข้างสูง ทุกวันนี้จะมีชื่อเสียงกันขึ้นมาสักคนนี่ โอโห้ตัวแข่งเยอะนะครับ ซึ่งผมเองก็มองว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ที่เสพสื่อ มันไม่เหมือนสมัยผมเลย สมัยก่อนวงการบันเทิงจะเป็นอะไรที่ไม่เปิดขนาดนี้ คนที่เป็นลูกไฮซงไฮโซ เขาว่าสมัยก่อนอาชีพแบบนี้เขาดูถูกว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน ไม่ค่อยมีใครอยากจะให้ลูกให้หลานเข้ามาทำสักเท่าไหร่ แต่มาทุกวันนี้มันไม่ใช่ ทุกวันนี้มีแต่ไฮโซทั้งนั้นในวงการบันเทิง อย่างเอาลูกเข้ามาเป็นลูกไม่ชอบแม่เป็นเองซะเลยก็ยังมี”
“คือทุกวันนี้วงการบันเทิงเป็นอะไรที่คนให้การยอมรับค่อนข้างมากเพราะว่ามันไม่ใช่การที่มาเต้นกินรำกินอย่างสมัยก่อนที่ทุกคนชอบดูถูกกันแล้ว อีกอย่างเรื่องของผลประโยชน์ที่ได้รับเองมันก็ไม่ธรรมดาด้วย แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จกับอาชีพนี้วงการนี้นะ คือคนได้มากก็ได้มากจริงๆ แต่คนที่ได้นิดๆ หน่อยๆ ก็มีอยู่เยอะมาก ผมมองว่าการที่ได้เข้ามาในวงการนี้ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้กับตัวเรา”
“ผมไม่หันหลังหรอกครับจะไปหันหลังทำไม เราทำงานอาชีพนี้มาเกินครึ่งกว่าชีวิตเราอีก เราอยู่กับตรงนี้มาตั้งแต่อายุ 15-16ปี ผมไม่เคยปฎิเสธงานในวงการนี้เลยเพราะว่าเรารักแล้วเราก็มีความสุขมากๆ กับการที่เราได้ทำมันเพียงแต่ว่าเราก็ต้องดูว่าอะไรที่มันใช่หรือว่าไม่ใช่”
“แล้วการที่จะอยู่ในวงการนี้ให้ได้นานหรือแม้แต่กระทั้งในสังคมทุกวันนี้ อย่างแรกเลยเราควรมีวินัยกับตัวเอง อย่างเรื่องของการตรงต่อเวลามันก็สามารถบ่งบอกได้แล้วว่าคุณมีคุณค่ามากแค่ไหนในตัวเอง สำหรับผมแล้วถ้าต้องการโอกาสมันก็ต้องออกไปหาโอกาส ไม่มีโอกาสมาเคาะประตูถึงหน้าบ้านเรา เราต้องไปหาโอกาส เมื่อไหร่ที่เรามีโอกาสอยู่ในมือก็ขอให้รักษาตรงนั้นเอาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”