เปิดความคิด “แนน ปรางวลัย เทพสาธร” อดีตสาวใสของวงการเมื่อ 20 ปีก่อน ที่ต้องผิดหวังไม่ได้เป็นนางเอกเพราะไม่มีดั้ง ผลักดันให้เธอโมดิฟายตัวเอง กระโดดขึ้นเขียงให้หมองัดดั้ง เสริมหน้าอก กลายเป็นสาว “เซ็กซ์บอมม์” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความใจกล้าบ้าบิ่น อะไรที่เธอทำมักต้องเป็น “คนแรก” เสมอ เธอบุกเบิกถ่ายทูพีชก่อนใคร เป็นดาราคนแรกที่กล้าประกาศว่า ฉันสวยด้วยศัลยกรรม และเป็นนางเอกหนังคนเดียวในยุคนั้น ที่โกนหัวเล่นหนังอีโรติค!
แต่ทว่า “อีโล้นซ่าส์” ก็เป็นผลงานเบื้องหน้าชิ้นสุดท้ายของเธอเช่นกัน เพราะถูกคลื่นลูกใหม่ซัดจนตกขอบจอ ต้องหันไปทำเบื้องหลังแทน แต่จนแล้วจนรอดก็แป้กไม่เป็นท่า ต้องระเห็จตัวเองไปตั้งต้นชีวิตใหม่ไกลถึงอเมริการ่วม 2 ปี แต่สุดท้ายก็ต้องหวนกลับเมืองไทยอีกครั้ง หวังเริ่มต้นใหม่
ทว่าคราวนี้ไม่ได้กลับมามือเปล่า ช่วงเวลาที่ได้สัมผัสกับคำว่าสูงสุด-ต่ำสุด ทำให้เธอค้นพบสัจธรรมของชีวิต ถึงกับกลับมาศึกษาธรรมะดับทุกข์ เอาจริงเอาจังถึงขั้นทำรายการที่สอดแทรกธรรมะ ที่สำคัญเธอมักจะหาเวลาว่างไปบวชชีพราหมณ์ และนั่งคุยกับเปรตที่วัด!!
“วันวาน วันนี้” จึงนัดพูดคุยกับเธอแบบเปิดหมดเปลือก ถึงเรื่องราวของสาวเซ็กซ์บอมม์ ที่นุ่งน้อยห่มน้อยมาครึ่งค่อนชีวิต แต่วันนี้กลับมานุ่งขาวห่มขาว เบนเข็มเข้าสู่เส้นทางธรรมได้อย่างไร ...บรรทัดถัดจากนี้ไปคือคำตอบทั้งหมด
"การที่ได้เข้ามาในวงการมันก็ไม่ใช่ความใฝ่ฝัน เพราะตอนเด็กไม่มีความคิดที่จะเข้ามาในวงการนี้เลยเบื่อมาก ไม่ชอบเลย คือที่บ้านแนนเขาทำหนังสือแฟชั่นรีวิว ลุงแนนคือลุงเล็ก วงศ์สว่าง เขาก็จะเรียกแนนเข้าไปถ่าย ตอนนั้นเราก็จะไม่อยากถ่ายไม่ชอบเลย เข้ามาตอนแรกจากการถ่ายโฆษณา ถ่ายอยู่เยอะมาก ตอนนั้นแนนอายุ14 ทางไฟว์สตาร์เขาเห็นแนนจากโฆษณาโอเล่ เขาก็ชวนแนนมาแคสหนังเรื่อง อนึ่งคิดถึงพอสังเขป ก็ราวๆ14 ปีได้แล้ว"
"ตอนนั้นบทก็จะเป็นนักเรียนใสๆ ประมาณเด็กเรียนเลย หน้าตาเนิร์สๆ ตอนนั้นก็เล่นพร้อมกับแคทรียา อิงลิช ซึ่งแคทเองก็มาจากการถ่ายโฆษณาเหมือนกัน แนนกับแคทเข้าวงการมาพร้อมกันเลย แต่แคทจะแก่กว่านิดหน่อย เพราะตอนนั้นหนังอนึ่งฯดังมาก เรียกว่าเป็นเรื่องแจ้งเกิดของแนนเลยก็ว่าได้ เป็นกลุ่มนิวคิดส์ของไฟว์สตาร์ ทุกคนจะแจ้งกันกันด้วยเรื่องนี้"
"พอหลังจากเรื่องนี้ก็จะมีหนังเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เช่น สมศรี422R คือช่วงนั้นหนังวัยรุ่นก็จะไม่ค่อยมีแนวเหมือนเรื่องอนึ่งฯเท่าไหร่ ก็เปรี้ยงดังเลยช่วงนั้น หลังจากนั้นก็มีโฆษณาเข้ามามากขึ้น มีหนังเข้ามามากขึ้นรวมๆแล้วเกือบ 10 เรื่องก็เล่นกับไฟว์สตาร์หมดเลย จริงๆ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เซ็นสัญญาอยู่ในสังกัดไฟว์สตาร์หรอกนะแต่เขาก็จะดูคิวทุกอย่างให้เรา ก็เหมือนเป็นเด็กไฟว์สตาร์ แต่ว่าไม่ได้เซ็นสัญญา”
"หลังจากนั้นก็ได้มาเล่นละคร เข้ามาเล่นเพราะอาจิ๋ม(มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช)ดึงมา เรื่องแรกก็เรื่อง สี่แยกนี้อายุน้อย เล่นกับ หนุ่ม ศรราม เทพิทักษ์ ซึ่งเขาก็เล่นละครเรื่องนี้เรื่องแรกเหมือนกัน เรื่องนั้นนางเอกคือ บุญพิทักษ์ จิตรกระจ่าง จริงๆ ตอนนั้นเขาติดต่อให้ไปเป็นนางเอก แต่คือตอนนั้นแนนไม่มีดั้ง ถ้าทำตั้งแต่ตอนนั้นแนนก็คงได้เป็นนางเอกไปตั้งนานแล้ว โปร์ไฟล์ด้านข้างไม่ผ่าน เขาก็ให้แนนเป็นแค่เพื่อนนางเอก เพราะไม่มีดั้งนี่แหละ"
"แล้วตอนนั้นนางเอกส่วนใหญ่เขาก็จะทำดั้งกัน เพื่อให้ดูสวยงาม แล้วแนนเป็นคนขี้กลัวไง แม่แนนบอกให้ไปทำจมูก แนนก็ไม่ทำ คือมั่นใจ คิดว่ายังไงเราสามารถอยู่ได้แบบสวยธรรมชาติ พอมาที่ช่อง7 คุณแดงติดต่อเรียกมาดูตัว ก็ไม่ผ่านอีกเหมือนกัน เพราะว่าไม่มีดั้ง คือคุณแดงถึงขั้นอึ้ง พอหันด้านข้างไม่รู้จะปั้นยังไง (หัวเราะ)"
“จู่ๆ ไม่รู้อาร์เอสเขาเห็นแววอะไร จับแนนมาเล่นบทร้ายในเรื่องมัจจุราชสีน้ำผึ้ง อันนี้เป็นเรื่องแรกที่แนนมารับเล่นร้ายคู่กับยุ้ย ปัทมวรรณ ตอนนั้นบทก็จะประมาณเอาแต่ใจ หน้าร้ายมากเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็มาเล่นดวงผู้ดี แต่ที่ร้ายๆ แบบสุดๆ แล้วคนจำได้ก็จะเป็นเรื่องมงกุฎดอกส้ม เรื่องนี้เป็นบทร้ายที่ปรี๊ดปราดมาก สุดๆ แล้วสำหรับแนน ทีนี้ก็เริ่มได้แต่บทร้ายๆ ตลอด เขาคงเห็นว่าคาแรกเตอร์แนน ถ้าไม่พูดหน้าแนนจะเหมือนคนจิกๆ ขี้วีน แต่ตัวจริงไม่ใช่”
เพราะไม่มีดั้งทำให้อดเป็นนางเอก งานนี้เธอก็เลยตัดสินใจให้หมองั้นดั้งจนโด่ง พร้อมกับเสริมหน้าอกจากไข่ดาวเป็นภูเขามหึมา โมดิฟายตัวเองกลายเป็นสาวเซ็กซ์บอมม์ในยุคนั้น
“ตอนนั้นผู้ใหญ่หลายๆ ท่านก็แนะนำให้เราไปทำศัลยกรรมแต่แนนไม่ทำ แนนดื้อมาก แนนกลัว ตอนนั้นจำได้ว่าสิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิตก็คือการศัลยกรรมต้องทำจมูกนี้แหละ แต่มันกลายเป็นว่ามันไม่ทำให้เราก้าวไปถึงจุดๆ หนึ่งทำให้เราไม่ได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งเพราะเราสวยไม่เพอร์เฟ็กต์พอ ตอนนั้นนางเอกจะต้องจมูกโด่ง ตาคม หน้าตาลูกครึ่งๆ นิดนึง คือจะบอกว่าตอนเด็กๆ หน้าตามาเป็นอันดับ2 แต่ความสามารถมาเป็นอันดับ1 ซึ่งจริงๆ แล้วความสามารถสามารถพัฒนาได้ตามที่ผู้กำกับต้องการ”
“มาเทียบกับ ณ ตอนนี้ความสามารถเราก็เป็นอันดับหนึ่งส่วนเรื่องหน้าตาด้วยวิทยาการทางการแพทย์ก็สามารถทำให้เราสวยได้เป็นอันดับ1ก็ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นก็รู้สึกเสียดายโอกาสที่เราไม่คิดทำศัลยกรรมตั้งแต่แรก ตอนนั้นก็เลยได้บทเป็นแค่เพื่อนนางเอก เราก็ไม่ได้ซีเรียสเราก็เล่นบทใสๆ ของเราไป คือการที่ได้เข้ามาในวงการมันก็ไม่ใช่ความใฝ่ฝันแล้ว เราก็แค่คิดจะหาค่าขนมเล่นๆ ปิดเทอม"
“หลังจากที่เล่นละครแนนก็กลับไปเรียนที่เมืองนอกก็จะไปๆ มาๆ พอเรียนจบเราก็กลับมาทำงานที่นี่เต็มตัว ตอนนั้นแหละที่เราเริ่มถ่ายแฟชั่นหวือหวา คือหัวเราก็จะมีความรู้สึกว่าอยู่ต่างประเทศเราใส่ชุดว่ายน้ำเราก็จะใส่บิกินี่ทุกคน คือแนนเป็นคนไม่มีนมเลยจริงๆ แบบตะปูตอกข้างฝากเราเลยไม่ได้รู้สึกจะอายเพราะว่าเราไม่มีอะไร ก็ไปถ่ายอัลบั้มชื่อหนังสือแม๊กซ์สเปเชี่ยว ก็ไม่ได้โป๊ไปซะหมดมันก็ออกแนวใสๆ ไม่แรง ทุกคนชอบ คือมันไม่ได้ออกแนวอนาจารแต่มันจะดูแรงตรงที่อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาถ่ายแบบนี้ พออัลบั้มนั้นออกวางขายก็เกิด คนก็จะจำลุกส์ใหม่ จากคนเคยมองเป็นนางร้ายก็กลายเป็นเซ็กซี่ แต่ตอนนั้นคือแนนก็ยังไม่มีนมนะ”
“คือแนนเหมือนเป็นแกนนำ จากนั้นคนก็เริ่มมาถ่ายแฟชั่นชุดว่ายน้ำกันเยอะ พอคนถ่ายกันเยอะมีคนมาติดต่อแนนก็ไม่เอาแล้ว ไม่ชอบทำอะไรที่คนทำกันเยอะๆ ทุกวันนี้ดูยังมีความภูมิใจอยู่เลย คืออะไรที่แนนคิดจะทำคือถ้าทำแล้วต้องฮือฮาทุกอย่าง ให้ไปทำซ้ำๆ กับคนอื่นแนนไม่อยาก คือสำหรับแนนอะไรที่แนนคิดจะทำคือถ้าทำแล้วต้องฮือฮาทุกอย่าง ให้ไปทำซ้ำๆ กับคนอื่นแนนไม่อยาก ถามว่าต้องการที่จะให้ออกมาดังมากไหมแต่ไม่ได้ขนาดนั้น แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์มากกว่า”
“แนนเริ่มมาทำศัลยกรรมจริงๆ ตอนอายุ 27 มีความรู้สึกว่าสิ่งที่แม่เตือนเราน่าจะทำไปตั้งนานแล้ว คือเรื่องของเรื่องตัวแนนก็เริ่มสงสัยว่าจริงๆ โตแล้วทำไมหน้าอกยังไม่มีสักที สิ่งที่ทำอย่างแรกเลยคือจมูก มีความรู้สึกว่าสิ่งที่แม่เตือนเราน่าจะทำไปตั้งนานแล้ว ตอนหลังเลยมีความรู้สึกว่าเราควรต้องทำเพราะช่วงนั้นเราก็พยายามใช้วิธีธรรมชาติโดยการบีบมันก็ไม่ช่วย เราก็เลยเริ่มศึกษาว่าที่ไหนเขามีไรดี เราก็ไปมาหมดทุกที่เลย จนตอนหลังเราก็เลยตัดสินใจทำที่โรงพยาบาลบางมด แล้วก็เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เขา คือเขาพูดให้แล้วสบายใจเพราะแนนเป็นคนขี้กลัวมาก จนแนนตัดสินใจที่จะทำได้ ตอนทำกลัวมากร้องไห้ สุดๆ แต่ผลที่ออกมาทำแล้วสวยเพอร์เฟ็กต์”
“คือเป็นดาราไม่ว่าจะทั้งเมืองไทยหรือว่าฮอลลีวู้ด เขาจะต้องมีการอัพความสวยตลอดเวลาเพื่อให้ประชาชนได้เห็นหน้าเราในแบบที่เพอร์เฟ็คต์ ดาราหน้าต้องดูดีเพอร์เฟ็กต์ทุกโปรไฟล์ ถ้าเรายังฝืนสังขารว่าฉันธรรมชาติ แล้วจริงๆ มันไม่ใช่ พอทำเสร็จตอนนั้นก็เริ่มมีงานเกี่ยวกับชุดว่ายน้ำ แนนก็เลยมีความรู้สึกว่าถ้าหน้าอกมันไม่โตขึ้นแล้ว เราก็ควรจะต้องปรึกษาแพทย์แล้วล่ะ หลังจากที่ทำจมูกมาปีหนึ่งแนนก็มาทำหน้าอกก็เป็นอะไรที่พลิกวงการอีก คนก็มาสนใจเรื่องที่แนนทำหน้าอก ทุกคนก็แห่กันมาทำมากมาย ตอนนั้นยอมรับเลยว่าทำแล้วงานก็เข้ามาเยอะมาก”
“คือถ้าคนที่ติดตามแนนจริงๆ จะรู้ว่าแนนใส่ชุดว่ายน้ำ ถ่ายแฟชั่นบ่อยแล้วก็จะไม่มีหน้าอก แต่ถ้าอยู่ดีๆแนนมีหน้าอกขึ้นมาแล้วบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติมันไม่ได้ไง มันไม่ซื่อสัตย์กับวงการนี้เลย ทำไมต้องมาโกหกกันด้วย ทำก็คือทำ จริงๆ แล้วการทำศัลยกรรมมันก็เป็นจุดเปลี่ยนทางเลือกของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เป็นวิทยาทานให้ผู้หญิงอีกหลายคนที่อยากจะมีหน้าอก สมัยก่อนแนนจะไม่ค่อยมีความเชื่อในเรื่องพวกนี้ หนึ่งเลยคือกลัวแบบว่าหลังจากทำจะเป็นมะเร็งไหม แต่ปรากฏว่าทำให้ชีวิตเราดีขึ้นนะ หลายๆ อย่าง”
ด้วยความที่ชอบทำอะไรที่ไม่ซ้ำซากจำเจ ชอบทำอะไรที่ฮือฮา เธอก็เลยตัดสินใจโกนหัวเล่นหนังอีโรติคเรื่อง “อีโล้นซ่าส์” ผลคือถูกคนในสังคมมองว่าเป็นสาวแร๊ง แรง ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็น “แนน ปรางวลัย” โดยสิ้นเชิง เธอบอกอย่างนั้น
"ตอนนั้นแนนเพิ่งจะเรียนจบปริญญาโทที่จุฬาฯ ก็มีคนติดต่อมาให้เล่นหนังแล้วต้องโกนผม สำหรับแนนคือคำว่า อีโล้นซ่าส์ มันเก๋นะ มันไม่ค่อยมีใครกล้าเล่นหรอกแนนรู้ เพราะว่ามันต้องโกนหัว คือตอนนั้นที่แนนรับเล่นเพราะแนนคิดว่า แนนเป็นคนที่ผมขึ้นเร็วอยู่แล้วไง แล้วด้วยบทมันฮาร์ดคอกระแทกดี แล้วตัวบทจริงๆ มันก็ไม่ได้มีตรงไหนเสียหายเป็นบทสะท้อนสังคมเสียด้วยซ้ำ"
"แล้ววันนั้นหลังจากที่โกนหัวใหม่ๆ แนนก็ไปงานประกาศรางวัลแล้วก็มีคนมาสัมภาษณ์จำได้ว่าตอนนั้นขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับด้วยการโกนหัวทุกคนตกใจคิกว่าอีนี่เป็นอะไรรึเปล่าเราก็เลยได้ฉายานี้ไปโดยปริยาย หลังจากอีโล้นซ่าส์ภาค2 แนนก็คิดที่จะทำเองบ้าง เรื่องไม่โล้นก็ซ่าได้ ตอนนั้นแนนเป็นทุกอย่างทั้งผู้กำกับ ผู้จัด เขียนบท”
“ในความคิดของแนนมันไม่ได้ออกแนวอนาจารแต่มันจะดูแรงตรงที่อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาถ่ายแบบนี้ อะไรที่แนนทำมักจะดังอย่างเรื่องหนังอีโรติค อีโล้นซ่าส์ แนนก็ไม่เข้าใจว่ามันอีโรติคตรงไหน เขาเรียกกันขึ้นมาเอง เพราะว่าตัวแนนทำงานแนนจะรู้ แล้วในฉากไม่มีที่บ่งบอกว่ากอดจูบฟัดกันนัวเนียไม่มีเลย เพราะว่าแนนมีข้อจำกัดตรงนี้มาก คือถ้าเข้าเซฟให้แนนไม่ได้คุณก็เอาเงินคืนไป แนนไม่เล่น”
“คือการเป็นนักแสดงมันก็คือการขายวิญญาณ แล้วเวลาที่เราแสดงมันจะไม่ใช่ตัวเรา แต่เวลาชีวิตจริงเราก็ยังอยู่ในกรอบของเราอยู่ อย่างเวลาไปทำงานทุกที่คุณแม่ก็จะไปด้วยตลอดเขาก็เข้าใจ แนนว่าการทำงานตรงนี้มันเหมือนการทำงานแลกเหงื่อ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย คือวงการมายามันก็คือมายา แต่ในโลกแห่งความจริงเราก็ยังเป็นลูกที่ดีของเขา ไม่ไปเบียดเบียนใคร เราเคารพกตัญญูรู้คุณ ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลก”
“แต่ถ้าคนจะมองอีกมุมหนึ่งแนนก็ไม่ไปโกรธ เพราะว่าโดยภาพเวลาเล่นหนัง ถ้าแนนเล่นเป็นนางเอกคนก็คงจะมองแนนเป็นนางเอก ชีวิตจริงแนนเป็นคนที่สมถะธรรมดามาก มีงานเราก็ไปทำงาน ไม่ใช่ว่าพอโกนหัวแล้วจะต้องฮาร์ดคอไปเที่ยวผับกินเหล้าสูบบุหรี่แนนไม่มีตรงนั้นเลยนะ มันไม่ใช่สำหรับแนน คือจริงๆ ดาราทุกคนที่รับเล่นบทนี้ตัวจริงเขาก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป”
ยอมรับสภาพเมื่อมีคลื่นลูกใหม่เข้ามา โดยผันตัวเองไปเป็นคนเบื้องหลัง และไปค้นหาตัวเองไกลถึงอเมริกา
“จริงๆ แล้วที่แนนหายไปคือหนึ่งคือแนนเป็นคนที่ทำอะไรแนนจะไม่ฝืนตัวเอง ไม่ยัดเยียดตัวเองมากเกินไป คือถ้าช่วงนี้มันเป็นเวลาของคนอื่นเราก็ต้องให้คนอื่นเขา ช่วงนี้มันไม่ใช่เวลาของเรา คนลุกส์แบบนี้ หน้าตาแบบนี้อาจจะเกิดกว่า วงการนี้มันก็เหมือนกับการจุติดาวดวงใหม่ เราก็ต้องให้เขาเกิดบ้างนะ จะให้เขาดูเราตลอดเวลา มีแต่รูปเราตลอดเวลาเหมือนยัดเยียดคนดู มันก็คงต้องแบ่งให้คนอื่นเขาบ้าง เขาเล็งเห็นคนนี้มากกว่าเราก็ต้องเปิดทางให้เขา ก็เหมือนกับแชร์ๆ กันไปเพราะว่าวงการนี้เรารักมาก เราไม่ไปไหนจริงๆ แต่ว่าถ้าเราไม่มีงานตรงนี้เราก็ต้องอยู่ให้ได้ ช่วงนั้นแนนก็เลยผันตัวเองไปทำเบื้องหลัง คือทำบริษัทอีเว้นต์ไปทำอะไรที่ตัวเองเรียนมาบ้าง”
“ทุกงานมันต้องมีอะไรที่มันปลดเกษียรขนาดราชการยังมีช่วงเวลาปลดเกษียรเลย งานทุกงานเราจะต้องบิดตามสถานการณ์ให้ได้ ถ้าเราฝืนปุ๊บเราก็จะอยู่ไม่ได้ เราจะเฮิร์ท ฉะนั้นเราก็ต้องหยุดพักให้คนอื่นเขาได้เซ็กซี่บ้าง คือแนนเป็นคนที่ทำอะไรแนนจะไม่ฝืนตัวเอง ไม่ยัดเยียดตัวเองมากเกินไป คือถ้าช่วงนี้มันเป็นเวลาของคนอื่นเราก็ต้องให้คนอื่นเขา ช่วงนี้มันไม่ใช่เวลาของเรา คนลุกส์แบบนี้ หน้าตาแบบนี้อาจจะเกิดกว่า”
“วงการนี้มันก็เหมือนกับการจุติดาวดวงใหม่ เราก็ต้องให้เขาเกิดบ้างนะ จะให้เขาดูเราตลอดเวลา มีแต่รูปเราตลอดเวลาเหมือนยัดเยียดคนดู มันก็คงต้องแบ่งให้คนอื่นเขาบ้าง เขาเล็งเห็นคนนี้มากกว่าเราก็ต้องเปิดทางให้เขา ก็เหมือนกับแชร์ๆ กันไป วงการนี้เรารักมาก เราไม่ไปไหนจริงๆ แต่ว่าถ้าเราไม่มีงานตรงนี้เราก็ต้องอยู่ให้ได้ ช่วงนั้นแนนก็เลยผันตัวเองไปทำเบื้องหลัง คือทำบริษัทอีเว้นต์ไปทำอะไรที่ตัวเองเรียนมาบ้าง”
“เหมือนช่วงที่เราพักเราก็ไปทำอะไรอย่างอื่นที่มันเป็นประโยชน์ ที่มันได้บริหารสมองตัวเองได้ไปเจอได้ไปพบปะผู้คนอื่นๆ บ้าง ในแนวทางอื่น ในงานอื่นๆ พอดีเกิดเหตุการณ์บางอย่างช่วงนั้นในการเมืองไงเศรษฐกิจมันก็ไม่ค่อยจะดี ทุกอย่างมันก็นิ่งไปหมดเลย แต่ เรายังต้องกินข้าวต้องใช้ปัจจัย มันก็เลยเป็นจุดที่แนนเป็นไปหาอะไรทำที่เมืองนอก เราก็บินไปอยู่ที่อเมริกา พอจะมีลู่ทางอะไรที่มันเหมาะกับเราไหม จริงๆ มันก็เหมือนกับไปค้นหาตัวเองด้วย”
“ไปอยู่ที่นู่นได้ 2 ปีไม่ไหว คิดถึงคุณแม่ คิดถึงวงการ คิดถึงชีวิตที่เป็นของเราที่ไม่ใช่ไประหกระเหินอยู่ไกลๆ คือตอนแรกเรานึกว่าจะใช้แต่ก็ไม่ใช่ ยังไงเมืองไทยดีที่สุด แนนรู้สึกว่าที่นั้นมันโหดร้ายเกินไปสำหรับชีวิตของแนน แนนก็เลยไม่เอาแล้วกลับดีกว่า กลับมาเราก็เที่ยวตระเวนโทรหาทุกคนเข้าไปกราบสวัสดีพวกพี่ที่เคยรู้จักเพราะอยากกลับมาทำงานในวงการ ตอนนี้ก็มีเรื่องกระสือฟัดปอบอย่างเรื่องนี้แนนก็เล่นเป็นผี ซึ่งก็ไม่ได้มีความเซ็กซี่อะไรเลย แต่แนนก็ยังมีธุรกิจที่นั้นแนนลงหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านสปาก็ใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารกัน”
หลังจากได้อยู่กับตัวเอง บวกกับการไม่มีแฟนจึงเกิดอาการฟุ้งซ่านทำให้เธอพยายามค้นหาวิธีดับทุกข์ด้วยการเดินเข้าสู่ธรรมะ ซึ่งทำให้วันนี้ “แนน” พร้อมจะเป็นผู้ให้กับสังคม ด้วยการรับหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้บริหารและพิธีกรรายการ “ว้าววาไรตี้” และไม่ปิดกั้นหากคนจะยังยึดติดความเซ็กซี่ของตน ยังคิดในแง่ดีว่าคนสังคมคงจะสามารถแยกแยะได้
“ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าเราว่าง คือคนอื่นเขาก็มีแฟนกันทำไมเราถึงไม่คิดอยากจะมีแฟน แนนก็เลยเอาช่วงเวลาที่คิด ช่วงเวลาที่ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ไปใฝ่หาคิดที่จะต้องมีแฟน แล้วแนนก็เจอพี่คนนึงเขาก็แนะนำให้แนนมานั่งสมาธิ พอเราไปนั่งแล้วเราก็หยุดอาการเพ้อเจ้อแล้วชีวิตเราก็เต็มครบขึ้น บางทีแนนก็จะปลีกวิเวกไปบวชชีพราหมณ์บ้าง นั่งวิปัสสนา นั่งคุยกับเปรตบ้าง”
“ถ้าว่างเมื่อไหร่จิตเริ่มฟุ้งซ่าน ก็จะหาเวลาไปสงบจิตใจทันที แนนใช่เวลาพวกนี้มาประมาณปีครึ่งก็เรียกว่าเป็นทางหนีนรกทางนึงสำหรับคนที่ฉลาดในการใช้ชีวิต ถ้าเราทำอะไรเยอะแยะมากมายวุ่นวายไปหมดแล้ว เราไม่มีทางออกเรามีความรู้สึกว่าเราจะหาทางไหนที่มันจะดีพอเป็นที่พึ่งให้เราดี สำหรับแนนก็จะปลีกวิเวกนั่งสมาธิไปเลย”
“และอีกอย่างตอนนี้แนนก็ผันตัวเองมาทำรายการ ว้าววาไรตี้ เป็นรายการที่นำเสนอในรูปแบบความบันเทิงเดียวกับภาครัฐและเอกชนนำเสนออีเว้นต์ต่างๆ เพื่อสังคมบ้าง ช่วงสุดท้ายก็จะมีการนำเสนอเรื่องของคติธรรมประจำใจของท่านที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็จะไปตามสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นพระ คนเก็บขยะหรือใครก็แล้วแต่ที่เขาประสบความสำเร็จเพื่อให้คนดูช่วงนี้จะได้มีไอเดียในการใช้ชีวิตเพราะว่าช่วงนึงที่เศรษฐกิจบ้านเรากำลังดาว์น คนก็จะขาดกำลังใจขาดแรงบันดาลใจแนนก็เลยช่วงนี้เปิดโอกาสให้ใครหลายๆ คนได้พูด คือมันเหมือนเรื่องดีๆ ที่เราไปเจอแล้วอยากจะบอกต่อกับคนอื่น”
“ส่วนเรื่องจะขัดกับภาพลักษณ์เดิมๆ ไหมตรงนี้แนนว่าคนดูเขาน่าจะแบ่งแยกออก แนนว่าคนดูเขาไม่ได้มองแนนที่ความเซ็กซี่อย่างเดียว เขาก็รู้ว่าแนนทำธุรกิจอย่างอื่นด้วย มันไม่ขัดหรอกค่ะทุกคนย่อมมีธรรมะอยู่ในใจทุกคนอยู่แล้ว แล้วถ้าเราทำอะไรที่มันสร้างสรรค์แบบนี้แล้วยังไปมองเป็นอกุศลแบบนั้นอีกก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่าจิตและวิญญาณของเขาคงจะมองไปในแง่นั้น แล้วการที่ดูถูกคนอื่นก็เป็นบาปอยู่แล้ว แนนจะบอกว่าคนเราอย่ามองคนด้านเดียว เหรียญยังมีสองด้านเลย ทุกคนต้องมีด้านดีและมีด้านที่เป็นมายา แต่มายานั้นคุณได้ก็ไปทำร้ายใครไหม คุณไม่ได้ทำร้ายใครคุณก็ไม่เป็นบาป”
บอกยังอยากกลับสู่วงการบันเทิงหากได้รับโอกาส ทั้งนี้ก็ต้องดูให้เหมาะสมกับวัย
“ยังรับอยู่นะ ถ้ามีคนจะจ้างแนนก็ยินดี แต่ก็คงไม่รับมากแบบแต่ก่อนแล้วล่ะ เอาให้คอนเซ็ปต์ดูดีสร้างสันน่าสนใจ แนนว่ารุ่นน้องสมัยนี้เขาก็เยอะนะ ยังไงก็คงต้องเปิดทางให้รุ่นน้อง เขาก็คงจะน่าดูกว่า เราก็พยายามทะนุถนอมตัวเองไว้ ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นมันจะเหมาะกับแนนรึเปล่า ซึ่งตัวแนนรับได้ทุกงานอยู่แล้วแต่ด้วยวัยแล้ว ตอนนี้ยังไงก็ต้องขอเลือกนิดนึง เพราะตัวแนนเองพร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเองตลอดเวลาเพื่องาน ยังไงก็อยากจะอยู่ตรงนี้ต่อมากๆ รักวงการนี้ ไม่อยากจะไปไหนแล้ว”
“ไม่ใช่เพราะว่ารายได้มันดีหรอกนะ แต่พออยู่แล้วเรารู้สึกอบอุ่น เราอยู่มาตั้งแต่เด็ก ตัวแนนโชคดีก็ไม่รู้ที่ได้เจอแต่คนดีๆ วงการนี้มีแต่สอนแต่สิ่งที่ดี สอนให้แนนรู้จักชีวิตรู้จักอยู่กับความเป็นจริงหนึ่งเลยเรื่องความการกตัญญูรู้คุณ สองคือสัมมาคารวะไม่ลืมบุญคุณคน แล้วก็ทำอะไรก็จริงใจต่องานทุกชิ้น การตรงต่อเวลานี่คือสิ่งที่แนนได้รับจากวงการซึ่งมันสามารถเอาไปใช้ได้กับทุกๆ อย่าง สามารถจัดระเบียบชีวิตตัวเองได้ “
“คือการที่เราเข้ามาในวงการนี้ สมัยนี้มันเข้ามาง่ายกว่าสมัยก่อนมาก ด้วยเด็กๆ สมัยนี้อาจจะหน้าตาดีแล้วก็มากด้วยความสามารถ แต่เข้ามาแล้วอย่าเข้ามาแป๊บเดียว เข้ามาต้องให้อะไรคืนกับวงการบ้าง ทุกๆ คนไม่ว่าจะเป็นตากล้องหรือช่างไฟถ้าไม่มีพวกเราเราก็ไม่สามารถจะเกิดได้ฉะนั้นเราต้องมีสัมมาคารวะกับเขา คุณต้องแคร์ทุกคนที่อยู่ในวงการไม่ใช่ดังแล้วชูหัวไม่สนฉันดังแล้ว”
“แนนก้าวเข้ามาอยู่จุดนี้ได้แล้ว ฉันไม่สนฉันถีบหัวส่งทุกอย่างมันไม่ได้คุณจะพบกับความวิบัติทันทีเพราะทุกอย่างตอนนี้มันถึงกันหมดแล้ว อยากให้อยู่แล้วต้องให้อะไรกับวงการด้วย เช่น อาจจะชวนร่วมบริจาคกองทุนดาราที่ท่านแก่แล้วที่อาจจะไม่มีแรงทำมาหากิน เราอาจจะไปช่วยร่วมบริจาคตรงนั้น คือสร้างสรรค์อะไรต่อไปอย่ามาแค่กอบโกย แล้วออกไปถ้าคุณทำแบบนั้นคุณก็ไม่ซื่อสัตย์กับวงการนี้คุณก็จะอยู่ไม่ได้นาน”
ที่ผ่านมาชีวิตไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่เธอก็พร้อมสู้เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ
“ชีวิตแนนไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เวลาจะทำอะไรก็คิดมากขึ้นระแวดระวังมากขึ้น เพราะว่าแนนเป็นคนจริงใจกับคนแล้วแนนก็จะคิดในทางบวกอย่างเดียว เราก็มองในมุมดี ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา ชาติที่แล้วเราอาจะไปทำเขาก็ได้ แนนมีความสุขกับทุกอย่างอะไรที่เป็นงานแนนชอบหมดแหละ”
“แนนว่าไม่มีอะไรที่เราได้มาง่ายๆ คือแนนชอบทำอะไรเหนื่อยๆ ที่ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่มันตากแดดตากเหงื่อแทนน้ำจะรู้สึกว่าได้ได้ มันไม่ใช่ มันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ เลยสักอย่างในชีวิตแนน ยากตลอด ไม่เคยมีคนมาเลี้ยงหน่อยซิ แต่ก็ดีแล้วล่ะอย่างน้อยเราก็จะได้ภูมิใจว่าเกิดเป็นคนทั้งทีเราจะได้มีกำลังใจทำไป”