xs
xsm
sm
md
lg

มีทุกข์ “มีสุข” และ มีธรรม ...

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลายปีก่อนรายการเล่าข่าวได้รับความนิยมสูงสุดในแวดวงทีวีบ้านเรา แน่นอนว่ารายการผู้หญิงถึงผู้หญิง ที่มี 4 สาวอย่างกาละแมร์,ปุ้ย,นีน่า และ ไก่ มีสุข กลายเป็นสาวที่คนทั้งประเทศรู้จักดังเป็นพลุแตก วันนี้ M-Light มีโอกาสพูดคุยกับ หนึ่งในสาวฮอตที่ผ่านมาแล้วในจุดสูงสุดของความมีชื่อเสียง และ ณ เวลานี้ เธอยอมรับกับเราว่าครั้งหนึ่งเธอคือคนห่างธรรม ที่กว่าจะผ่านวันอันแสนทุกข์ “มีสุข” คนนี้ก็ผ่านมันมาได้ด้วยธรรมะในแบบของเธอ


1.

“มีสุข” ... คนห่างธรรม!?


“มีสุข แจ้งมีสุข” เธอคือ 1 ในพิธีกร 4 สาวที่ดังที่สุดในประเทศช่วงหนึ่งในวันที่ยุคของการเล่าข่าวเฟื่องฟู และเมื่อมีการทักจากพระดังรูปหนึ่งคือ ท่าน ว. วชิรเมธี จึงทำให้ชีวิตที่เคยห่างธรรมขยับเข้าใกล้มากขึ้น และเธอบอกกับเราว่านี่คือกุศโลบายของการเผยแผ่ธรรมผ่านสื่อในโลกทีวี ผ่านหน้าที่ผู้ประกาศข่าวของเธอ

“ตอนนั้นความที่เราไม่ได้สนใจในธรรมะ แล้วท่าน ว. เป็นพระที่พูดตรงและคม แล้วก็คำพูดของท่าน เรื่องขาดธรรมะคือเราเนี่ยมีครบแล้วทุกอย่าง แต่ใส่ใจธรรมะน้อย ไก่ไปกับกลุ่มเพื่อนเนี่ยแหละรู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้ว แล้วพี่คนนี้คือเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมแล้วไก่คือรุ่นน้องแก แล้วไม่ได้สนใจทางธรรมเลย สนใจแต่ทางโลก เป็นวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งนี่แหละ ทุกอย่างสนใจแต่แฟชั่น ตามสมัยตามสไตล์เรา แล้วท่าน ว. เนี่ยดูรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง คือจริงๆท่านดูทุกรายการแหละนะคะ เกาะติดมาก ประมาณว่าใน 4 คนเนี่ย ไก่เป็นคนที่มองว่าโอเคแล้วแหละ แต่ว่าไปเพิ่มธรรมะหน่อย ท่านหมายความว่าลองใส่ธรรมะดูซิ ท่านวางหมากไว้แล้ว ใน 4 คนนี้เขาอยากให้เราเอาธรรมะ เข้าสู่ผู้หญิง ผ่านสื่อ มันคือกุศโลบายเล็กๆที่ท่านฝากลูกศิษย์ของท่านมาบอกเรา”

“ท่าน ว.เนี่ยท่านไม่ได้มองแค่เปลือก บางทีท่านเห็นไก่โศก ท่านไม่ได้มองผ่านหน้าตา แต่ท่านมองตาแล้วท่านจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ใช่มั้ย แล้วทุกครั้งที่เราอยู่ในความมืด ท่านจะเปิดประตูบานนั้นทุกครั้งเลย เหมือนที่เท่าพูดนะค่ะ ตัวท่านเองเหมือนกับประชาสัมพันธ์ของพระพุทธเจ้า ธรรมะมีความเป็นจริงอยู่แล้ว ใครที่ได้ลองศึกษาธรรมะจะสนุกกับชีวิตมากขึ้น เราจะได้รับคำตอบแบบ เออว่ะ! แล้วทำไมเราคิดไม่ถึง แต่ธรรมะคิดไปถึงไหนแล้ว ธรรมะค้นพบทุกอย่างไปแล้ว”

2.

สมาธิแตกซ่าน วันนั่งปฏิบัติ


พอถามถึงการเข้าวัดเข้าวา นั่งปฏิบัติธรรม เจ้าตัวบอกไม่อายว่า โอกาสที่ได้ทำเช่นนั้นสำหรับเธอนั้นยาก แต่หากเป็นเพียงการนั่งสวดมนต์อยู่บ้าน เธอบอกนั่นคือสิ่งที่ทำเป็นกระจำแม้ว่าสมาธิจะยังไม่รวมเป็นกลุ่มก้อนมากนัก

“แปลกมั้ยคะ ว่าไก่ไม่เคยนั่งสมาธิจริงจังเท่าไหร่ คือเราทำแต่งาน มันจะมีภาพหนึ่งคือคนที่ใส่ใจธรรมะคือคนไปบวชชีพราหมณ์ ไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ ไก่บอกเลยว่าไก่ทำแบบนั้นน้อยมาก ถ้าเทียบกับนักปฏิบัติ เคยกลุ้มใจ เราก็ถามท่าน ว. ว่าไก่ไม่เคยไปบวชชีพราหมณ์เลย เราได้แต่สวดมนต์อยู่บ้าน ไก่จะได้บุญมั้ย ไก่ไม่มี

โอกาสไปบวชที่ไหนไม่ครบคอร์ส ท่าน ว. เลยบอกว่าการปฏิบัติทำเนี่ยทำได้ทุกวันเท่าที่ไก่ ใช้ชีวิตอยู่นั่นแหละ ถ้าสมมติจะพูดทางสายทางพระ คือสมถกรรมฐาน กับวิปัสสนากรรมฐาน ทุกวันนี้จริตไก่คือเป็นคนทำงาน ว่องไว เพราฉะนั้นไก่ต้องไปสายวิปัสสนาก่อน มันอึดอัดมากเลยตอนนั้น เฮ้ย! ทำไมเขาบอกว่าธรรมะดีแล้วทำไมเราอึดอัดมากแบบนี้ล่ะ พองยุบ แล้วไง แล้วได้อะไร เหมือนจิตมันฟุ้งซ่านมาก ท่าน ว .บอก ตามไปดูเลยว่ามันฟุ้งซ่านอย่างไร ตามไปดูมันคิด ตามไปเรื่อยๆแล้วเราจะเห็นว่าใจเราเนี่ยไวยิ่งกว่าลิงนะ พอคิดไปสักพักก็จะรู้ว่าเมื่อกี้เพิ่งจ่ายค่าไฟไป แล้วมานึกถึงเรื่องข่าวที่เล่าๆไปเมื่อเช้าได้อย่างไรไม่รู้ ใจเราเร็วมากก็ปล่อยมันไปเรื่อยๆทุกวันนี้ไก่ฝึกจากวิปัสสนาก่อน จะทำอะไรก็อยู่ที่ตัวเรา”

“ สมมติขับรถอยู่แล้วมีคนปาดหน้า เมื่อก่อนจะปาดกลับเลย แต่เดี๋ยวนี้ มีคนปาดหน้าเราก็ด่าอยู่ในใจ หลุดด่าแล้วเข้าไปเห็นว่าเราโกรธอยู่นะ ตามดูอารมณ์ไปเรื่อยๆ สักพักมันก็หายไป แทนที่เราจะเหยียบคันเร่งเราก็มัวไปคิดอย่างอื่นแทน แต่มันมาตามความรู้สึก อันนี้คือของจริง สมมติล้างจานอยู่ สักพักใจก็ไม่อยู่กับจานหรอก เราก็ไปตามความรู้สึกเรา พอมันทำบ่อยๆ ทุกวันนี้ไก่จะพยายามตามเข้าไปดูความรู้สึก”

3.

ทุกข์จากการอ่านข่าวผิด


ในชีวิตคนเราอาจทำผิดได้มากครั้งหรือน้อยครั้งก็แล้วแต่วิถีชีวิต แต่สำหรับมีสุข เข้าตัวบอกว่าสำหรับหน้าที่ผู้ประกาศข่าวอย่างเธอ การอ่านข่าวผิดคือทุกข์ที่ทำให้เธอเกือบเสียศูนย์มาแล้ว

“บอกตามตรงนี้พูดได้อย่างไม่อายเลย ถ้าเมื่อก่อนย้อนกลับไปอาจจะรู้สึกกลัวที่จะพูดเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป แต่สิ่งที่ทำให้ไก่เสียศูนย์ เป๋ไปเลยกับชีวิตคือตอนที่ไก่อ่านข่าวผิด ผู้ประกาศข่าวเนี่ยมันมาคู่กับความน่าเชื่อถือเหมือนกับนักการเมือง ถ้านักการเมืองพูดคำไหนแล้วไม่ทำตามนั้นเนี่ยมันคือเสียเครดิตไปเลย อาชีพผู้ประกาศข่าวก็เหมือนกัน มันก็อาจจะขาดความน่าเชื่อถือ ถ้าอะไรก็ได้มาทำลายความน่าเชื่อถือมันทำลายอนาคตการทำงานของเขาเลย สิ่งนั้นก็ทำให้ไก่ขาดความน่าเชื่อถือลงไปเหมือนกัน ไก่เสียศูนย์ไปเลย การที่ไก่อ่านข่าวผิดคุณค่าในตัวไก่มันผิดไปหมดแล้ว ไก่ไม่รู้จะทำอย่างไร หรือจะอธิบายและกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อย่างไร แล้วไก่ไม่รู้ว่าจะพูดให้คนทั้งประเทศเข้าใจไก่ได้อย่างไร มันเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น มันไม่ได้เกิดจากการที่เราไม่ยอมรับผิด หรือเราไม่ได้ขอโทษนะ แต่ไก่ไม่รู้จะอธิบายตรงไหนก่อนไก่ก็ค่อยๆเก็บมา ตอนนั้นอะไรก็เอาไม่อยู่จริงๆ คิดหลายอย่างมาก แล้วหาทางออกไม่เจอ เพียงแต่รู้ว่าไก่ยังไปตอนนี้ไม่ได้ ยังทำอะไรไม่ได้ อดทนที่จะไม่ทำอะไรเลย พูดออกไปก็ไม่ได้ ชีวิตมันต้องเดินต่อไป

พอวันหนึ่งชีวิตมันต้องเดินต่อไป ธรรมะค่อยช่วยบำบัดไก่ ธรรมะที่อยู่ใกล้ไก่มาตลอดมันช่วยชีวิตไม่ทัน ถ้าเราไม่ปฏิบติต่อเนื่อง ถึงเวลาวิกฤตปุ๊บเนี่ยน็อกเลยนะ ตอนนั้นร้องไห้ทั้งข้างใน ทั้งข้างนอก ร้องกับการตั้งคำถามหลายอย่าง ทำไมมันต้องมาหวยออกที่เรา ยังโทษคนอื่น ทำไมตอนที่มันเกิดขึ้นเราไม่ทำให้มันดีกว่านี้ แต่เวลามันย้อนไปไม่ได้แล้ว”

“จำได้ว่าเราคุยกับท่าน ว. ที่วัดเบญจ ฯ ก็มีเพื่อนกันอีก 4 คน คุยตั้งแต่ 6โมงเย็นถึง 2 ทุ่มแล้วออกมานอกกุฏิมานั่งดูพระจันทร์ถึงเที่ยงคืน ท่าน ว. สอนเรื่องนี้เต็มๆ แล้วท่านบอกว่าคนที่ทำงานเท่านั้นถึงจะเกิดการผิดพลาด คนไม่มีความผิพลาดในชีวิตคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดามาก ท่าน ว บอกถ้าจะปลอบใจแบบทางโลกก็คือมันมีคนที่ผิดกว่าเรามากมาย เห็นมั้ยว่าเรื่องนี้คือธรรมดามาก ธรรมะอยู่ใกล้ตัว มันช่วยชีวิตเราไม่ได้นะคะ ถ้าเราไม่เข้าใจมันจริงๆ จากวันนั้นถึงวันนี้ ไก่เข้มแข็งมาก”

4.

ธรรมะกับการอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก


จากการเป็นคนเบื้องหน้า และความทุกข์ที่ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ทำให้ชีวิตต้องละเอียดรอบคอบมากขึ้น ทำให้เธอเรียนรู้ชีวิตที่จะอยู่กับคนหมู่มากได้ดีทีเดียว

“ไก่คิดว่าการอยู่กับคนหมู่มาก สิ่งสำคัญที่สุดคือถ้าเราอยู่กันด้วยความใจกว้าง แล้วเข้าใจมันจะไม่มีปัญหา คนทุกคนมีตัวตน มีพื้นที่ของตัวเอง มีความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อนต้องเข้าใจ อันไหนคือพื้นที่สีแดง อะไรคือพื้นที่สีเขียว อันไหนสีขาวของกันและกัน ไก่เชื่อว่าถ้าเราเป็นคนเข้าใจคนอื่น คนอื่นก็จะเข้าใจเรา ถ้าเราอะลุ้มอล่วย ให้กับคนอื่นได้ คนอื่นก็จะอะลุ้มอล่วยให้เรา เหมือนกับประเทศชาติทุกวันนี้ที่มันไปไหนไม่ได้เพราะมันไม่มีใครอะลุ้มอล่วยให้กัน ไม่มีใครยอมใคร การที่ยอมใครก่อนไม่ได้แปลว่าเราคือผู้แพ้ หรือเรากลายเป็นคนดีจัด ไม่ใช่นะ สิ่งเหล่านี้คนทุกคนมันจะมีจุดหนึ่งที่มันตอบตัวเองได้ว่าเรายอมได้แค่ไหน” ...ไก่ทิ้งท้ายถึงชีวิตที่เธอฝากถึงคนที่อาจต้องทำงานกับคนหมู่มาก

ผู้หญิง (ชื่อไก่) ถึงผู้หญิง

ในวันที่ชื่อเสียงอาจไม่โด่งดังเท่าที่ผ่านมา แต่มีสุขบอกว่า งานน้อยแต่สิ่งที่สวนทางมันกลับเป็นความสุขที่เธอน้อมรับมันด้วยความยินดี บวกกับหน้าที่ในการทำงานที่ไม่คิดทำร้ายใคร

“ช่วง 5-6 ปี เราเจอมาเยอะ ไก่ว่าปีที่ผ่านมาคนมองว่างานน้อยจังเลย แต่เชื่อมั้ยว่าไก่รู้สึกมีความสุขที่สุดแล้ว ไม่ได้มีความสุขแบบนี้นานแล้วค่ะ ไก่ลืมตัวเองไป หลงลืมความรู้สึกบางอย่างไป วิ่งไปทำอย่างนุ้นอย่างนี้ ถามว่ามันต้องยอมแลกนะ ถ้าไม่มีข่าว ไม่มีกระแส ใครจะมาสนใจ”

“สุดท้ายแล้วมันต้องกลับมาที่ความจริง สุดท้ายแล้วตัวเราเป็นอย่างไร ความจริงเราเป็นอย่างไร เป็นไปเถอะ เป็นที่เป็นตัวของตัวเอง เวลามันจะเป็นคำตอบว่าเราจะเป็นอย่างไร มีความจริงให้ตัวเอง เราวิ่งไปตามโจทย์ของสังคมทั้งหมดไม่ได้ ถ้าเราเป็นตัวของตัวเองกลุ่มชอบก็มี กลุ่มไม่ชอบก็มี แต่ถ้าเวลาผ่านไปเรายังคงเป็นแบบนั้น คนที่เขาไม่เข้าใจก็จะเริ่มเข้าใจแล้ว ฉันทำงาน อ่านข่าว ทำหน้าที่ ฉันจะไม่ทำร้ายใคร ฉันจะไม่อ่านข่าวนี้เพราะต้องการแก้แค้นคนบางคน อันนี้ไก่ไม่ทำ ไม่ใช่ว่าโกรธองค์กรนี้อยู่แล้วเอาข่าวนี้มาอ่าน องค์กรนี้ไม่ซัปพอร์ตเรา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำงานแบบนั้นก็ควรออกไปจากวงการนี้ได้เลย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อ่านข่าวที่ผู้สื่อข่าวไปทำมา แล้วเล่าสู่กันฟังเราเล่า เราแชร์กันฟัง เรายังทำหน้าที่ได้ ต่อให้คนจะรักหรือไม่รัก ไม่ชอบ ไก่ก็ยังภูมิใจว่านี่คือหน้าที่ไก่ แล้ววันหนึ่งเขาก็จะเข้าใจเราเอง”

*****************************

“ท่าน ว วชิรเมธี สอนไก่ว่า รู้มั้ยพระพุทธเจ้าสอนให้มนุษย์เห็นโลกธรรม 8 ซึ่งมีอยู่ 8 อย่าง มีลาภ เสื่อมลาภ อันนี้ไก่ไม่รู้สึกยังไม่อิน มียศเสื่อมยศ อันนี้ก็ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะไก่ไม่มียศ มีสุข ก็มีทุกข์ ในขณะที่ มีสรรเสริญก็ย่อมมีคำนินทา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าบอกว่าในโลกนี้ 8 อย่างนี้มันมาคู่กัน ทุกคนต้องเจอ ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยวางหรือจัดการกับสิ่งเหล่านี้ เราก็จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าปล่อยวางได้เราก็ไม่เป็นทุกข์กับมัน …”

************************************

“จิตไม่ใช่เรา แต่ที่เราทุกข์ เพราะเราไม่เคยรู้ทัน...” จากหนังสือธนาคารความสุข ของ พิทยากร ลีลาภัทร์


กำลังโหลดความคิดเห็น