หากไม่ใช่นักการเมืองหรือคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงการเมืองแล้ว คงไม่มีใครเข้าถึงชีวิตนักการเมืองมากเท่าครอบครัวของนักการเมือง จะโดยเป็นคู่ชีวิตฝ่ายสามีหรือภรรยาหรือแม้แต่ทายาท ถ้าไม่ซาบซึ้งตรึงใจกับหน้าที่พัฒนาบ้านเมืองจนอุทิศตนให้กับอุดมการณ์เพื่อบ้านเพื่อเมืองที่ดีกว่าแล้ว ก็คงจะแขยงขยาดการเมืองจนไม่อยากจะแตะต้องสัมผัสมัน แล้วอะไรที่แบ่งคนซึ่งทำความรู้จักกับการเมืองออกเป็นสองฝั่งอย่างสุดขั้วเช่นนี้
“เยอะครับ” ทายาทคนสุดท้องของ ‘ศุภสิทธิ์ เตชะตานนท์’ ส.ส.ขอนแก่น 6 สมัยให้คำตอบไว้สั้นๆ ซึ่งคำตอบนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจบ่ายหน้าเข้าสู่วงการบันเทิงในฐานะนักร้องหนุ่มหน้าหล่อเรียกเสียงกรี๊ดได้เสมอโดยเฉพาะในหมู่สาวๆ แทนที่จะอยู่ในแวดวงการเมืองซึ่งตนได้คลุกคลี
“แน่นอนครับ ตอนนั้นห้าหกขวบพ่อก็ต้องอุ้มขึ้นไปด้วย ผมต้องเดินทางไปหาเสียงกับพ่อ”
หากได้ยินชื่อ ‘ศุภรุจ เตชะตานนท์’ แล้วยังสงสัยว่าเขาเป็นใคร ‘รุจ เดอะสตาร์’ ชื่อเล่นต่อด้วยนามสกุลแจ้งเกิดชื่อนี้ คงจะทำให้ทุกคนร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน...อ๋อ
“พ่อผมเป็นนายกเทศมนตรีตั้งแต่ปี 2517 เป็นปีที่พี่ชายคนโตเกิด ห่างจากผม 10 ปี พ่อทำงานตรงนี้มาตลอด แล้วเริ่มเป็นส.ส.ปี 2527 คือปีที่ผมเกิดพอดี ผมก็อยู่กับการเมืองมาตั้งแต่เกิด เห็นทุกอย่าง ความดีความสนุกก็มี เรื่องแย่ๆก็มี เรื่องที่ทำให้เราไม่อยากเข้าไปยุ่งก็มี ตั้งแต่สมัยที่มีซื้อเสียงหนักๆ คือมันทำให้เห็นว่าการเมืองของไทยมีจุดบกพร่องเยอะมาก รู้สึกว่าเราตัวคนเดียวไม่สามารถเข้าไปเพื่อแก้ไขอะไรได้ ถ้าเราเข้าไปเราต้องตามน้ำ ถ้าเราจะอยู่ได้ต้องตามน้ำ ซึ่งตามน้ำมันก็อยู่ที่ว่าเราจะตามแบบไหน ถ้าในตอนนั้นคนที่มีอำนาจเขาไปในทางที่ทุจริต เราก็ต้องไปตามเขา ผมก็รู้สึกว่ามันทำเพื่ออะไร ถ้าอย่างนั้นเราทำอย่างอื่นดีกว่า”
“ถ้าจะอยู่ด้วยอุดมการณ์ของเราว่าบ้านเมืองต้องเป็นแบบนี้ ไม่ได้ครับ เพราะว่าด้วยลำพังตัวเราคนเดียว มันไม่มีทางทำได้อยู่แล้วถ้าหากว่าไม่มีอำนาจ”
“ที่ผ่านมาเราเห็นจากคุณพ่อมานานแล้ว พอพ่อเขาเป็นส.ส.เขาก็มานั่งให้ความช่วยเหลือชาวบ้านจนสุดท้ายแล้วเงินเดือนมันก็ไม่พอ คือแทนที่ทำงานแล้วรวยแต่ทำงานแล้วจน แต่ก่อนมีโรงสีสามโรง สมัยก่อนคือรวยมาก แต่ค่อยๆหายไปทีละโรง เพราะขายเพื่อเล่นการเมือง สุดท้ายแล้วเงินก็หมด”
“ถ้าเราทำแล้วยึดอุดมการณ์เหมือนพ่อ ทำได้แต่ชีวิตลำบาก ครอบครัวลำบาก เพราะเราก็ลำบากเหมือนกันในช่วงเวลาที่ขาดสภาพคล่องจริงๆของบ้าน มีหนี้เยอะ ทำให้เรารู้ว่าถ้าทำแบบพ่อ ไม่รอด แต่ถ้าจะโกงเพื่อให้เราอยู่ได้แบบสบายๆ มันก็ผิดกับที่พ่อทำมา มันก็กลายเป็นว่าพ่อเป็นคนดีลูกเป็นคนเลว มันก็เลยกลายเป็นว่าไม่ทำดีกว่า อย่างเล่นมันเลยดีกว่า เสีย มันทำให้เรารู้สึกว่าจะทำอะไรก็ไม่ได้ จะทำดีมันก็ดีได้ไม่สุดเราอยู่ไม่ได้ จะทำเลวมันก็ผิดมันก็ไม่ดี”
“การเมืองในปัจจุบัน เงินเป็นอันดับหนึ่ง คือพ่อผมเป็นส.ส.มา 6 สมัย สมัยหนึ่งมันก็หลายปีบางทีสี่เลยก็มี สามปี สองปี ปีหนึ่ง ไม่ถึงปีเลยก็มี มันใช้เวลาตั้งแต่ปี 2527 จนถึงประมาณปี 2540 ช่วงที่เศรษฐกิจตก ประมาณสิบกว่าปีเราอยู่ในช่วงนั้นตลอด ก็เห็นทุกอย่าง ตั้งแต่ตอนที่เป็นส.ส. ไม่ได้เป็นส.ส. มีตกบ้างมีได้บ้าง เราเห็นทุกอย่างที่มันเป็น ผมอยู่เมืองพล บ้านผมอยู่มาตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย ไม่มีบขส. คือเมืองเล็กมาก แล้วพ่อผมเป็นคนยกที่ดินให้กับเทศบาลเพื่อสร้างบขส.”
“ดูแล้วก็เหมือนว่าเราเป็นคนทำให้เมืองนี้มันใหญ่ขึ้นมา มันต้องได้รับเลือก แต่พอมีคนเข้ามาใหม่ แล้วเขามีนโยบายที่มีเงินให้ เขาได้ อย่างนี้มันไม่ได้หมายความว่าคนที่ทำดีแล้วจะต้องได้ คนที่มีเงินเท่านั้นเองที่จะได้ ไม่อยากเรียกว่ามันเป็นวงจรอุบาทว์ แต่มันเป็นวงจรที่ทำให้เราไม่ชอบ คือมันไม่ได้เกิดจากความจริง ความจริงใจ หรือเกิดจากความสามารถจริงๆ”
“บางคนพอได้เป็นส.ส. หายไปเลย สุดท้ายแล้วก็กลับมาหาคนที่อยู่ก็คือพ่อผมซึ่งไม่ได้เป็นส.ส.แล้วนะแต่ก็ต้องช่วย พอสมัครอีกรอบหนึ่งก็ไม่เลือก อ้าวแล้วยังไงวะ วันนี้มันน่าจะเป็นวันที่ทุกคนน่าจะรู้ได้แล้วว่า เล่นการเมืองต้องไหลตามน้ำถ้าเราไม่ไหลตามน้ำแบบเขาเราอยู่ไม่ได้”
บรรยากาศครอบครัวที่คุกรุ่นด้วยการเมืองอย่างเข้มข้น อาจทำให้เขาได้รับความกดดันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากการที่เขาตัดสินใจเดินออกจากเส้นทางที่พ่อได้ปูเอาไว้
“พ่อเป็นคนที่ไม่บังคับใคร เขาจะมีความหวังหรือตั้งใจเอาไว้ว่าอยากให้ลูกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เขาไม่ได้ชี้สั่งว่าต้องเป็นแบบนี้ คือจะเป็นอะไรก็ได้แต่เขาก็มีสิ่งที่คิดเอาไว้ว่าถ้าเป็นแบบนี้มันน่าจะดี อาจจะแค่พูดให้เราฟัง เช่นว่า ‘เออ น่าจะลองอย่างนี้นะ’ ส่วนเราจะทำหรือไม่ทำก็เป็นเรื่องของเรา แต่ถ้าเราทำในทางของเราแล้วประสบความสำเร็จ เขาจะพูดว่า ‘เออ ก็ดี’ แต่ถ้าทำแล้วพลาดล้มลงมาเขาก็จะบอกว่า ‘ก็ไม่เชื่อพ่อ’”
“หลายๆครั้งผมก็ไม่ทำตามที่เขาคิดเหมือนกัน เช่น ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เรียนคณะวิทยาการจัดการสาขาเศรษฐศาสตร์ พ่ออยากให้เรียนวิศวฯ เราสอบติดเรียบร้อยแล้วพ่อมาถามว่า ‘ทำไม ไม่เรียนวิศวฯ’ เราก็บอก ไม่อยากเรียนวิศวฯ เพราะโง่ฟิสิกส์ เขาก็บอกว่า ‘ก็แล้วแต่ ลองเรียนดูก็ได้ เศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้แย่’ ก็เรียนไป”
“ผมเองมาประกวดก็ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ พ่อเขาก็เลยไม่ได้พูดอะไร ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็คงอยากให้ลูกทำงานการเมืองเหมือนเขา พี่ชายสองคน เขาจบออกมาแล้วก็ยังไม่ได้ทำอะไร ยังโต๋เต๋อยู่ พ่อก็เลยจับให้มาทำงานซะเลย ซึ่งมันช่วยไม่ได้เพราะว่าไม่ได้มีจุดยืนว่าจะทำงานอะไรก็เลยต้องทำตามที่เขาสั่ง”
“อย่างของผมถ้ามันไม่มีทางเลือกก็ต้องทำ แต่ในเมื่อมันมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าเราก็คิดว่าเขาก็น่าจะแฮปปี้กับเรา ที่ผ่านมาเขาก็คุยกับเราแล้วก็ยินดีด้วย แล้วก็อยากให้ทำเต็มที่ เมื่อเราเดินมาทางนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ดีอะไร”
เพื่อจะหาหนทางอื่นที่เขาคิดว่าดีกว่าการเป็นนักการเมืองตามความต้องการของผู้เป็นพ่อ เขาจึงพยายามหา ‘ทางเลือกอื่นที่ดีกว่า’ ซึ่งหมายถึงเส้นทางอื่นใดก็ได้ที่ไม่ใช่เส้นทางของการเมือง และแล้วเขาก็ได้โอกาสจากคะแนนโหวตของผู้ชมรายการ ‘เดอะสตาร์’ ที่พาเขาไปถึงรอบสุดท้ายได้สำเร็จ ถึงแม้จะไม่ได้ตำแหน่งเดอะสตาร์แต่อย่างน้อยมันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งเขายินดีอย่างยิ่งที่จะฉวยมันเอาไว้
“ผมไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักร้อง ผมแค่มีความรักความชอบในการร้องเพลงเท่านั้นเอง ไม่ได้ใฝ่ฝันว่าในอนาคตเราต้องเป็นนักร้อง ขอแค่มีวงกับเพื่อนแล้วก็ร้องเพลง พี่ชายคนกลางเขาเคยเป็นนักร้องนำวงดนตรี ที่บ้านก็จะมีกีต้าร์เล่น แล้วก็สอนเราเล่นกีต้าร์ ตอนนั้นเรายังเด็กๆก็ไม่ได้สนใจ แต่พอดูพี่ชายเล่นกีต้าร์แล้วก็คิดว่า ถ้าเล่นแล้วผู้หญิงน่าจะชอบ เราก็เลยลองเล่นไม่ได้จริงจังมาก พอตีคอร์ดให้ได้สักนิดหน่อยก็หล่อแล้ว คือว่าร้องเอาหล่อนิดหน่อยอะไรประมาณนั้น ที่เริ่มร้องเพราะมันเท่เวลาที่เราได้ไปร้องเพลงอยู่หน้าเวที พอเริ่มรู้สึกว่าเราร้องได้ก็จะชอบไปร้องคาราโอเกะ จะนั่งฟังเพลง คุยเรื่องเพลงกับเพื่อนๆ วิจารณ์เพลงซึ่งก็จะมีเพื่อนที่ชอบดนตรีเยอะเหมือนกัน”
“แต่ผมเป็นคนขี้อายก็ไม่ได้ร่วมงานแบบนี้เยอะเท่าไหร่ ดนตรีมันทำให้เรากล้าแสดงออกมากขึ้น บนเวทีเวลาที่มีดนตรีแล้วเราร้องเพลงรู้สึกว่าเราจะลืมเรื่องตรงนี้ไป เรากล้าขึ้น อย่างตอนนี้ก็เป็นอยู่บ้างเช่นถ้าบอกให้ผมร้องสดๆแบบที่ไม่มีดนตรีเลย เราก็จะรู้สึกเขินๆ แต่ถ้ามีดนตรีขึ้นมามันก็ร้องได้แบบปกติ”
เรื่องราวของนักร้องหนุ่มซึ่งเป็นคนติดคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก หาเพื่อนคุยจากโปรแกรมแชต ICQ ติดเกมส์ Raknarok ขั้นรุนแรง และชื่นชอบการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใฝ่ฝันว่าจะเดินมาถึงวันนี้ ชีวิตดูไม่เป็นโล้เป็นพาย
“ผมไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ผมไม่ได้ถึงขั้นว่าร้องเพลงเพราะมาก” เขาเปิดใจ
แต่สำหรับโอกาสที่เขาไขว่คว้ามาได้นั้นก็ทำให้บรรดาคนที่ใฝ่ฝันถึงอาชีพในวงการบันเทิงอีกมากมายอิจฉาตาร้อน แม้พวกเขาเหล่านั้นจะรู้ซึ้งดีว่า ทุกความฝันใช่ว่าจะเป็นจริงได้และแม้ทุกความพยายามก็ใช่ว่าจะประสบผลสำเร็จ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะริษยา
ไม่ว่าคณะกรรมการทั้งสามคนของเดอะสตาร์จะเห็นพรสวรรค์ในการร้องเพลงของเขาหรือความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้เป็นอย่างดีของเขา แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็คือรูปร่างหน้าตาที่ถูกเสริมแต่งเข้าไปให้ดูดีขึ้นกว่าที่ธรรมชาติให้มา
“ผมว่ามีส่วน” เขาออกปากยอมรับด้วยตัวเอง
“เพราะว่าในปัจจุบันเรื่องของคนที่จะมาเป็นศิลปินหรือดาราได้ คนที่มีหน้าตาดีมากกว่าก็จะได้เปรียบ ความสามารถดีกว่าก็ได้เปรียบ คือผมว่าความสามารถกับหน้าตาผิวพรรณหรือบุคลิกที่มีความพิเศษมันมาพร้อมเราตอนเกิด ฟ้าประทานให้เรามาแบบนี้ ใครที่ได้มาเยอะกว่าก็ได้เปรียบ แต่ถ้าใครได้มาเอาไปฝึกฝนทำให้มันดีขึ้นอีก มันก็ได้เปรียบมากขึ้น ในปัจจุบันมันเป็นเรื่องของการตลาดมากขึ้นเพราะฉะนั้นคนที่มีอะไรเพียบพร้อมมากกว่าคนอื่นมันก็จะได้เปรียบมาก”
สิ่งที่คิดคาดการณ์เอาไว้กับสิ่งที่ความจริงยื่นให้กับเราบางทีมันก็ไปกันคนละทิศละทาง เช่นเดียวกับการทำงานในวงการบันเทิง การเปลี่ยนตัวเองจากผู้ที่เห็นแต่เบื้องหน้าในฐานะผู้ชมมาเป็นผู้ที่อยู่กับเบื้องหลังในฐานะผู้สร้างสรรค์หรือศิลปิน ในการทำอัลบั้มแรกของชีวิต มันทำให้เขาเห็นความจริงจากทั้งสองด้าน ซึ่งเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“จะบอกว่าเหมือนที่เราคิดร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ก็ไม่ใช่ อย่างเรื่องแผ่นผี ตอนที่เราไม่เป็นนักร้องเราก็ไม่รู้ เราอาจจะฟังแต่แผ่นก๊อปปี้ โหลดเอาจากอินเตอร์เน็ตบ้าง เราไม่รับรู้ จะเป็นไงก็ช่างมัน แต่พอมาเป็นศิลปินจริงๆ เราก็เลยรู้ว่า ไอ้การทำแบบนี้มันเป็นการตัดกำลังและทำให้อนาคตของเพลงในบ้านเราดับลง ซึ่งคนที่ไม่มายืนจุดนี้ก็ไม่รู้”
“เรื่องการตลาดในปัจจุบัน เราเคยคิดว่าดนตรีของไทยมันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่พอเข้ามาประสบพบเจอจริงๆมันก็ไม่ใช่ อย่างเพลงสมัยนี้เรารู้สึกว่ามัน ‘ลวก’ มากขึ้น คือด้วยความที่มีการตลาดมากขึ้น ความลวกก็เกิดขึ้น เรารู้ว่าตลาดชอบแบบนี้ก็ทำออกมาแบบนี้ แล้วก็ทำมันออกมา เสร็จแล้วเราก็ลืมเรื่องของคุณภาพไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซาวนด์ดนตรีเรื่องของเนื้อร้อง แต่ก่อนผมรู้สึกว่าเพลงของไทยไม่ว่าจะเป็นเพลงลูกทุ่งหรือว่าเพลงในสมัยเก่ามันจะมีความเป็นเพลงมากกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เพลง เหมือนเป็นการเอาคำพูดมาต่อๆกันโดยที่มันไม่ได้คล้องจองกันเลย คือมันเป็นความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยด้วยส่วนหนึ่งแต่บางครั้งมันก็คือ การลืมคุณภาพของเพลงไป”
“บางทีคนฟังก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ คือเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ผมมั่นใจว่าคนที่เป็นคนฟังดนตรีจริงๆมีน้อย เพราะฉะนั้นมันก็แบ่งกันระหว่าง เพลงที่คุณภาพดี กับ เพลงที่คุณภาพประมาณหนึ่งแต่ตลาด มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าจะทำเพลงที่เจ๋งๆออกมามันก็ต้องตลาดด้วย ก็เลยสับสนแต่ก่อนเราไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ คือเราคิดว่าถ้าทำเพลงออกมามันก็ต้องใส่ใจรายละเอียดทุกอย่าง แต่สุดท้ายแล้วมันทำออกมาเพื่อรอรับกับตลาด ตลาดเขาไม่ได้ฟังดนตรีแบบสุดยอดมาก เขาฟังแค่ประมาณหนึ่งแต่ขอแค่ ‘โดน’ เขาก็ชอบแล้ว ซึ่งมันก็อาจจะทำให้เพลงดร็อปลงเรื่อยๆ”
“คือผมไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นนักดนตรี แต่ผมเป็นคนที่ฟังดนตรี เล่นดนตรีเป็น เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้สึกถ้ามีเพลงออกมาแล้วดนตรีมันเจ๋ง เราก็ โห! ทำได้ไง เนื้อหาห่วยช่างมันไม่เป็นไรแต่ฟังแล้วให้เรารู้ได้ว่าเขาใส่ใจรายละเอียดในเรื่องดนตรีมาก เราว่าเพลงของเรามันน่าจะเน้นในเรื่องของคุณภาพของดนตรีด้วย แล้วก็เน้นที่คุณภาพของตลาดด้วย คือขายได้ด้วย ซึ่งการที่จะหาจุดตรงกลางมันหายากมาก”
“ฉะนั้นผมพูดได้เลยว่าทุกเพลงเราใส่ใจกับมันมาก แต่มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกว่าทุกเพลงเป็นเพลงที่คุณภาพทุกอย่างครบถ้วน มันก็จะมีบ้างในบางเพลงที่หลุดไปบ้าง เช่น บางเพลงคือเนื้ออาจจะดีมากแต่ซาวนด์ไม่ได้สุดยอดมาก คือด้วยความที่มันเป็นที่เกิดจากการประกอบร่างกันของหลายๆคน ฝีไม้ลายมือของโปรดิวเซอร์แต่ละคนก็จะมีลายมือของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน คนนี้ถนัดเรื่องดนตรีเจ๋ง คนนี้ถนัดเรื่องเนื้อหาเจ๋ง พอเอามาประกอบกันมันก็เลยกลายเป็นงานที่มีความวาไรตี้ค่อนข้างสูง คือไม่ได้เป็นก้อนเดียวกันอย่างที่ควรจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนี้ก็ต้องยอมรับ ถึงแม้เราจะเสพเองแต่พอเราออกเองมันไม่ใช่สิ่งที่เราทำทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็จะมีบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้อยู่แล้ว”
สมัยมัธยมต้นจนต่อเนื่องไปถึงมัธยมปลายเป็นช่วงที่เขามากจนได้รับอิทธิพลจากวงดนตรีร็อกญี่ปุ่นอาทิ X-Japan, L'Arc-En-Cie, Lucifer ที่มาพร้อมกับกระแสญี่ปุ่นตอนนั้น ต่อมากระแสเพลงเกาหลีก็เข้ามาแทนที่ ส่วนใหญ่เป็นแนวแดนซ์ซึ่งเขาไม่ชอบ จึงหันไปให้สนใจเพลงร็อกพันธุ์ไทยมากขึ้นโดยเฉพาะ Potato, Crash, Body Slam แต่ถึงอย่างนั้นความคิดฝันที่จะเป็นอย่างนักร้องวงร็อกญี่ปุ่นก็ยังไม่เลือนหายไป
“คือผมดูแล้วเราก็รู้สึกว่า โอ้โห! ไม่ได้หมายความว่าอยากเป็นเหมือน X-Japan ผมชี้อะไรอย่างนั้น มันจะมีบางวงที่เป็นประมาณหนึ่งอย่าง L'Arc-En-Cie หรือ Lucifer มันจะมีการแต่งตัวที่เน้นเท่แต่ไม่ได้รุนแรงขนาดที่เขียนหน้าเขียนตาทำผมสีแดงทอง”
“ถ้าพูดถึงวงร็อกมันก็ ‘เซอร์’ อยู่แล้ว ออกเป็นแนวเซอร์หมดเลย หรือไม่ก็จะหนักไปเลยอย่างพวก Ebola, Silly Fool แต่ผมว่าเมืองไทยมันยังขาดวงร็อกแบบเน้นแฟชั่น อย่างที่ญี่ปุ่นเวลาเราดูหนังสือแฟชั่น พวกศิลปินวงร็อกเขาจะมาถ่ายแฟชั่นเยอะกว่าพวกนางแบบนายแบบอีก เมืองไทยไม่มี คนที่ถ่ายแบบต้องเป็นดารา เป็นนักแสดง หรือเป็นนักร้องที่มีหน้าตาดี ซึ่งมันค่อนข้างจำกัด ทำไมบ้านเราไม่มีอย่างนี้บ้าง เป็นวงซึ่งหน้าตาดีประมาณหนึ่ง แล้วก็มีเรื่องของแฟชั่นเขามาเกี่ยว ดนตรีก็ต้องเยี่ยมด้วย มันน่าจะเป็นไอดอลให้หลายๆคนได้”
“ผมว่าแฟชั่นที่เราจะเอามาร้องเพลงมันน่าจะมีบ้าง เดี๋ยวนี้พอเอาไปเอามาก็เป็นเกาหลีออกมาเต้นกันหมด มันยังขาดตรงนี้ซึ่งเราอยากทำ แต่การที่จะทำได้มันก็ต้องเล็งเห็นว่าขายได้ด้วยซึ่งมันก็ต้องใช้เวลา”
เมื่อคนมีฝันสามารถทำฝันนั้นให้กลายเป็นความจริงได้ก็ถือเป็นสุดยอดของคนมีฝัน แต่สำหรับคนที่ยังคงรักษาความฝันที่มีไว้ผ่านเวลามาได้เนิ่นนาน เพราะมันไม่อาจเป็นจริงได้หรือเป็นไปได้ยากเต็มที บางทีความฝันก็อาจจะพาให้คนๆนั้นไปได้ไกลเกินกว่าที่ฝันไว้ก็เป็นได้ และฝันนั้นก็อาจจะเป็นเพียงฝันที่แสนจะธรรมดาเช่นที่นักร้องหนุ่มคนนี้มี
“ผมอยากมีครอบครัวที่มีความสุขแล้วก็มีธุรกิจที่สนับสนุนครอบครัวต่อไปได้เรื่อยๆ ผมว่าเป็นเบสิคของใครหลายๆคน แต่แค่ตอนนี้เรามาอยู่ในวงการบันเทิงคือมันเป็นช่วงหนึ่งที่เราอาจจะหลุดมาจากเส้นทางตรงนี้เราก็อาจจะได้ทำอะไรที่เราอยากทำ ถึงเวลาจุดหนึ่งมันก็ต้องกลับไปทางเดิม สุดท้ายมันก็ต้องเดินตามเส้นทางที่เราวางไว้เหมือนเดิม เพราะผมคิดว่าผมเป็นคนไม่เหมาะกับการอยู่วงการบันเทิงไปนานๆ คือผมไม่ชอบความวุ่นวายเท่าไร อยากมีชีวิตแบบสบายๆจะอยู่แบบมีความสุข อยู่บ้านนอก คือผมวางแผนไว้แล้วว่าถ้าออกจากวงการจะกลับไปอยู่ขอนแก่นแน่นอน แต่จะอยู่ถึงเมื่อไรหรือจะกลับไปเมื่อไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“อาจจะเป็นเพราะว่าผมอยู่ขอนแก่นมาตั้งแต่เด็ก ที่เราอยู่ในจุดนั้นมันมีอะไรหลายๆอย่างที่ดีกว่า เอาง่ายๆการเดินทางก็ง่ายกว่า ผู้คนที่อยู่รอบข้างมันมีความจริงใจให้กันมากกว่า เพราะว่ามันไม่มีการแข่งขันสูงเหมือนในกรุงเทพฯ ค่าครองชีพต่ำกว่า มันก็ทำให้เราสบาย พ่อแม่เราก็อยู่ที่นั่น เพื่อนเราอยู่ที่นั่นเยอะ เวลาที่ป่วยเพื่อนเราก็เป็นหมออยู่ที่นั่น ทำไมเราต้องอยู่กรุงเทพฯ มันสู้บ้านเราไม่ได้”
“พอมันได้มาเป็นนักร้องซึ่งตรงนี้มันก็คาดเดาไม่ได้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป แต่สุดท้ายแล้วยังไงๆ ความรู้ที่เราเรียนมาการบริหารทั้งหมดมันต้องได้ใช้อยู่ดี เพราะการทำงานในวงการบันเทิงมันเป็นแค่ระยะเวลาหนึ่ง มันทำไม่ได้ตลอดชีวิต หลายๆคนอาจจะบอกว่าวันนี้คุณเป็นพระเอก วันหน้าคุณเป็นพ่อก็ได้ต่อไปก็เป็นปู่พระเอก เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น จะให้เป็นอย่างพี่เบิร์ดก็ไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ได้เป็นคนที่มีความฝันขนาดนั้น แล้วเราก็ไม่ได้เป็นคนที่เก่งขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราขอทำในช่วงเวลาที่เรายังแฮปปี้อยู่”
“ผมมั่นใจอย่างหนึ่งก่อนจะมีครอบครัวต้องออกจากวงการต้องมีธุรกิจอย่างหนึ่งแล้ว หรือยังไม่ออกจากวงการก็ได้แต่ว่าเราต้องมีธุรกิจอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มันมั่นคงกว่าการอยู่ในวงการบันเทิง”
คงเพราะเขารู้ซึ้งถึงความจริงของโลกบันเทิงว่าเป็นเช่นไร จึงยังไม่ปล่อยหลักยึดของชีวิตที่แท้จริงไป และทบทวนชะตาของตัวเองซึ่งทำให้เขาเข้ามายืนอยู่ในจุดนี้ได้
“ถ้าหากไม่มีโครงการเดอะสตาร์ผมก็คงอยู่บ้านเหมือนเดิม”