xs
xsm
sm
md
lg

สาระแนห้าวเป้ง กับปรากฏการณ์ ‘หนังห่วยทำเงิน’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

จากงานเลี้ยงฉลองรายรับ 50 ล้านบาทตั้งแต่ในวีคแรกๆ ที่เข้าฉาย ดูเหมือนว่าความดีอกดีใจของทีมงานที่มีส่วนร่วมในหนังอย่าง “สาระแนห้าวเป้ง” จะยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะหลังจากนั้น เราก็ยังได้ยินข่าวออกมาเรื่อยๆ ว่า รายรับของสาระแนฯ ยังคง “เดิน” ไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน พร้อมๆ กับที่มีข่าวแพลมๆ ออกมาว่า อาจจะมีสาระแนฯ ภาค 2 ตามมาอีก ขณะที่เจ้าสัวใหญ่แห่งค่ายหนังตราใบโพธิ์อย่าง “เสี่ยงเจียง-สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” ก็ออกมาแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าหนังเรื่องนี้น่าจะตีตลาดต่างประเทศได้ดีอีกทอดหนึ่ง


อันที่จริง ทั้งผมและคุณก็คงเห็นว่า การที่หนังอย่างสาระแนฯ จะทำเงินได้ขนาดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ “เข้าใจไม่ได้” เพราะต่อให้เราจะไม่พยายามไปคิดว่า อันธรรมดาคนเรานั้นมีความสุขกับการเห็นคนอื่นถูกแกล้งถูกอำ (เรียกว่า “ขำ” บนความทุกข์ทรมานของผู้อื่น) แต่ก็ต้องยอมรับว่า หนังอย่างสาระแนฯ นั้น มี “ต้นทุน” ที่แข็งแรงอยู่ในตัวเองพอสมควร

อย่างหนึ่งคือ การที่เป็นรายการทีวีมาก่อน ก็ทำให้ไม่ยากต่อการแนะนำตัวเองกับคนดูหนัง (อย่างน้อยๆ ก็ช่วยลดความเหน็ดเหนื่อยในการพีอาร์ประชาสัมพันธ์ไปได้ระดับหนึ่ง เพราะคุณไม่ต้องไปเริ่มนับศูนย์ใหม่เหมือนหนังอีกร้อยๆ พันๆ เรื่องที่ไม่ได้งอกมาจากรายการโทรทัศน์) นั่นยังไม่ต้องพูดถึงว่า รายการสาระแนฯ ที่ยืนหยัดตัวเองอยู่ในจอแก้วมายาวนานนับ 10 ปีก็การันตีได้ระดับหนึ่งถึงความนิยมที่คนดูทีวีมีให้ต่อรายการนี้

และประการต่อมา ไม่ว่าคุณจะชอบหรือจะชัง 3 หนุ่มทีมสาระแนอย่าง “วิลลี่-เปิ้ล-หอย” แต่คุณจะปฏิเสธได้ล่ะหรือ ว่าทั้ง 3 คนไม่ใช่ “คนชื่นชอบ” ของประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งยินดีที่จะจ่ายเพื่อเข้าไปสนับสนุนสินค้าของพวกเขา

แต่พูดก็พูดเถอะ ไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะได้ร้อยล้านหรือกี่ล้าน สิ่งที่เราจะมองเห็นคล้ายๆ กันก็คือว่า หนังแบบนี้ไม่ได้ต้องการความเป็นศิลปะอะไรมากมาย และอย่ามาทำเป็นเบบี๋ไม่รู้เรื่องรู้ราวนะครับว่า ความสำเร็จทางรายรับทั้งหมดของหนังเรื่องนี้นั้น เกิดจากปัจจัยเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ อาศัยสิ่งที่ฮิตๆ อยู่แล้วจากที่ที่หนึ่ง เอาไปต่อยอด “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ในอีกที่หนึ่ง โดยมีวิธีการ “โปรโมตโฆษณา” เป็นตัวผลักที่สำคัญ

มันน่าคิดนะครับว่า จะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดวันหนึ่ง “ความสำคัญ” ของการทำหนังไม่ใช่เรื่องของการทำบทหนังให้ดีๆ หรือครีเอทโปรดักชั่นงานสร้างให้เจ๋งๆ อีกต่อไป หรือคนทำหนังไม่ต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวกันอีกแล้วว่าจะนำเสนอเนื้อหาสาระแบบไหนต่อคนดู แต่โจทย์แรกที่จะถูกยกขึ้นโต๊ะก็คือ จะทำการโปรโมตโฆษณาหนังแบบไหนดี?

แน่นอนล่ะว่า บทเรียนหนึ่งซึ่งหนังอย่างสาระแนฯ ส่งเสียงบอกกับเราๆ ท่านๆ (และคนทำหนังที่อาจจะยังมองไม่เห็น “ทางรวย”) ก็คือว่า ถ้าคุณคิดจะทำหนังที่ “หวังเงิน” เป็นเป้าหมาย คุณไม่ต้องอะไรมากมายหรอก ก็แค่มองหา “วัตถุดิบ” ที่มันฮิตๆ อยู่แล้ว มาปรับนิดแปลงหน่อย แล้วปล่อยโฆษณาเด็ดๆ เท่านี้ คุณก็อาจจะมีเงินใช้สบายๆ ต่อไปอีกหลายปี

ว่ากันอย่างถึงที่สุด การทำเงินถล่มทลายของสาระแนฯ ที่คาดว่าคงจะครองตำแหน่งหนังร้อยล้านเรื่องแรกของปีนี้ไปได้แน่ๆ นอนๆ แล้ว (และก็เดาได้อีกว่า นี่น่าจะเป็นหนังไทยร้อยล้านเพียงเรื่องเดียวของ พ.ศ.นี้ด้วย) ทำให้ผมนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เดอะมัมมี่ ภาค 3 เข้าฉาย และมันก็กลายเป็นที่จดจำสำหรับปีที่แล้วไปเลย

ซึ่งที่บอกว่าเป็นที่จดจำ ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นหนังที่ทำเงินได้เกินร้อยล้าน แต่เป็นที่จดจำในฐานะของ “หนังห่วยทำเงิน” เพราะถ้าคุณเป็นแฟนเดอะมัมมี่ตัวจริง คุณก็คงมองออกว่า ภาคที่สามนั้นทำให้มัมมี่เสียเครดิตไปแค่ไหนในแง่ของความเป็นหนังดีๆ

ในทำนองเดียวกัน การที่สาระแนฯ ทำเงินได้ร้อยล้านก็ไม่ได้หมายความว่านี่คือหนังดีที่น่ากราบไหว้ ขณะที่หลายๆ คนก็พลอยเข้าใจไปอย่างเป็นตุเป็นตะว่า ถ้าหนังไม่ดีจริง มันจะทำเงินได้ขนาดนั้นหรือ?

โดยส่วนตัว ผมว่า อย่าเพิ่งพูดถึงขั้นที่ว่า หนังดีไม่ดีเลยครับ แต่บอกแค่ว่า สาระแนห้าวเป้ง “จับจุดตลาด” ถูก เท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว

แล้วรู้ไหม สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้คืออะไร?

แน่นอนครับ...ทำหนังให้ขายได้นั้น อาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ทำหนังให้ดีด้วย ทำเงินด้วย นั้นยากยิ่งกว่า

แต่ทำหนังให้ดีด้วย ให้ทำเงินด้วย ว่ายากแล้ว ผมกลับเจออะไรที่มันยากยิ่งกว่านั้นอีก หลังจากโดนยิงคำถามโดยคนใกล้ตัวบางคน

คำถามข้อนั้นก็คือว่า ถ้าให้คุณเลือกดูหนังสองเรื่อง ระหว่างหนังที่คนทำเจตนาดีและตั้งอกตั้งใจทำออกมาเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติอย่าง “2022 สึนามิ วันโลกสังหาร” กับหนังที่ทำออกมาลวกๆ พอให้ขายได้อย่าง “สาระแนห้าวเป้ง” (คำว่า “ลวกๆ” เป็นคำของเขาคนนั้นนะครับ ไม่ใช่หลุดออกมาจากปากผม) คุณจะเลือกดูหนังเรื่องไหน?

และในขณะที่เจ้าของคำถามนั้นแสดงจุดยืนออกมาว่า เขาเลือกดูสึนามิดีกว่า เพราะคนทำเขา “เจตนาดี” ผมกลับอึ้งกิมกี่ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะว่ากันตามจริง ให้ตอบว่าสาระแนฯ จะมีภาคต่อหรือเปล่า หรือว่าผู้กำกับหนังสามิจะต้องใช้หนี้ไปอีกกี่ปี ผมว่าน่าจะตอบง่ายกว่ากันเยอะเลยนะ

จริงไหมครับ คุณผู้อ่าน?

กำลังโหลดความคิดเห็น