“อุ้ม” นร.สาวไทย ขอโทษ กรณีให้ข่าวว่าตัวเองได้รางวัลหนังสั้นที่คานส์ ยัน ไม่ตั้งใจโกหก อ้าง เป็นเพราะเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองได้รางวัล ออกปากเสียใจ ที่ทำให้หลายฝ่ายเสียหาย ก่อนรับ เครียดจนร้องไห้ทุกวัน ด้าน “ปรัชญา” โดดป้อง สาวอุ้มภาษาไทยไม่แตกฉาน จึงทำให้การสื่อสารผิดพลาด ปฏิเสธมีส่วนรู้เห็น ย้ำ เพิ่งรู้เหมือนกัน
กลายเป็นเรื่องโอละพ่อไปซะงั้น สำหรับข่าวคราวที่ "อุ้ม พรภัชญา สุพรรณรัตน์" นักเรียนสาวไทยวัย 24 ปี ไปคว้ารางวัล "Best Student Film" และ "Official Selection" จากหนัง "Revenge Tragedies" และ "Unfaithfully Yours" จากเทศกาลภาพยนตร์ "คานส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์ม เฟสติวัล 2009" ที่จัดขึ้นในวันที่ 13-24 พ.ค.ที่ประเทศฝรั่งเศส จนเป็นข่าวดังกระหึ่มสร้างความตื่นเต้นดีใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ไปเมื่อหลายวันก่อน
กระทั่งถูกสื่อจ่อคิวสัมภาษณ์ยาวเหยียด ส่งผลให้ชื่อเสียงโด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน แต่ในขณะเดียวกันก็ได้มีหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะในเว็บไซต์ต่างๆ พร้อมกับนำหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ เป็นการยืนยันว่าข่าวการได้รับรางวัลของเธอไม่เป็นความจริง ทั้งหมดเป็นเรื่องแหกตาทั้งเพ
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความกดดันให้เธอ จนกระทั่งต้องออกมาสารภาพผิดด้วยตัวเอง กลางรายการ "เที่ยงวันทันเหตุการณ์" ทางช่อง3 ซึ่งดำเนินรายการโดย "วิศาล ดิลกวณิช" เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา ว่าทั้ง 2 รางวัล เป็นเรื่องเข้าใจผิดของการสื่อสารที่ผิดพลาดเท่านั้น ซึ่งก็ทำเอาคนไทยผิดหวังไปตามๆ กัน
ล่าสุด เจ้าตัวได้เดินทางมาเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก ที่ โรงหนังเฮ้าส์ อาร์ซีเอ(House Rca) พร้อมด้วย “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” และ “ศรีรัตน์ นุชนิยม” ซึ่งเป็นตัวแทนมาจากสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ โดยเจ้าตัวได้เปิดชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ได้ส่งหนังเรื่อง Revenge Tragedies ไปให้กับเอเจนซี่ ที่จัดส่งหนังเข้าประกวดในเทศกาลต่างๆ รวมแล้วกว่า 23 เทศกาล แต่ที่เมืองคานส์เป็นเพียงการนำไปฉายที่บูธ เพื่อให้คนมาดูและวิจารณ์ผลงานเฉยๆ ไม่ได้ส่งเข้าประกวดแต่อย่างใด
ส่วนต้นเหตุของการเข้าใจผิด เธอบอกว่ามาจากคำว่า Best Student Film ซึ่งคำดังกล่าวเป็นคำชมของคนดูที่ส่งมาทางอีเมล์ ไม่ได้หมายถึงการได้รับรางวัล อย่างที่ตัวเองเข้าใจแต่อย่างใด ทั้งนี้เจ้าตัวบอกว่า รู้สึกเสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ด้านปรัชญาออกตัวแทน อีกฝ่ายไม่เจตนาโกหกหลอกลวง แต่เป็นเพราะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารภาษาไทย
ปรัชญา : “ก่อนอื่นขอพูดจากใจจริงผมเลยนะว่า จากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมขอแสดงความเสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็คุยกับน้องแล้ว ผมอธิบายกับน้องแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ดีทีสุดคือน้องต้องออกมาพูดจากใจจริงวันนี้ ยอมรับว่ามีความผิดอยู่แล้ว ผิดที่ทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายขนาดนี้ แต่ว่าผิดยังไงให้น้องเขากล่าวจากใจอีกทีดีกว่า”
“ระหว่างผมกับน้องเขา เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปอเมริกา แล้วมีคนแนะนำให้รู้จักกับน้องเพราะน้องเรียนภาพยนตร์ที่นั่น และจากการที่ได้รู้จักกัน ทำให้ผมเห็นมุมมองและทำให้มีโอกาสเห็นผลงานของเขา เป็นหนังสั้น ตอนนั้นเขาทำเสร็จแล้วหนึ่งเรื่อง แล้วหนังสั้นเรื่องนั้นก็เป็นหนังสั้นที่โดดเด่นในห้องเรียนของเขา เพื่อนๆ ในห้องก็โหวตให้ว่าหนังสั้นของน้องอุ้มเป็นหนังสั้นที่ทุกคนยอมรับ เพื่อนๆ ก็ปรบมือให้อันดับหนึ่งเพราะดีที่สุด แล้วเท่าที่ผมดูก็ถือว่าดี ความเป็นผู้หญิงอายุเท่านี้ บวกกับหนังสั้นที่ออกมาผมพอใจ”
“หลังจากนั้นน้องอุ้มก็เดินทางกลับมาเมืองไทย เพื่อการทำหนังสั้นเรื่องที่สอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อจะจบ ผมก็เลยเป็นโปรดิวเซอร์หนังเรื่องนั้นให้ สคริปและการกำกับเป็นของน้องอุ้ม พอเสร็จผมได้ดูเป็นบางส่วน เพราะมีการตัดแบบหยาบๆ ออกมา เพื่อที่จะส่งอาจารย์ก่อนที่จะบินกลับ เพราะว่าเรื่องไข้หวัดหมู และผมรู้สึกชอบเรื่องที่สองมากกว่าเรื่องแรก ทำให้ไอเดียที่น้องบอกว่าถ้าเรียนจบอยากกลับมาทำหนัง มันก็เลยถูกพูดคุยกันต่อมาเรื่อยๆ”
“ผลสุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจจะทำหนังกับน้องอุ้มครับ ส่วนผมจะเป็นโปรดิวเซอร์ให้ และได้มีการพูดคุยกับเสี่ยเจียงแล้ว และเสี่ยเจียงก็สนใจแล้ว แต่ทั้งหมดเพิ่งเป็นการคุยกันไปเมื่อไม่นานนี้เอง ซึ่งในเบื้องต้นเสี่ยเจียงอนุมัติแล้ว และจะต้องมีขั้นตอนต่างๆ ต่อไป แต่หลังจากโปรเจ็กต์อนุมัติแล้ว ถึงเกิดเรื่องการให้สัมภาษณ์ของน้องอุ้ม และมีข่าวว่าน้องชนะรางวัลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ และหลังจากที่ผมพบกับน้องอุ้มมา และเราคุยกันมาตลอด ส่วนตัวผมไม่เคยสนใจหนังสั้นของน้องอุ้มที่ส่งไปในเทศกาลเลย คือน้องก็มาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ว่าส่งไปที่นั่นส่งไปที่นี่”
“ซึ่งน้องก็บอกว่าเขาตอบกลับมาเรื่องนั้นเรื่องนี้นะ ซึ่งผมไม่ได้ใส่ใจตรงนั้นเลย ไม่ได้เอามาดูว่ามันได้ที่ไหนบ้าง ได้จริงไม่จริง เนื่องจากว่ามันน่าจะเป็นไปได้ เพราะเห็นผลงานเขาแล้ว จึงเชื่อว่าเป็นไปได้ ผมยังรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่เห็นน้องอุ้มขยันทำหนังสั้น แล้วขยันส่งเทศกาล ผมยังแอบมองเลยว่า ถ้ากลับมาบ้านเราแล้ว มันเป็นเรื่องที่ดีที่มีเด็กมีโอกาสแบบนี้ เป็นเรื่องที่ดีของวงการหนังไทย ว่าคนที่ทำหนังสั้นแล้วรู้จักที่จะนำผลงานส่งไปตามเทศกาลต่างๆ เพราะหลายๆ เทศกาลเขาเปิดรับอยู่แล้ว แต่ในรายละเอียดผมไม่ได้ไปรู้อะไรกับน้องอุ้มเลย เพราะผมไม่ได้สนใจ ผมสนใจเขาจากผลงานและจากการคุย”
“ผมขายโปรเจ็กต์กับเสี่ยเจียงผ่านคืนวันที่ 21 พอวันที่ 22 น้องอุ้มเขาจัดงานวันเกิด ผมก็เลยเอาข่าวดีนี้ไปเป็นของขวัญวันเกิดให้เขา แล้ววันที่ 24 หนังสือพิมพ์ข่าวสดก็นัดน้องอุ้มสัมภาษณ์ เรื่องเรียนเรื่องอะไร แล้วตอนสัมภาษณ์น้องอุ้มก็เล่าเรื่องคานส์ เล่าเรื่องอะไรที่ไปเจอมา แล้วทำให้ลงข่าวว่าน้องอุ้มได้รับรางวัล แล้วเช้าวันที่ 25 ตอนตีสี่ผมก็ได้ดูทีวีช่อง3 ก็เอาข่าวที่พาดหัวน้องอุ้มชนะรางวัลมาออกทีวี ผมยังตกใจเลย ว่าน้องอุ้มได้รางวัลเหรอ น้องอุ้มชนะเหรอ ตอนแรกผมก็เชื่อว่าน้องอุ้มได้รางวัล ผมก็ดีใจไปด้วย”
“หลังจากนั้นพอกลางวันวันที่ 25 ก็มีรายการทีวีติดต่อขอสัมภาษณ์น้องอุ้มมากขึ้น ไอ้เรื่องขอสัมภาษณ์ผมไม่ไปยุ่งกับน้องอุ้มเลยเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวเขา หลายๆ สื่อก็ติดต่อตรงไปที่น้อง แต่พอตกเย็นวันที่ 25 น้องอุ้มโทร.หาผม เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่ามันมีการเข้าใจผิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว แต่เขาไม่ได้พูดชัดเจนว่าความเข้าใจผิดคืออะไร แต่ที่แน่ๆ คือเกี่ยวกับคานส์ ปกติผมจะยุ่งมากๆ เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยมีเวลาคุยกับน้องอุ้มเท่าไหร่”
“แต่น้องบอกว่าสงสัยจะมีปัญหารึเปล่ากับรางวัลที่คานส์ ผมก็ถาม แต่จับใจความได้ไม่ค่อยชัดว่าน้องอุ้มพูดว่าอะไร แต่ผมก็บอกว่าตรงนี้สำคัญมาก ให้ไปเช็คในอินเตอร์เน็ต ว่ารางวัลที่น้องอุ้มว่ามามันเป็นรางวัลอะไร ซึ่งเท่าที่ผมจับใจความได้ก็คือ Best Student Film คำๆ นี้ส่วนตัวผมก็คิดว่ารางวัลชนะเลิศ แต่ที่น้องอุ้มอธิบายมาคือ คำว่า Best อะไรก็ตาม บางทีมันไม่ได้มีแค่รางวัลเดียว อย่างเช่นมี 10 รางวัล ก็ Best ทั้ง 10 เลย น้องก็เล่าให้ผมฟังแบบนี้ ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังเข้าใจอยู่ว่าน้องได้รางวัลที่คานส์”
“ผมก็เลยแนะนำไปว่าไปเช็คอินเตอร์เน็ต แต่ว่าหาข้อมูลไม่เจอว่าเป็นรางวัลอะไร น้องอุ้มก็หาไม่เจอ แล้ววันที่ 26 มีคิวสัมภาษณ์เยอะเหมือนกัน ผมก็เลยแนะนำไปว่าให้น้องออกตัวก่อนว่า รางวัลที่คานส์อาจจะไม่ใช่รางวัลเดียวนะ แต่ว่ารางวัลเป็นยังไงน้องอุ้มยังไม่รู้ ให้แจ้งสื่อด้วย และย้ำตลอดว่าตรงนี้สำคัญมากๆ นะ เพราะเดี๋ยวจะเข้าใจผิดกัน เดี๋ยวจะหาว่าเราโมเม”
“วันที่ 25 รายการของคุณวิศาล(ดิลกวณิช) ซึ่งคุณวิศาลก็ต้องอ่านจากข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์ ว่าน้องอุ้มได้รางวัล เพื่อให้คนไทยแสดงความยินดีที่น้องได้รับรางวัล ทีนี้วันที่ 26 คุณวิศาลอยากสัมภาษณ์น้องอุ้มเอง น้องก็มาเล่าให้ฟังแต่ก็ไม่ได้ยุ่ง ก็ปล่อยให้เขาไป แต่เราก็ได้ย้ำไปอีกว่าให้อธิบายรางวัลที่เกี่ยวกับคานส์ ว่าไม่รู้ว่าเป็นยังไงนะ ซึ่งใช้เวลานานเหมือนกันในการอธิบาย ว่าความเข้าใจผิดมันจะเป็นยังไง แต่น้องอุ้มเขาก็คิดว่าในเมื่อคำว่า Best Film มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว”
“ผมยอมรับอย่างนึงว่า ตั้งแต่รู้จักกันมา เรื่องภาษาไทยของน้องจะใช้คำผิดอยู่เรื่อย เป็นเรื่องของคำนะครับ ไม่ได้เป็นทั้งประโยค อย่างเช่นคำเรียกผมว่าอา แต่ว่า ต้อม ยุทธเลิศ กับ อ็อด บัณฑิต เขาอายุน้อยกว่าผม แต่น้องเรียกว่าลุง คือเขาเข้าใจคำว่าอากับลุงสลับกัน มีหลายคำที่ผมจำไม่ได้ แต่ผมยืนยันได้ว่าข้างในไม่มีอะไร การใช้ภาษาไทยเขามีปัญหามาตลอด ส่วนตัวผมเรื่องนี้มองว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่การไปออกสื่อมันเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งก็ยอมรับว่าข้อมูลที่พูดออกไปถือว่าผิด แต่ไม่ได้ผิดทั้งหมด แต่มีอะไรที่ผิดบ้าง อะไรที่ถูกบ้างอยากให้น้องอธิบายด้วยตัวเขาเอง”
“บางคนสงสัยว่าทำไมถึงเพิ่งออกมาพูดวันนี้ ในเมื่อเรื่องเกิดตั้งแต่วันที่ 25 ที่ผมรู้เรื่อง แต่ผมยืนยันนะว่าตอนนั้นเขาได้รางวัลอยู่ ก็เลยคิดว่าให้น้องแก้ข่าวด้วยตัวเขาเองตั้งแต่วันที่ 26 แล้วพอวันที่ 27 ผมก็เริ่มเห็นข้อมูลอะไรที่มากกว่านั้น เริ่มเห็นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต อ่านแล้วรู้สึกว่ามันต้องเป็นปัญหาแล้ว แต่ว่าวันที่ 27 ผมไปเชียงใหม่แล้ว ซึ่งก็บอกน้องไปว่าหลังจากวันที่ 27 ให้หยุดสัมภาษณ์ก่อน แล้วก็กลับมาทำความเข้าใจกับข้อมูลทั้งหมด จากที่ไม่เคยสนใจเลย ดูทั้งจากข้อมูลและความเห็นจากหลายๆ ที่ จากนั้นวันที่ 28 ผมนัดน้องเคลียร์ทุกอย่างกันสองคน ซึ่งตอนนั้นผมก็มั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้รับรางวัลที่คานส์แน่ๆ แล้วผมก็เริ่มประเมินสถานการณ์ว่ามันเริ่มไม่ดี มันหนักมาก ผ่านไปหลายวันแล้วด้วยยิ่งหนักไปใหญ่เลย คือน้องอุ้มต้องขอโทษแล้วล่ะ”
“ผมอยากให้น้องอุ้มขอโทษด้วยความรู้สึกจริงๆ ของเขา ก็ยอมรับว่าใช้เวลาอธิบายกับเขาหลายๆ เรื่อง กว่าเขาจะเข้าใจว่าอันนี้คืออะไร อันนี้คืออะไร เพราะเขาเองก็มีความมั่นใจในคาแรคเตอร์ของเขา ส่วนอะไรคือถูกอะไรคือผิด ผมได้อธิบายกับเขาไปหมดแล้ว แล้วที่เขามาวันนี้เขามาด้วยความรู้สึกจริงๆ ครับ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ หลังจากที่ออกรายการของคุณวิศาลเขาก็บินไปพักผ่อนต่างประเทศ กลับมาวันจันทร์เราก็คุยกันต่อ แล้วก็มีวันนี้ที่ต้องขอโทษ”
“ส่วนวันที่ไปออกรายการกับคุณวิศาล(รอบที่สอง 29 พ.ค.) ยอมรับตรงๆ ว่าเราอยากขอโทษอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยเวลาที่มันน้อยซึ่งเรายังไม่ทันตั้งตัว ผมเกร็งนะ ผมเกร็งในประเด็นที่สื่อเข้าใจผิด น้องอุ้มก็เกร็งด้วย พอรายการหมดไปเราก็มานั่งไล่ดูว่ามีอะไรที่เราไม่เคลียร์บ้าง กลายเป็นว่าสิ่งที่ยังไม่เคลียร์ก็คือคำขอโทษ ที่ลืมพูด แต่เรายืนยันว่าเราเริ่มพูดตั้งแต่ก่อนวันนั้นหนึ่งวัน ในรายการโต๊ะข่าวบันเทิง(ช่อง3) ที่มีนักข่าวไปสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศ น้องอุ้มก็เริ่มพูดความรู้สึกไม่ดีออกมาแล้วว่า เขาเสียใจ”
“แล้วก็มีบางเรื่องที่ผมพยายามจะอธิบาย แต่ในเวลาอันน้อยนั้น และบวกกับคุมประเด็นไม่ดีของผมเองด้วย เลยทำให้เกิดความเข้าใจผิด และผมก็โดนไปด้วยว่า กลายเป็นว่าผมพูดจาดูถูกคนไทย เกี่ยวกับเรื่องการอธิบายในเรื่องรางวัลของหนัง ซึ่งอันนี้ผมไม่อยากแก้ตัวตรงนี้มาก แต่ผมขอแสดงความเสียใจ ว่าทำให้คนไทยเข้าใจตรงนี้ผิดไป แต่ผมไม่ใช่คนนิสัยดูถูกคนไทย เพียงแต่ผมได้ยืนยันประเด็นที่ผมพูดอยู่ เพียงแต่ว่าถ้าใครยังสนใจประเด็นที่ผมพูดวันนั้น ก็ขอนัดคุยวันหลังก็ได้ แต่ผมยังยืนยันประเด็นที่ผมพูดอยู่นะครับ เพียงแต่ว่าคำพูดบางคำทำให้คนเข้าใจว่าผมไปดูถูกคนไทย ซึ่งผมขอแก้ตัวแค่นี้ และขอโทษตรงนี้ครับ”
พร้อมกันนี้ “นายศรีรัตน์ นุชนิยม” ตัวแทนมาจากสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ได้เข้าร่วมการแถลงข่าวด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า หลังจากที่ทราบข่าวว่าอุ้มได้รับรางวัลที่เมืองคานส์ ทางสมาพันธ์ก็เตรียมการที่จะทำการมอบรางวัลชื่นชมให้ทันที ซึ่งก็เท่ากับว่าอุ้มทำความเสียหายให้สื่อหลายๆ สื่อ รวมทั้งสมาพันธ์ด้วย จึงเป็นเหตุให้ต้องเดินทางมาร่วมในการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย
ศรีรัตน์ : “เมื่อเราได้ทราบข่าวน้องอุ้ม ก็ได้ทำการเช็คข่าวกับทางหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าว และมีการเก็บบันทึกสิ่งเหล่านั้นไว้ จริงๆ ถ้าผมอยู่ออฟฟิศผมจะเช็คกับทางคานส์โดยตรงเลย แต่เนื่องจากเห็นภาพยืนยันในเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งก็มีรายละเอียดยืนยันทั้งหมด แล้วมันก็เป็นประเพณีของสมาพันธ์ เมื่อมีคนไทยทำชื่อเสียงเราก็จะดำเนินการเชิดชูเขา ตั้งแต่ เจ้ย อภิชาตพงศ์ ได้รับรางวัล เราก็จัดพิธีให้เกียรติกับเขา ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เพราะก็มีเรื่องนางไม้ของคุณเป็นเอกด้วย”
“และประจวบเหมาะกับวันที่ 10 เป็นวันประชุมสามัญของสมาพันธ์ ก็เลยมีโปรแกรมที่จะมอบโล่เกียรติยศให้ทั้งสามสี่ท่าน รวมถึงคุณสรพงษ์ ชาตรี ด้วย ซึ่งอุ้มก็อยู่ในรายการนั้น ทำให้ผมออกจดหมายเชิญสมาชิกของสมาพันธ์ทั้งหมด 200 กว่าท่านมาร่วมประชุม จุดนี้ก็เป็นจุดที่ทางคุณปรัชญารู้สึกว่ามันสร้างความเสียหาย แต่ผมคิดว่าคงไม่ใช่เจตนาก็เลยคิดว่าคงชี้แจงกับสมาชิกได้ อันนี้ก็เป็นที่มาว่าเรื่องนี้สัมพันธ์กับสมาพันธ์แห่งชาติยังไง”
“ซึ่งคุณจาฤกษ์(จาฤกษ์ กัลป์จาฤกษ์ นายกสมาพันธ์ฯ)ก็รับทราบเรื่องนี้ และเห็นว่าการแถลงข่าววันนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสดีที่น้องอุ้มเอง ที่อาจจะผิดพลาดในเรื่องภาษาการสื่อสาร ก็เป็นโอกาสดีที่จะเคลียร์ปัญหาเหล่านี้กับสื่อมวลชนครับ ไม่ใช่เพราะว่ากระแสอินเตอร์เน็ตแรง แต่ที่ผมออกมาพูด เพราะว่าผมซีเรียสกับสื่อที่ออกไป และไม่อยากให้คนทั้งประเทศเข้าใจผิดมากกว่า”
หลังจากนั้นก็ถึงคิวของ “อุ้ม พรภัชญา” สารภาพความในใจ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าที่ผ่านมารู้สึกกดดัน จนร้องไห้ทุกวัน
อุ้ม : “สวัสดีค่ะ เออ...ตอนนี้อุ้มเกร็งมาก กลัวว่าจะพูดผิดด้วย ทั้งหมดนี้เกิดจากความผิดพลาดในการเข้าใจคำของอุ้มผิดเองค่ะ แล้วก็ตั้งแต่ที่ให้สัมภาษณ์วันแรกอุ้มก็ไม่ได้ระวัง คือตัวอุ้มเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ และมีการลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง เพราะว่าพี่เขาเคยมาสัมภาษณ์อุ้มก่อน แต่เมื่อก่อนที่มาสัมภาษณ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับเยาวชน เหมือนกับว่านักเรียนไทยที่เอาวัฒนธรรมบ้านเราไปทำหนัง เพื่อเอาไปโชว์ต่างประเทศ ก็เลยเป็นเหตุผลในการทำข่าวกันเกิดขึ้น”
“เออ...ตอนนี้อุ้มพูดไม่ค่อยออก กลัวจะผิด ส่วนตัวคือกว่าที่อุ้มจะเข้าใจว่า คำว่า Best Student Film ที่อุ้มเอามาพูดถึง จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นรางวัลแล้ว ยังเกิดความเสียหายอีก คือส่วนตัวอุ้มเสียใจมากจริงๆ และอุ้มก็พยายามอธิบายใช้เวลามาพักนึงแล้วเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ค่อยสำเร็จ เพราะว่าทำไม่ค่อยเก่งด้วย ส่วนตัวไม่เคยมีความตั้งใจที่จะทำให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย เพราะอุ้มรู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้ เราจะมาพูดโกหกมันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เช็คได้อยู่แล้ว และอุ้มก็ไม่กล้าที่จะไปทำแบบนี้อยู่แล้ว”
“ส่วนคำว่ารางวัลอุ้มเข้าใจว่าอันนี้คือรางวัล ที่อุ้มได้มามี 2 อัน อุ้มเรียกกระดาษ 2 อันนี้ว่าเป็นรางวัล เพราะว่าตอนที่ได้มาอุ้มตื่นเต้นมากๆ และดีใจที่ผลงานเราได้รับใบนี้มา เพราะว่านั่นเป็นหนังเรื่องแรกของอุ้ม แล้วตอนที่ทำเสร็จเพื่อนๆ ในห้องและอาจารย์เขาชอบกันเยอะ อุ้มก็เลยส่งไปเทศกาลเยอะมาก ซึ่งอุ้มต้องขอโทษที่ทำให้เกิดความวุ่นวายนี้เกิดขึ้น ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ และไม่ทราบว่าเรื่องทั้งหมดจะทำให้เป็นแบบนี้ เพราะว่าอุ้มก็เข้าใจแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้ก็เข้าใจแล้ว”
“หนูร้องไห้ทุกวันเลยค่ะ จนถึงเมื่อคืนก็ยังร้องอยู่ คนรอบข้างที่รู้จักอุ้มเขาก็จะไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงโดนแบบนี้ ตอนแรกอุ้มก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเพราะว่า...(ปรัชญาพูดแทรกขึ้นว่า) อุ้มพูดผิดอีกแล้ว ที่เขาบอกว่าคนรอบข้างไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นแบบนี้ เขาหมายถึงว่าคนที่เป็นเพื่อนอุ้ม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอุ้มถึงโกหก เพราะเพื่อนรู้จักนิสัยอุ้มดีว่าไม่ใช่คนโกหกแน่ๆ ไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าทำไมสังคมรู้สึกอย่างนี้กับอุ้ม”
ปรัชญา : “ขอทำความเข้าใจนิดหนึ่งครับ ตัวนี้เป็นการที่ได้เข้ารอบสุดท้าย ไม่ใช่รางวัลนะครับ ซึ่งน้องอาจจะเข้าใจผิด ผมไม่อยากจะยกตัวอย่างกับคนละเรื่องกัน ซึ่งระดับของฟิล์มเฟสติวัลก็ต่างกัน ของเราอาจจะยังไม่รู้จักกันเพราะว่าจะอยู่ในพวกที่เราไม่ค่อยจะรู้จัก เพราะฉะนั้นตรงนี้เหมือนกับว่าเขาได้รับการเข้ารอบสุดท้ายของระดับนี้นะครับ ไม่ใช่ของคานส์นะครับ”
จริงๆ หนังทั้ง 2 เรื่องที่ได้รางวัลมีเป็นรูปธรรมบ้างไหม?
อุ้ม : “มีค่ะ เหมือนกับว่าสองที่นี้แหละที่เขาให้มา คืออุ้มขออธิบายตรงนี้ในส่วนของหนังสั้น”
ปรัชญา : “ผมคิดว่าน่าจะเป็นในส่วนของการแจกแค่ของชำร่วย มันไม่ใช่รางวัลทีนี้น้องเขาก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเพิ่งจบการศึกษามาและในสิ่งที่ทำก็ได้รับความสำเร็จมาในระดับหนึ่ง และเขาก็คงคิดว่านี่คือรางวัลของเขา แต่ยังไม่ชนะและในเอกสารที่โชว์คือเรื่องเดียวนะครับ เข้าใจกันให้ดีนะครับ อีกเรื่องหนึ่ง(Unfaith fully Yours) คือเป็นโครงการที่ยังไม่ได้ทำ ทำเพิ่งเสร็จแต่ยัง เขายังตัดไม่สมบูรณ์คือตัดแบบหยาบๆ ส่งไปให้ที่เขาเรียนอยู่ส่งเพื่อจบครับ”
ศรีรัตน์ : “คือผมต้องเรียนต้องนั้นก่อนว่าที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ก็คือว่าเรื่องที่เขาได้รับมาคือเรื่องนั้น ก็ยังเป็นหนังที่ไม่สมบูรณ์ครับ แต่ว่าทางที่คานส์ที่เขาได้ไปดูหนังเรื่องแรก แล้วเขาติดต่อมาหาอุ้มว่ามีเรื่องไหม เฉพาะเรื่องแรกครับอุ้มเขาก็ส่งไป”
ตกลงหนังเรื่องนี้ได้ฉายให้คนได้ดูไหม?
อุ้ม : “ใช่ค่ะ เป็นเหมือนกับว่าในงานอาปรัชญาโชว์ให้อุ้มดู”
ปรัชญา : “ผมขยายเองเดี๋ยวจะเข้าใจน้องผิดอีก คือตอนที่อุ้มส่งอุ้มเขายังไม่รู้ว่าคาแร็คเตอร์เป็นอย่างไร เพราะว่าเขาดูในอินเตอร์เน็ต และก็ดูว่าอันไหนที่หนังสั้นเขาจะสามารถส่งได้ ซึ่งของคานส์จะมีหลายเซคชั่นมากๆ แค่หนังสั้นก็มีหลายเซคชั่น แต่ที่น้องอุ้มติดต่อไปมันส่งอันนี้ได้อันเดียว โดยที่น้องอุ้มเขาไม่รู้ว่าคาแร็คเตอร์เป็นอย่างไร แต่พอมีปัญหาแล้วผมเห็นในอินเตอร์เน็ตด้วย เกี่ยวกับคาแร็คเตอร์เรื่องนั้น คือผมเคยเตือนเหมือนกัน แต่ไม่รู้รายละเอียดตรงนั้นแต่หลังจากนั้นรู้แล้ว”
อุ้ม : “จากที่อุ้มหาในอินเตอร์เน็ตแล้ว ดูว่าอุ้มสามารถจะส่งหนังสั้นเรื่องไหนไปได้บ้าง เขาก็ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของใบไม้ตะแคงของคานส์ไว้ แล้วอุ้มก็เลยส่งเข้าไปคือตัวอุ้ม เหมือนอย่างตอนแรกที่เขาถามว่าจะไปไหม เขาทำบัตรให้ขึ้นมา เป็นบัตรที่ต้องใช้เข้าในงานของคานส์ ส่วนตัวของอุ้ม อุ้มเข้าใจว่าเป็นงานที่อยู่ในเทศกาลงานเดียวกับคานส์”
บอกเป็นเพราะไม่เข้าในเทศกาลของทางเมืองคานส์
อุ้ม : “ค่ะๆ ไม่เข้าใจค่ะ”
ปรัชญา : “ผมยังไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจด้วยคือมันตันต้องยอมรับ ว่ามันเป็นที่ที่เยอะมากจริงๆ เยอะๆ เยอะจนแบบว่าผมคนทำหนัง ผมยังไม่ค่อยเคลียร์ อีกอย่างหนังผมไม่ค่อยได้ไปประกวดที่คานส์ด้วย มีแต่ไปฉายเพราะฉะนั้นเลยไม่ค่อยรู้ และก็ผู้กำกับอีกหลายๆ คนก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างคุณก้องคุณก้องจะรู้ดี เขาจะทำงานในด้านนี้อยู่แล้ว ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องเทศกาลหนังต้องให้คุณก้องอธิบาย แต่ถ้าน้องอุ้มนี้ถามเขา เขาก็ไม่เข้าใจ”
พร้อมชี้แจงถึงอีเมล์ที่ได้รับที่ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นรางวัล ที่แท้เป็นแค่คำชมที่ว่าหนังคุณดี แต่เจ้าตัวคิดว่าเป็นการได้รับรางวัล
อุ้ม : “คือเป็นอีเมล์ชมค่ะ คือพออุ้มรู้ว่าเป็นอีเมล์ชมอุ้มก็ดีใจมาก อุ้มรีบประกาศหมดเลยว่า คือที่อุ้มพูดเหมือนกับว่าเขาชมมานะ Congratulation นะก็เป็นอย่างนี้”
ปรัชญา : “อันนี้ผมขยายนิดหนึ่ง ขยายจากที่น้องอุ้มเขาพูดไปจะได้เข้าใจ คือพอเราส่งไปที่ทราฟฟิกคอนเนอร์ด้วยวิธีใดก็ตามนะผมไม่รู้ เมื่อส่งไปถึงที่นั้นแล้วเขาก็จะมีเจ้าหน้าที่ที่คอยบันทึก เขาจะเอารวบรวมหนังเอาไว้มือพื้นที่ให้ฉายสำหรับใครก็ได้ที่อยากจะดูหนังเรื่องอะไรของใคร แล้วก็จะดูขึ้นจออาจจะเล่นด้วยเครื่องเล่นดีวีดีหรือว่าคอมพิวเตอร์ก็ไม่แน่ใจ และมีหูฟังส่วนตัว คือดูได้ทีละคน แล้วดูเสร็จเขาจะให้คนที่ดูคอมเม้นท์ ชอบไม่ชอบหรือรู้สึกกับหนังนั้นยังไงคอมเม้นท์พิมพ์คอมเม้นท์เอาไว้”
“แล้วทางเจ้าหน้าที่เขาจะรวบรวมคำติชมเหล่านั้นส่งมาให้เจ้าของหนัง ซึ่งผมถามรายละเอียดว่าคำติชมของคนที่ดูเหล่านั้นเท่าที่ได้รวบรวมมา เขาพิมพ์ชื่อคนที่ชมมาด้วยหรือเปล่า แล้วเขาก็บอกว่าไม่มีชื่อ แต่สุดท้ายเหมือนเขารวบรวมมาสุดท้ายลงท้ายมาเป็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของทางทราฟฟิกคอนเนอร์ ซึ่งในนั้นก็จะมีอะไรไม่รู้ไม่ทราบว่าตรงส่วนไหนเขาจะเขียนว่า Congratulation You Best Union File เลยทำให้น้องอุ้มเข้าไปในอย่างนั้น”
ส่วนเหตุผลที่ทำไม เจ้าตัวไม่กลับไปเช็คให้ดีก่อนนั้น ก็เพราะว่า...
อุ้ม : “คือตัวอุ้มเองไม่ได้บอกว่าได้รางวัลเลย คือตอนที่อุ้มได้มาอุ้มก็ไม่มีความรู้สึกว่าอะไรเลย คิดแต่ว่าตื่นเต้นมาdเพราะว่าการเข้าใจของอุ้มว่าคำว่า ทราฟฟิกคอนเนอร์เป็นอะไรที่อยู่ในคานส์ และอุ้มก็พยายามทำหนังของอุ้มได้เข้าไปอยู่ในนั้นให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้รับคำชมมาก และในขณะเดียวกันหนังสั้น พอส่งหนังสั้นปุ๊บเทศกาลหนังจะเหมือนกันหมดเลยซึ่งอุ้มก็ส่งไม่ไหว แต่พอได้จากคานส์คือส่วนตัวอุ้มทราบอยู่แล้ว ว่าเป็นเทศกาลใหญ่มากคือได้คำชมมา อุ้มตื่นเต้นมาก อุ้มก็เลยพูดถึงอันนั้นไปมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันในอีเมล์ที่อุ้มได้มาบอกว่าหนังอุ้มงงก็มีค่ะ บอกว่าดูไม่รู้เรื่องก็มี แต่ว่าอุ้มไม่ได้พูดถึงเพราะว่าไม่ค่อยอยากจะพูดถึง”
ก่อนหน้านี้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ และฉบับที่เอาไปลงหน้าหนึ่งอุ้มพูดว่าอะไร กับคำสัมภาษณ์ครั้งนั้น?
อุ้ม : “อุ้มบอกว่าจากความรู้สึกที่ได้มาจากคานส์ ครั้งนี้ก็คือหนูพูดคำว่า คือถามหนูว่ารู้สึกยังไงอุ้มบอกว่าอุ้มรู้สึกว่านี่เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มาก สำหรับตัวอุ้ม ถ้าเป็นตัวอุ้มแล้วเหมือนกับเป็นรางวัลเลย คือตัวอุ้มเองอาจจะฟังแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่ คืออุ้มไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเป็นการบ้านชิ้นแรกที่ทำออกมาเป็นหนัง แล้วอุ้มพยายามส่งออกไป”
“ส่วนตัวอุ้ม ไม่เคยคิดเลยว่าจะไปได้เข้าไปฉายสักที่หนึ่งเลย แต่ในขณะเดียวกันก็มีที่ตอบรับมา ว่าได้ฉายนั้นก็เป็นรางวัลสำหรับอุ้มอีกเหมือนกัน เพราะว่าหนังทำยาก ส่วนตัวอุ้มเข้าใจว่าคำชมนั้นเป็นรางวัล อุ้มคิดว่าเดี๋ยวต่อไปก็คงจะมีกระดาษมาให้ด้วย เออหนูบอกว่าหนูจะขอโทษ ขอโทษค่ะ คือไม่ได้ตั้งใจจะก่อความวุ่นวายทั้งหมดให้เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นความผิดของอุ้มเอง ที่ว่าใช้ภาษาผิด ไม่ใช่ว่าอุ้มใช้ภาษาไทยไม่เข้าใจนะคะ หมายความว่าคำบางคำที่อุ้มใช้ เกิดจากความเข้าใจส่วนตัว และก็ก่อให้เกิดความวุ่นวาย หนูงงอีกแล้ว”
ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้ปฏิเสธตอนไปออกรายการเลยนั้น เจ้าตัวบอกเป็นเพราะมัวแต่ตื่นเต้น และพะวงกับการให้สัมภาษณ์ ที่สำคัญไม่มีเวลาเตรียมตัวก่อนขึ้นเวทีเลย
อุ้ม : “คือต้องขอพูดเรื่องที่ออกรายการทีวีก่อนนะคะ คืออย่างที่ไปออกวันแรก อุ้มมาดูวีดีโอย้อนหลัง ที่ว่าตัวเองตอบอะไรไปบ้าง คือเอาตอนแรกที่อุ้มไปถึงก่อนเลยดีกว่า อุ้มไปถึงไม่มีเวลาถามกันหลังเวทีก่อน ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพราะว่าทางเขาก็พยายามที่จะให้เอาฮาร์ดดิสก์โชว์คลิปให้ได้ และก็เวลาไม่ทันก็เลยต้องรีบขึ้นเวทีเลย โดยที่ไม่มีการถามก่อน”
“ส่วนตัวอุ้มตอนอยู่ในทีวีเหมือนนิ่งๆ เหมือนกับว่าโอเคกับสถานการณ์ แต่ว่าจริงๆ อุ้มกลัวและก็ตื่นเต้น และนั่นก็คือการออกทีวีครั้งแรกของอุ้ม ตกใจมากค่ะ และก็ฟังแทบจะไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว ก็คือกลัวว่าจะออกมาเอ๋อด้วย เลยตอบค่ะๆๆ ไปก่อน และก็บวกกับตอนที่โดนถามเรื่องรางวัล 18 ที่อุ้มไม่ได้ฟังว่าเป็นรางวัล 18 ที่อุ้มฟังว่าเป็นรางวัลหนังอุ้มส่งไปกี่ที่ และก็ได้ไปที่ไหนมาบ้าง คือตรงนี้เป็นความที่ไม่ค่อยละเอียดของอุ้มเองด้วย เพราะว่าอุ้มเองก็ได้รับการตอบอีเมล์มาเยอะมาก แล้วก็ในขณะเดียวกัน เห็นอะไรแบบนั้นอุ้มเหมารวมหมดเลย”
ปรัชญา : “ผมอยากจะพูดถึงเทศกาลหนังอีกเรื่องหนึ่งครับ เผื่อบางสื่ออาจจะยังไม่เข้าใจ คือเทศกาลหนังนานาชาติที่จัดขึ้นที่ไหนก็ตามในโลกนี้ มันจะมีอยู่ประมาณสองอย่าง อย่างหนึ่งคือเรื่องหนังที่จะเอาไปฉายโชว์ หมายถึงเราจะติดต่อไปหรือทางหนังติดต่อมาเองก็ตาม ถ้าเขาชอบ เขาก็เลือกหนังเรา แต่ถ้าการเลือกแล้วจะมีอยู่สองแบบหนึ่งคือฉายโชว์ สองคือแข่งประกวด”
“แต่โอกาสนี้มันไม่ได้เกิดกับหนังทุกเรื่อง หนังทุกเรื่องจะลงมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่เทศกาลนั้นด้วย แต่เขาก็ต้องเลือกตามจำนวนที่เขาเลือกไว้ว่าเท่าไหร่ ทั้งหมดกี่เรื่อง เพราะฉะนั้นเวลาหนังที่อุ้มส่งไปในหลายๆ เทศกาล ก่อนหน้าที่จะเป็นคานส์ก็มีการตอบกลับมาเลย ทำให้เขาดีใจ และบวกกับความเข้าใจว่าภาษาไทยว่ารางวัล เขาเลยเข้าใจว่านี่คือรางวัล ส่วนอีกอันหนึ่งคือเท่าที่ผมรู้จักเขามา ถ้าเขาพูดภาษาอังกฤษเขาไม่เคยบอกว่าเขาWINNER หรือชนะอะไรมาไม่เคยครับ เขาไม่เคยพูดว่าเขาชนะ แต่เขาพูดตลอดว่าเขาได้รางวัล ผมก็เข้าใจผิดไปด้วย”
อุ้มมารู้ว่าอีเมล์ฉบับนั้นไม่ใช่รางวัลเมื่อไหร่?
อุ้ม : “ประมาณวันที่ 28 ค่ะ คืออุ้มเข้าใจว่าเป็นรางวัลนะคะ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจว่าเป็นการชนะอะไร คือการเข้าใจของอุ้ม อุ้มจะพยายามเก็บอันนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะว่าบอกไม่ถูกค่ะ แต่ว่าคือมันตื่นเต้นมาก แล้วก็อีกอย่างเก็บให้มากที่สุดของอุ้มเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ ตอนนี้ทราบและค่ะว่าไม่ได้”
แล้วที่ให้สัมภาษณ์บอกว่า ที่ไม่ไปรับรางวัลที่คานส์เพราะว่าตอนนั้นมีไข้หวัดหมูล่ะ?
อุ้ม : “อย่างตอนแรกเทศกาลที่ผ่านๆ มาใบนี้อุ้มจะได้มาก็ต่อเมื่ออุ้มตอบกับทางเทศกาลไปแล้ว ว่าอุ้มมาร่วมเทศกาลได้นะ เขาถึงได้เตรียมไว้ให้ อุ้มก็เลยเข้าใจว่าอุ้มอาจจะต้องเตรียมไปร่วมเทศกาลนะ เพื่อจะได้บัตรใบพวกนี้มานั้นคือความเข้าใจของอุ้ม ไม่ค่อยเช็คค่ะ เพราะเหมือนกับว่าไม่ค่อยคิดอะไร ความตั้งใจก็คือว่าพยายามจะเก็บ ตั้งใจแค่นั้น คือเหมือนกับเทศกาลมันฝรั่ง หรือเขาจัดอะไรกันข้างเขาอุ้มก็เอาหนังไปค่ะ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำหนูกลัวไปเลยค่ะ”
“มีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ คือเหมือนกับว่าที่อุ้มอ่านจากคอมเม้นท์ และอุ้มเจอมาเข้าใจว่าอุ้มพยายามพูดภาษาไทยให้ไม่รู้เรื่อง ซึ่งไม่ใช่นะคะ อุ้มพูดภาษาไทยรู้เรื่องค่ะ แต่ว่าความเข้าใจศัพท์ในบางคำของอุ้ม เข้าใจแบบนั้นจริงๆ แล้วก็เป็นความเชื่อที่ไม่รู้จะพูดยังไง และอุ้มไม่มีความพยายามที่จะทำอะไรให้คนไทยว่าอุ้มไม่เคารพ และอุ้มค่อนข้างระวังตรงนั้นมาก เพราะว่าระวังจนบางทีเครียดไปเอง จนบางทีตอบผิดตอบถูก ตอนนี้ก็ต้องระวังมืออุ้มเปียกเลย”
“แต่เรื่องงานอุ้มไม่ท้อค่ะ เรื่องงานอุ้มสู้เต็มที่อยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าในใจลึกๆ เริ่มมีหวั่นๆ ไหม เริ่มมีตลอดเวลาตั้งแต่วันที่เริ่มเป็นข่าวมา อุ้มมีถึงขนาดที่ว่าบอกอาปรัชญาว่า อุ้มไม่อยากไปออกรายการ ไม่อยากจะไปเพราะว่าอุ้มกลัวพลาดและก็จะทำอะไรไม่ไหวแต่ว่า...”
ปรัชญา : “คือวันที่อัดรายการครั้งที่สาม อุ้มพูดว่าจะไม่ยอมไปเลย ถ้าไม่ไปด้วย แต่ใจผมไม่อยากเข้าไปนั่งอยู่ตรงนั้นเลย เพราะว่าเดี๋ยวคนจะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่ แต่ถ้าผมจะยืนอยู่นอกๆ ขอบ ให้เขาอยู่กันสองคน แต่ในระหว่างที่อุ้มพูดผิด ผมจะเขาไปช่วยอะไรไม่ได้ เหมือนอย่างในวันนี้ คือตอนนี้ไม่อยากให้คนมองว่า จะโปรโมทหนังที่จะทำและอีกอย่างหนึ่งวันนี้อยากจะขอโทษมากกว่า และก็จะเคลียร์ว่าไม่ได้มีเจตนาโกหกแค่นั้นเอง”
เสียใจที่ทำให้หลายคนผิดหวัง ที่เรื่องจริงไม่ได้ๆ รางวัลอย่างที่เคยบอกไป
อุ้ม : “ก็เสียใจที่ทำให้เข้าใจผิดว่าโกหกค่ะ แต่ว่าอุ้มเสียใจที่ว่า มีหลายๆ ท่านเลยที่ได้ทราบข่าว และคิดว่าอุ้มชนะอะไรมาจากคานส์ ทำให้เกิดการดีใจกัน และก็ต้องมาผิดหวังในตัวอุ้ม เพราะเนื่องจากว่าอุ้มไม่ได้ชนะค่ะ และทั้งหมดอุ้มไม่ได้พยายามทำขึ้นมาหรอก เพราะว่าอุ้มก็มึนอยู่เหมือนกัน”
เท่าที่เช็คจากความเห็นคิดของหลายๆ คน ที่รู้เรื่องนี้ อย่างหนึ่งที่เขาสงสัยเลย ก็คือว่าทำไมอุ้มถึงมีปัญหากับภาษาไทยมากกว่าภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่อุ้มไปเรียนแค่ 4 ปี?
อุ้ม : “คือตอนนี้อุ้มไม่อยากพยายามที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ก็คือเป็นเรื่องส่วนตัวนะคะ ทางบ้านทำให้อุ้มได้พูดภาษาอังกฤษ และก็อยู่ในวงล้อมภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อายุ 12 และอุ้มเรียนโรงเรียนสายน้ำผึ้ง ออกจากสายน้ำผึ้งก็มาเรียนเซนต์จอห์นอินเตอร์ และอุ้มก็เรียนภาษาอังกฤษตลอด เข้าเอแบคก็เข้าอินเตอร์อีกเหมือนกัน และก็อุ้มไปอเมริกาค่ะ ในช่วงที่อุ้มเรียนสายน้ำผึ้ง อุ้มก็โดดเรียนบ่อยไม่ค่อยเข้าเรียนหรอก”
“และที่บ้านอุ้มเขาไม่ค่อยพูดภาษาไทยกันด้วย คือที่บ้านอุ้มคุณแม่ทำหนังฝรั่ง และทางบ้านเห็นว่ามีภาษาอังกฤษไว้จะดี ก็เลยในขณะเดียวกันเขาเลยพยายามที่จะเอาอุ้มไปทางภาษาอังกฤษมากกว่า โดยที่ให้ไปอยู่แต่กับกลุ่มคนที่ไม่พูดภาษาไทยมากกว่าค่ะ คืออุ้มพูดภาษาไทยได้ แต่บางคำอุ้มเข้าใจผิดจริงๆ ก็เป็นความเชื่อมาตั้งแต่เด็กแล้ว เหมือนอุ้มดื้อ คือสำหรับคนไทยอุ้มเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่ แต่สำหรับตัวอุ้มก็ยังเรียกว่าเป็นรางวัลอยู่”
...
กรณี “อุ้ม คานส์” : สปีลเบิร์กเมืองไทย หรือ “สมพงษ์ 2”