xs
xsm
sm
md
lg

“บีม” รับ อาการ “ดี๋” ยังทรง เผยพ่อป่วยมา 3 ปีหมดค่ารักษาไปหลายล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“บีม” เผย อาการ “พ่อดี๋” ยังไม่กระเตื้อง แต่หวังขอให้มีปาฏิหาริย์ ถึงจะผ่านมา 3 ปีไม่เคยท้อ ฮึดหาเงินรักษาพ่อให้ดีที่สุด ส่วนภาระหนี้ที่ไม่ได้ก่ออีกเป็นล้าน กำลังดำเนินการฟ้องร้อง รับ แม้จะเหนื่อยจนร้องไห้ แต่ก็อิ่มใจที่มีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตตลอด

ตั้งแต่หัวหน้าครอบครัวอย่างตลก “ดี๋ ดอกมะดัน” หรือ “นายสุภา ศรีสวัสดิ์” ล้มป่วยลงด้วยอาการหอบกำเริบ จนถึงกับทำให้หัวใจหยุดเต้นไปนานถึง 15 นาทีเต็ม เป็นผลทำให้สมองขาดออกซิเจน และส่งผลจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ และก็ผ่านไปแล้วเกือบ 3 ปี หมดเงินค่ารักษาไปแล้วหลายล้าน ซึ่งเรื่องนี้ดาราสาว “บีม พรรณวริณ ศรีสวัสดิ์” ที่เป็นลูกสาวคนโตเผยว่าตอนนี้อาการยังไม่มีอะไรดีขึ้น และพ่อยังไม่สามารถรับรู้หรือตอบสนองได้

“อาการคุณพ่อเหมือนเดิม(หัวเราะ) ก็ยังทรงๆ น่ะค่ะ แต่ก็อยู่ที่บ้านมากันยาฯนี้ก็ครบ 3 ปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นอย่างชัดเจนนะคะ แต่ก็ไม่ได้เข้าฉุกเฉิน ไอซียูมานานมากแล้ว ก็ดี แต่คือว่าเรื่องดีขึ้นนี่คงไม่ชัดเจน พ่อบีมเป็นหนักด้วยแหละ เราก็ต้องยอมรับตรงนี้”

“ปาฏิหาริย์ก็ยังหวังอยู่ แต่เราก็ต้องเผื่อใจ ไม่ได้หวังอย่างเดียวว่าจะดีขึ้น เพราะว่าถ้ามานั่งคิดว่าทำไมไม่ดีขึ้นสักทีเราก็จะแย่เอง ในเรื่องของสมองคุณหมอก็ไม่ได้บอกว่าจะมีวิธีที่จะรักษาได้ เพราะว่าโรคนี้มันเป็นโรคที่ร่างกายแต่ละคนต้องฟื้นฟูเอง แต่ก็จะดูแลในเรื่องของความดัน เรื่องหอบ เรื่องคอเรสเตอรอลต่างๆ ที่เป็นพวกท่อ พ่อจะเจาะคอ เจาะหน้าท้องให้ปัสสาวะออก แล้วก็มีฟีตทางสายยางทางจมูก ต้องดูแลเป็นพิเศษ ต้องไปหาคุณหมอทุกเดือนเพื่อจะต้องเปลี่ยนพวกนี้ค่ะ ทิ้งไว้ไม่ได้”

“พยาบาลก็มีจ้างบ้างค่ะ อย่างวันนี้บีมไม่สบาย(หัวเราะ) ขับรถไม่ไหว ก็ให้คุณแม่ขับมาแป๊บนึงก็จ้างคนมาดูเป็นนางพยาบาล แต่ก็ไม่ได้ประจำเพราะว่าหายาก คนที่เขาจะมาอยู่ดูแลพ่อได้ดีอย่างที่เราต้องการน่ะ บางทีมันก็แทบไม่มีเลย เคยเจอแค่คนเดียวเองมั้งแต่เขาก็ไปแต่งงานแล้ว ตอนนี้คนที่ดูเป็นหลักก็คือคุณแม่ แม่เป็นคนดูคุณพ่อตลอด แล้วถ้าเกิดว่ามีคนที่ให้มาทดลองงานแม่ก็จะอยู่ด้วยตลอด คือบีมจะได้ช่วยในวันที่ว่าง อย่างวันอาทิตย์เนี่ยค่ะ ถ้าไม่มีงานก็อยู่บ้านจะช่วยทั้งวัน”

“ก็ดูแลกันเอง เช็ดตัว ฟีตอาหาร แล้วก็พลิกตัวทุกสองชั่วโมง คือทำทุกอย่างให้เขา สวนอุจจาระ ช่วยเหลือทุกอย่างที่พ่อทำเองไม่ได้ ตัดเล็บให้ ทำกายภาพคือทำเป็นหมดแล้ว เรื่องการรับรู้คือคุณพ่อไม่สามารถที่จะบอกให้กระพริบตาแล้วกระพริบตาให้หน่อยเนี่ยไม่ได้ค่ะ แต่อาจจะมีบางช่วงที่สายตาเหมือนรู้เรื่อง แต่คือไม่สามารถบอกได้”

“คือท่านตอบเราไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดเรากายภาพแล้วเขาเจ็บเขาก็จะอูยๆ ได้ หรือหาว หรือเราทำของตกเขาก็สะดุ้งก็จะมีบ้าง แต่บอกไม่ได้มันอาจจะเป็นสภาวะที่เหมือนเราเคาะขา แล้วขากระตุก มันก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคุณพ่อรู้เรื่องรึเปล่า แต่คุณหมอบอกว่ารู้เรื่องไม่รู้เรื่องก็พูดคุยกับพ่อ แล้วก็ทำเหมือนพ่อปกติน่ะค่ะ ก็คือคุยเล่นด้วย แล้วจะฟีตอาหารก็จะบอกพ่อทานข้าวนะอะไรประมาณนี้ ก็คุยเล่าอะไรให้ฟัง”

เผยถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่ยังคงหนักอยู่ทุกเดือน เพราะหมดไปกับการรักษา แต่ตนทำใจแล้ว ไม่หวังให้ใครมาช่วย

“ค่าใช้จ่ายก็ยังเหมือนเดิม คนช่วยเหลือก็มีบ้าง แต่ไม่ได้คาดหวังว่าใครจะมาช่วยเหลือ เพราะแต่ละคนก็มีภาระ แล้วเศรษฐกิจมันก็อย่างนี้เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ สมาคมตลกก็มาเยี่ยมนะคะ แต่บีมไม่ได้อยู่เพราะว่าออกไปทำงาน แต่ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายมั้ย ตอนนี้ไม่ทราบเลยค่ะ ยังไม่เห็นนะคะ แต่ล่าสุดที่มาที่บ้านก็เมื่อไม่กี่เดือน แต่บีมไม่ทราบเรื่องจริงๆ เพราะบีมไม่ได้อยู่บ้าน”

“คือครั้งแรกที่ช่วยคือครั้งที่อยู่โรงพยาบาลพระราม 9 ครั้งแรกเลย แล้วครั้งนี้ก็น่าจะมีมั้งคะ แต่ก็ไม่แน่ใจ ก็คืออาจจะมีช่วยค่ายาคุณพ่อ แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่ายังไงเท่าไหร่ งานตอนนี้บีมก็ทำพิธีกรเป็นรายการประจำนะคะ ทำจันทร์ถึงศุกร์ก็เหมือนงานประจำ คือจะให้บีมไปทำเหมือนคนอื่นเขา ตอกบัตรเช้าเย็นก็ไม่ได้ เพราะว่าเราก็ต้องยอมรับว่าอาชีพเป็นพิธีกรเป็นนักแสดงมันก็ยังได้ค่าจ้างที่เยอะกว่า”

“แล้วก็ถ้าไปทำงานประจำมันก็อาจจะรับงานไม่ได้ มันก็ไม่พออยู่ดี ก็เลยอยู่อย่างนี้ แต่บีมก็รู้สึกว่าก็ยังโชคดีนะคะ ที่แบบช่วงไหนรู้สึกว่าจะแย่แล้ว ไม่มีงานเลย แต่อยู่ดีๆ ก็มีงานเข้ามา คือเหมือนกับว่าในช่วงเวลาที่เรากำลังจะไม่ไหวแล้ว ก็จะมีคนเข้ามาช่วยเหลือน่ะค่ะ”

“ค่าใช้จ่ายที่เราหามาได้ก็เอาเป็นว่าพอ แต่ก็เหนื่อยเหมือนกันค่ะ ถ้ามาคนช่วยเหลือจะดีกว่ามั้ย ก็ไม่คาดหวัง อย่างที่บอกว่าแล้วแต่ค่ะ ถ้าเกิดใครนึกถึงคุณพ่อ อยากจะช่วย เราก็ดีใจนะคะที่มีคนนึกถึง แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะว่าแต่ละคนก็มีภาระของตัวเอง เราก็ต้องดูแลพ่อเราให้ดีที่สุด ยังไงก็ไม่ปล่อยให้พ่อลำบากอยู่แล้ว ยังไงเราก็ต้องเหนื่อยก่อนแล้วให้เขาสบาย เพราะว่าเขาเลี้ยงเรามาตั้งอายุโตขนาดนี้ แค่นี้เองก็น่าจะพอทำได้”

เผยถึงเรื่องหนี้สินที่ “พ่อดี๋” ไปรับค้ำประกันแทนเพื่อนสนิท จนตอนนี้กลับต้องมารับภาระใช้หนี้เองเป็นหลักล้าน แถมตัวเพื่อนสนิทคนนี้ก็ยังลอยนวล ไม่เคยแม้แต่มาเยี่ยม หรือช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น

“จริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายกับเบลล์กับแม่ก็อยู่กันแบบไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว ก็ค่อนข้างประหยัดอยู่แล้ว อะไรที่ไม่จำเป็นเราก็รู้สึกว่ามันก็ไม่จำเป็น เราก็อยู่ได้ ชีวิตมันไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อของอะไรเยอะแยะ ขับรถก็ขับธรรมดา ไม่ไปฟุ้งเฟ้อกับมันเราก็อยู่ได้ สิ่งที่สำคัญอย่างแรกคือค่าใช้จ่ายของพ่อ แล้วก็เรื่องหนี้สินที่เคยมีก่อนคุณพ่อป่วยที่เรื่องค้ำประกันอะไรก็ยังทำอยู่”

“อันนี้หนัก อันนี้ที่ทำให้ท้อ เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันเป็นหนี้ที่เราไม่ได้ทำน่ะ แต่ว่าเราต้องมารับผิดชอบ แล้วในภาวะที่แย่ขนาดนี้แล้ว และคนที่เขาเป็นหนี้จริงๆ เขาก็ยังมีชีวิตอยู่(หัวเราะ) แต่ในทางกฎหมายเขาก็ฉลาดนะ เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชื่อเขา เขาก็มาเอาที่ผู้ค้ำ ก็คือพ่อบีม แล้วคุณพ่อคุณแม่จดทะเบียนกันเราก็ต้องมาจัดการเรื่องหนี้ แต่ก็โอเค เรื่อยๆ”

“ก็เยอะอยู่ ไม่ทราบว่าพูดได้รึเปล่า แต่ก็เยอะ 7 หลักน่ะค่ะ แต่เรื่องนี้พูดไม่ได้มากเพราะมีเรื่องฟ้องอยู่ด้วย แต่เอาเป็นว่าเป็นหนี้ก้อนนี้(หัวเราะ) คือทางบริษัทรถมาจัดการทางบ้านบีม เพราะว่าพ่อเป็นผู้ค้ำ ทางนู้นเขาก็ไม่ได้มีแบบอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นชื่อของเขา ใช้พ่อเป็นผู้ค้ำ ตอนนี้ก็พยายามหาตัวอยู่ แต่ก็ยังเห็นนะ แต่เราทำอะไรไม่ได้”

“บีมไม่สามาถบอกขั้นตอนอะไรได้ เพราะเขาหัวหมอมากเลย เดี๋ยวบอกไปว่าเราแก้ไขปัญหายังไง เดี๋ยวเขาจะไม่ใช้ ก็เลยพูดไม่ได้ เพราะเหมือนเขาจะไม่ใช้(หัวเราะ) ก็เลยรู้สึกแบบทำแบบนี้ได้ไง เพื่อนกัน เพื่อนเห็นหน้ากันตลอด รักกันไปรักกันมา เราก็ดูโอ้โหอะไรจะรักกันขนาดนั้น”

“แต่พอถึงวันนึงก็มาอ้างว่าเราก็เคยช่วยเหลือกัน เราก็เอ๊ะช่วยใคร ช่วยพ่อเรื่องอะไรเหรอ คือบีมไม่ทราบเรื่องอะไรแบบนี้ แต่หนี้ไม่ใช่หนี้ของเราน่ะ ก็อยากให้เห็นใจหน่อยเถอะ เพราะบีมก็แย่แล้ว เขาก็ไม่เคยมาช่วยเหลือแล้วไม่เคยมาเยี่ยมเลย ก็เลยรู้ถึงสัจธรรมว่าคนก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่เราก็สู้นะ เราก็โอเค”

“ถ้าเขาไม่ใช้เราก็ต้องใช้แทนเขา แต่ตอนนี้ก็กำลังหาตัวกันอยู่ คือเขาก็ยังอยู่แต่เขาไม่มาเท่านั้นเอง คือเราไปสั่งไม่ได้เพระมันไม่ใช่คดีอาญา ก็เลยทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้กับแม่ก็ปลงแล้ว เราก็แก้ไขปัญหาแล้วกัน ยังมีคนที่แย่กว่าเราตั้งเยอะเขายังอยู่ได้เลย ทำไมแค่นี้เราทำไม่ได้ ร้องไห้ตลอด พอเห็นตัวเลขก็โอ๊ยทำไมเป็นแบบนี้ ก็ร้องไห้กับแม่ทำไงดีคิดไม่ออก คือเราก็ร้องไห้บ้าง แต่พอร้องระบายไปเราก็ต้องมาคิดแก้ไขปัญหาว่าเราจะทำยังไง”

ยังมีความหวังอยากให้พ่อกลับมาหายเป็นปกติ และไม่เคยน้อยใจกับชะตะชีวิต เพราะคิดว่าทำทุกอย่างเพื่อพ่อที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิด และสิ่งที่ได้รับกลับก็มีเรื่องดีๆ เข้ามาตลอด

“กับพ่อก็ยังหวังอยู่ อยากให้คุณพ่อรู้เรื่อง พูดจากับเราได้ ทานข้าวเองได้ นั่งรถเข็นพาไปไหนได้ ไม่อยากให้เขาทรมานน่ะ คือ ณ ตอนนี้บีมไม่อยากให้พ่อรู้เลยล่ะ คือถ้าเกิดเขารู้เรื่องแล้วเขานอนขยับตัวเองไม่ได้มันคงทรมาน คงอึดอัด อยากให้ตอนนี้หลับไปก่อนแล้วอยู่ดีๆ ก็ตื่น(หัวเราะ) มันก็คงจะดี ก็ต้องเป็นปาฎิหาริย์จริงๆ ถ้าจะเป็นอย่างนั้นได้”

“มันก็เป็นสัจธรรมนะ ไม่น้อยใจค่ะ มันก็เป็นเรื่องปกติ ข่าวมันก็มีมาแล้วมันก็หายไป มันก็ไม่มีอะไร บีมก็เข้าใจว่าพ่อบีมไม่ได้แบบดีขึ้น มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือว่าอะไร ก็เฉยๆ ไม่อะไร ก็อยู่กันทุกวัน เจอกันเช้าเย็น เช้ากลางคืน ได้กอดได้หอมได้ดูแลก็โอเค”

“บีมว่าเหมือนมีโอกาสที่ดีน่ะค่ะ เหมือนเราได้ดูแลเขา เพราะเขาก็ดูแลเรามาตั้ง 20 จะ 30(หัวเราะ) ปีแล้ว คือเรามีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ซึ่งบางคนอาจจะไม่ได้มีโอกาสอย่างเรา และบีมก็เชื่อว่าถึงวันที่เราจะไม่ไหวจริงๆ ก็มีคนมาช่วย หรือมีอะไรที่มาทำให้เราสู้ขึ้นได้ มีกำลังใจ มันก็น่าจะตอบได้เพราะว่าเราดูแลผู้มีพระคุณของเราค่ะ”

กำลังโหลดความคิดเห็น