หมอดูทักปีนี้มีลูก “ภราดร” สุดฟิตเตรียมเวิร์คเต็มที่ ชม “นาตาลี” ก็ฟิตใช้ได้เหมือนกัน เตรียมลุยงานผู้ประกาศข่าวกีฬาช่อง 7 มั่นใจทำได้เพราะเป็นงานที่ถนัดอยู่แล้ว
หลังจากที่ลุ้นเรื่องลูกกันอยู่นาน ล่าสุด “ภราดร ศรีชาพันธ์” ก็เปิดเผยว่า มีหมอดูทักว่าจะมีลูกในปีนี้เล่นเอาเจ้าตัวดีใจเตรียมเวิร์คกันเต็มที่ ชม “นาตาลี ศรีชาพันธ์” ก็ฟิตใช้ได้เหมือนกัน ส่วนเรื่องตอบรับการทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวกีฬาให้กับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ของช่อง 7 นั้น เจ้าตัวมั่นใจว่าทำได้แน่นอนเพราะเป็นการทำสิ่งที่ถนัดอยู่แล้ว
"อย่าเรียกว่าหมอดูเรียกว่าคนที่เขาดูอนาคตแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขาก็บอกว่าจะมีลูกก็คงปีนี้แหละ ประมาณหลังมิถุนายนก็น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งตัวผมกับตัวน้องฟ้าเราก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ตอนนี้อาจจะยังไม่ถึงจังหวะที่มันควรจะได้ ก็ดีครับ เพราะเราเองก็อยากที่จะมีน้องอยู่แล้วด้วย ยังไงปีนี้เราก็ต้องมีแน่นอน"
"ที่ผ่านมาครอบครัวของเราทั้งสองฝ่ายทั้งพ่อตาแม่ยายก็ถามมาตลอดว่า เมื่อไหร่จะมีหลานซะที เราก็บอกว่าพยายามเวิร์คกันอยู่ พอคนมาทักแบบนี้มันก็ทำให้เรามีกำลังใจด้วยว่าเราจะสมหวังในเร็ววันนี้ และมันก็ทำให้เราสบายใจคือทุกครั้งที่เราคิดในแง่บวกมันทำให้เรามีกำลังใจมากกว่าที่เราคิดว่าปีนี้เราจะได้ไหม แต่ถ้าเราคิดว่าปีนี้ยังไงก็ได้มันก็คือแง่บวก เดินหน้าเต็มที่ เราพยายามกันเต็มที่พูดตรงๆ ว่าน้องเขาก็ฟิตใช้ได้เหมือนกัน(หัวเราะ)"
ฝันอยากได้ลูกผู้ชายเพื่อเจริญรอยตามการเป็นนักเทนนิส
"อยากได้ลูกผู้ชาย แต่ด้วยความที่น้องฟ้าเขาอยากได้ลูกผู้หญิงอยากจับแต่งตัว บอลก็เลยเอ่อ..ถ้าฟ้าอยากได้ผู้หญิงเราก็อยากได้ผู้หญิงด้วย แต่อยากได้ผู้ชายเพราะอยากจะปั้นลูกตัวเองให้เป็นนักเทนนิส เพราะถ้าเป็นผู้หญิงอาจจะต้องตากดงตากแดดอาจจะไม่ชอบเท่าไหร่ อยากจะมีสัก 4 คน คือชอบมีลูกเยอะ แต่ตัวน้องฟ้าเขาอยากจะมี 3 คนก็พอแล้ว 4 คนเยอะไปไหม"
เมื่ออถามถึงการชิมลางเป็นผู้ประกาศข่าวครั้งแรกในรายการ “เช้านี้...ที่หมอชิต” ทางช่อง 7 สี เจ้าตัวก็ตอบด้วยความมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องยากแม้จะไม่มีประสบการณ์ ทั้งยังบอกว่าไม่กลัวที่จะต้องวิจารณ์นักเทนนิสระดับสูง
"คือผมแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดตัดสินใจเลย เพราะหนึ่งมันเป็นรายการที่ง่ายมาก ซึ่งมันจะเป็นรายการที่ดีสำหรับคนที่ชอบกีฬาโดยมีนักกีฬามาเล่าให้ฟัง เป็นตัวเราให้มากที่สุด ส่วนเทคนิคการนำเสนอข่าว ตัวผมเองก็จะขอคำแนะนำจากผู้สื่อข่าวพี่ๆ พิธีกรที่เขาทำงานด้านนี้อยู่แล้ว แน่นอนเราไม่ได้เป็นกูรูด้านนี้แต่เรามานำเสนอข่าวที่เราถนัด คือด้วยการพูดเราก็แค่ต้องมาปรับให้พูดในแบบของผู้สื่อข่าว ผมมองว่ามันเป็นอะไรง่ายๆ ที่เราถนัดอยู่แล้ว"
"กล้าอยู่แล้ว อีกอย่างเราเป็นนักกีฬาด้วยเรามีสิทธิ์ที่จะต้องวิจารณ์สไตล์ผู้รู้มาเล่าให้ฟัง แต่คนที่ไม่มีประสบการณ์ แต่ถ้าไม่ใช่ผู้รู้มาเล่าให้ฟังก็อาจจะฟังแล้วดูขัดเขิน อย่างน้อยเราก็เคยมีประสบการณ์จริงบนสนามกับเขา ไม่ใช่ดูอย่างเดียวแล้วพูด"
ยันไม่คิดหันมาเอาดีทางด้านวงการบันเทิง บอกหากร่างกายพร้อมก็จะกลับไปตีเทนนิสเหมือนเดิม แต่ถ้าหากร่างกายไม่พร้อมจริงๆ ก็วางแผนอนาคตไว้หลายทางเผื่อไว้เรียบร้อยแล้ว
"ยังดูอยู่ คือตอนนี้ข้อมือผมมันยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เลยต้องดูก่อน ถ้าเกิดว่าร่างกายเราพร้อมเราก็ลุยต่อแน่นอน ตอนนี้ก็กำลังฟิตร่างกายอยู่ โอเคแล้วเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนงานด้านวงการบันเทิงก็ไม่ถึงขนาดนั้น มันก็อาจจะคิดอย่างนั้นด้วยก็ได้ว่าเรามีโอกาสช่องทางที่มองแล้วก็น่าจะสนุก แต่ถ้าจะให้ผมไปเป็นผู้ประกาศหรือพิธีกรภาคสนามเลยมันก็คงไม่ใช่ ตอนนี้เริ่มต้นเราแค่เป็นผู้รู้ทางด้านกีฬามาเล่าก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี"
"ไม่ทราบเหมือนกัน เราเองก็ไม่ได้คิดในจุดนี้ว่าจะต้องมาเข้าวงการบันเทิง ถ้าเกิดเราจะทำจริงๆ คงต้องปรับอะไรหลายๆ อย่างอีกเยอะ เราต้องมองก่อนว่าเราต้องการที่จะทำอะไรกับวงการนี้ จริงๆ เราอยากสบายๆ เป็นตัวของตัวเอง ก็เลยยังไมได้คิดอะไรมาก ก็คิดวางแผนกันไว้หลายอย่าง เรื่อการเป็นโค้ชมันเป็นเรื่องที่ง่ายอยู่แล้วแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็วางแผนไว้หลายอย่างแล้วก็ตัดสนินใจเลือกเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ"