“ภัทร” ผู้ประกาศข่าวช่อง 7 สี โต้ไม่ได้เป็นต้นเหตุให้ “ไก่ ภาษิต” ต้องออกจากช่องไปซบช่อง 3 เผยทุกวันนี้การแข่งขันเรื่องข่าวในแต่ละช่องมีสูง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นผู้ประกาศข่าวต้องย้ายช่อง แต่ตนยังคงจงรักภักดีกับช่อง 7 อยู่เหมือนเดิม
ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกาศข่าวสายเลือดใหม่ของช่อง 7 สีได้ไม่นาน หนุ่ม “ภัทร จึงกานต์กุล” จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ และกลายเป็นมีกระแสข่าวว่าทำให้ลูกรักคนเก่าอย่าง “ไก่ ภาษิต อภิญญาวาท” ต้องกระเด็นออกมาและในที่สุดก็ได้ย้ายไปซบอกช่อง 3 เป็นที่เรียบร้อย
ในเรื่องนี้หนุ่ม “ภัทร” ถึงกับงง และเปิดใจว่าเรื่องย้ายช่องเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการแข่งขันด้านข่าวตอนนี้สูงอยู่แล้ว แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีการทะเลาะหรือแย่งเก้าอี้กันอย่างที่เป็นข่าว
“ไม่ครับ ผมมองว่าในอุตสาหกรรมข่าวตอนนี้มันแข่งขันกันสูง แล้วแต่ละช่องก็คงพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนดูน่ะครับ คือเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวเพราะว่าโดยส่วนตัวผมกับทางผู้ประกาศทุกคนที่อยู่ในช่องก็ไม่ได้มีอะไรกัน รู้สึกดีกัน คือคนอื่นจะเข้าใจกันว่าอย่างนั้น จริงๆ ไม่เกี่ยวนะครับ เพราะว่าเราเองไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลย และตอนแรกเราก็ยังตกใจด้วยซ้ำว่ามีข่าวแบบนี้”
“คือผมว่าหลายคนมองแบบนั้นแต่จริงๆ มันไม่ได้มีอะไรเลยครับ ทุกคนพวกเราผู้ประกาศเนี่ยทราบตรงกันหมดในวันที่เขามาแจ้งกับผู้ใหญ่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ไม่ได้มีรู้มาก่อนล่วงหน้า แล้วก็หลังจากที่พอรู้แล้วทุกคนก็คุยกันดี เหมือนกับให้กำลังใจกัน แล้วก็บอกขอให้ทำงานด้วยดีไม่ว่าจะอยู่ที่ช่องไหนก็ตามนะครับ เพราะจริงๆ ทุกวันนี้ก็ต้องบอกว่าแต่ละคนก็เป็นพี่เป็นน้องกันทั้งนั้นน่ะครับในแต่ละช่องน่ะครับ”
“ผมไม่ได้อยากให้มองเป็นเรื่องใหญ่ จริงๆ ไม่ได้ซีเรียสครับ ไม่ได้มีอะไรเลยครับ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่า ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ ซึ่งผมเองก็แปลกใจ เพราะจริงๆ แล้วถ้าว่ากันไปตามตรงเราทำในเรื่องของเนื้องานมากกว่าว่าอยากให้งานออกมาดีน่ะครับ ซึ่งเราพยายามทำแข่งกันในเรื่องนั้นมากกว่า แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องน้อยใจอะไรอย่างอื่น”
“เหตุผลที่เขาออก คือจริงๆ ตอนนี้วงการข่าวมันก็แข่งกันเยอะล่ะนะ ก็ทั้งรายการคุยข่าวและรายการข่าวรูปแบบอื่นๆ ซึ่งทั้งช่อง 7 ช่อง 3 หรือทุกช่องก็คงพยายามทำให้รายการของตัวเองมันออกมาดีที่สุด มองอย่างนั้นดีกว่าครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น”
“กระแสที่คิดว่าเป็นเพราะผมรึเปล่านั้น คือพูดจริงๆ เนี่ยผมได้ยินลักษณะแบบนี้มาตั้งแต่แรกๆ ที่ผมมาช่อง 7 แล้ว ผมว่าไม่ว่าใครที่ย้ายเข้าหรือย้ายออกช่องไหนก็สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับช่องๆ นั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามองในแง่เนื้องานเนี่ย ผมว่ามันไม่ได้มีอะไร ผมว่ามันก็เหมือนกับการเปลี่ยนที่ทำงานของคนในวงการอื่นๆ เหมือนกันน่ะครับ แต่ว่าที่สำคัญคือด้านหน้าจอกับด้านหลังจอคนแต่ละคนเป็นยังไง ถ้าเกิดคนทุกคนหน้าจอหลังจอเป็นคนๆ เดียวกัน ไม่ได้มีการเปลี่ยน ไม่ได้นิสัยต่างกัน ผมว่าตรงนั้นมันน่าจะเป็นสาระสำคัญมากกว่า”
“แล้วหน้าจอในคุณภาพงานมันน่าจะเป็นสิ่งที่คนดูน่าจะดูจากเรื่องนั้นน่ะครับ เรื่องเบื้องหลังการที่จะแบบว่ามีปัญหาอะไรต่อกันผมยืนยันว่าไม่มี นี่ยังแปลกใจที่ทุกคนเข้ามาถาม เพราะว่าไม่คิดว่าจะเป็นประเด็น ซึ่งอันนี้ผมไม่เคยเข้าไปดู แต่ผมว่าคนที่ทำวงการนี้เนี่ยมันมีโอกาสที่จะมีข่าวแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งพูดตามตรงนะครับ ผมเนี่ยเน้นเรื่องงานแล้วก็เรื่องแก่นสารในลักษณะของคนมองไปอย่างนั้นอย่างนี้เนี่ย ผมว่าเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าแต่ละคนเป็นอย่างที่เขาคิดกันหรือเปล่า”
ย้ำว่าไม่ได้เป็นเพราะโครงสร้างองค์กรที่ตอนนี้มีข่าวว่ากำลังปรับเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และยอมรับว่าได้เข้าไปเสียบแทนตำแหน่งผู้ประกาศข่าวในช่วงข่าวค่ำภาคแรกแทน “ไก่” จริง
“คือเรื่องราวในแต่ละช่องมันค่อนข้างซับซ้อนมากนะครับ แล้วผมว่าแต่ละช่องอย่างที่ผมบอกพูดได้แค่ว่าแต่ละช่องพยายามที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในมุมมองของผู้บริหาร หรือว่าในแง่ของคนหน้าจอเองก็ตามนะครับ ผมว่าตรงนั้นคุณภาพหน้าจอหน้าจะเป็นตัวบอกได้”
“แต่อย่าใช้คำว่ามาแทนอะไรนั่นเลย เพราะจริงๆ เนี่ยผมกับไก่ ภาษิตเนี่ยก็ทำข่าวค่ำอยู่ด้วยกันอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้ พอภาษิตออกไปมันก็เป็นหน้าที่โดยอัตโนมัติที่จะต้องเข้ามาทำแทนในส่วนนั้น แต่จริงๆ ไก่เขามีเวทีอยู่ตั้งแต่ “อาทิตย์ติดข่าว” ข่าวช่วงเช้าเนี่ยหลายตัว ซึ่งตรงนั้นก็จะมีคนที่เข้าไปเหมือนกับต้องบอกว่าเข้าไปอุดก่อนด้วยซ้ำไป”
“อย่ามองในลักษณะชิงดีชิงเด่นเลย เพราะว่าจริงๆ นะวงการข่าวมันไม่เหมือนวงการดาราตรงที่ว่าความต่างอย่างนึงคือตัวข่าวมันเป็นตัวที่สำคัญกว่าตัวพรีเซ็นเตอร์ แต่โอเคพรีเซ็นเตอร์แต่ละคนก็มีความต่างในการนำเสนอ แต่เราคงไม่เหมือนวงการที่แบบว่าดาราอาจจะต้องมีเรื่องของการเป็นข่าวอะไรอย่างเนี้ย ผมค่อนข้างอยากให้เน้นไปเรื่องของเนื้อข่าวมากกว่า”
“ถามว่ากดดันมั้ย คือแต่ล่ะช่องก็มีคาแรคเตอร์ของช่องที่ต่างกันออกไป แล้วก็มีกลุ่มฐานคนดูที่อาจจะมีกลุ่มของพวกเขาเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมว่ายิ่งแต่ละช่องลงทุนมากแค่ไหน ผมว่าประโยชน์ก็เกิดแก่คนดู อันนี้ไม่ได้พูดเพื่อจะสร้างภาพนะครับ แต่ว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วก็การเคลื่อนย้ายของคนก็เป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไอทีวี มันก็มีคนไอทีวีไปอยู่ตามช่องต่างๆ แล้วแน่นอนว่าพอแต่ละช่องมันเติบโตมันก็ต้องมีที่ทางที่จะเติบโตขึ้นไปตามจังหวะเวลาของตัวเอง ผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกติของการทำงานของคนมากกว่า อยากให้มองเป็นอย่างนั้น”
“เรื่องเรตติ้งของข่าวก็แข่งกันอยู่ พูดหลักๆ ก็คือช่องที่เรารู้กันก็คือช่อง 7 ช่อง 3 ก็อาจจะเป็นคู่แข่งทางงานข่าวที่ค่อนข้างจะชัด แล้วต่างคนก็ต่างพัฒนางานของตามแนวคิดของผู้บริหารของตัวเองให้ดีที่สุด ก็แข่งกันทำดีผมว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้งครับ ถ้าดูจากเรตติ้งที่มันน่าจะเป็นรูปธรรมน่าจะเป็นอย่างนั้น”
“มาอยู่ที่นี่(ช่อง7)เดือนหน้าปีนึงพอดีครับ ก็มีความสุขดี แล้วก็พูดจริงๆ นะครับผมเนี่ยรู้สึกอยากเน้นเรื่องงาน คืออยากให้งานมันออกมาดีที่สุด ไม่ว่าในสมัยก่อนอยู่ไอทีวีหรือทุกวันนี้อยู่ช่อง 7 หรือว่าจากนี้ไปจะพัฒนารูปแบบของช่องไปยังไงก็ตาม เราก็คงทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่อยากให้ช่องเนี้ยเป็นยังไงไปได้ดีที่สุด ไม่ว่าคนของช่อง 7 จะไปอยู่ช่องอื่น หรือคนช่องอื่นจะมาอยู่ช่อง 7 ยังไงก็ตาม ใครไปช่องไหนยังไงก็ต้องทำตามแนวคิดของช่องๆ นั้นให้ออกมาดีที่สุด ผมว่านี่คือหน้าที่ของพวกเราซึ่งเป็นหนึ่งในเพลเยอร์ที่อยู่ในวงการในอุตสาหกรรมนี้ ก็คงอย่างนั้นน่ะครับ”
“เรื่องที่โดนเปรียบเทียบกับคุณกนกในรายการจมูกมด ก็เป็นเรื่องปกติ คือผมพูดตรงๆ นะครับ คือเรื่องของกระแสกดดันอะไรต่างๆ มันเกิดขึ้นมาตลอดอยู่แล้ว ผมเองเป็นคนที่เจอความกดดันมาตั้งแต่เริ่มต้นการทำงาน ตั้งแต่สมัยไอทีวี ตั้งแต่ไทยพีบีเอสหรืออะไรต่างๆ ซึ่งผมอยากพูดผ่านไปยังทุกคนด้วยก็ได้ว่าใครก็ตามที่อยู่ในวงการนี้อยู่แล้ว อยู่มาก่อนผมหรืออยู่มาพร้อมๆ กัน หรือว่ากำลังอยากจะเข้ามาเนี่ยความกดดันต่างๆ เป็นเรื่องปกติ และถ้าแปลจากแรงกดดันกลายเป็นความตั้งใจในการทำงานที่อยากจะพัฒนาคุณภาพงานให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปเนี่ยผมถือว่ามันเป็นพลังที่ดี”
“สำหรับผมทุกอย่างที่เข้ามาผมคิดแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้คิดจะไปให้ร้ายใคร หรือว่าคิดว่าใครจะมองไม่ดีกับเรา อย่างที่ผมบอกขอย้ำอีกทีนึงว่าเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ทุกอย่างสำหรับการทำงานของทุกคน บอกได้แค่นั้นเองน่ะครับ จริงๆ มันไม่ได้มีอะไรในกอไผ่เลย คือแต่ละคนก็อยากทำงานให้ดีที่สุดในเวทีที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถนะครับ”
เผยว่ายังไม่ขึ้นแท่นผู้ประกาศลูกรักคนใหม่ และเผยว่าที่ผ่านมามีท้อบ้างกับกระแสข่าวต่างๆ แต่ขอให้วัดที่ผลงานดีกว่า
“ไม่ใช่ ผมไม่อยากใช้คำนั้น คือจริงๆ เนี่ยมันไม่เกี่ยวว่าเป็นลูกรักของใครนะ เพราะว่าจริงๆ เนี่ยการทำงานหน้าจอคนสุดท้ายที่จะเป็นผู้ตัดสินก็คือประชาชน แล้วยิ่งในยุคนี้ต้องบอกตามตรงเลยว่าสิ่งที่น่าจะเป็นสาระสำคัญมากกว่าสำหรับคนดูในแง่ของสื่อมวลชนเนี่ย คือเรื่องของความเป็นกลางในการนำเสนอข่าวในยุคบ้านเมืองที่มีการแตกแยก”
“ผมไม่อยากให้แม้แต่ในวงการข่าวด้วยกันเอง ก็มีลักษณะของข่าวความไม่ลงรอยกัน เพราะมันก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างของสังคมไทยด้วย ทุกวันนี้บ้านเมืองเราต้องการความสามัคคีกันมากอยู่แล้ว ผมไม่อยากเป็นตัวอย่างนึงที่ว่าอ้าว นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างนึงเหรอ มันไม่ใช่ ผมไม่เคยคิดว่ามันมีปัญหาเลย แล้วก็อยากให้พี่ๆ(นักข่าว) เข้าใจด้วยว่า จริงๆ มันไม่ได้มีอะไรเลยสำหรับคนในวงการข่าว”
“เราก็อยากทำงานข่าวให้ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดของสังคมที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ ซึ่งเราต้องการความรักความสามัคคีกันมากๆ ในวงการข่าวยืนยันว่าต่างคนต่างทำดีเนี่ย แข่งกันในเรื่องของเนื้องานแข่งได้ แต่ว่าถ้าเกิดเรื่องของการแทงกันข้างหลังต่างๆ ผมไม่แน่ใจว่ามีอยู่จริงมั้ย แต่สำหรับผมผมยืนยันว่าผมไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ครับ”
“ถามว่าท้อมั้ย ถ้าฟังจากคำถามที่ถามมาเนี่ยผมก็ยอมรับ ผมก็เปิดใจว่ามันก็คงจะมีอยู่บ้าง แต่ว่าถ้าพูดตรงๆ เนี่ย อย่างทื่บอกไปคือเวลาเนื้อหางานหน้าจอจะเป็นตัวพิสูจน์คนหน้าจอในวงการข่าวแต่ละคน ไม่ใช่เฉพาะว่าผมนะครับ คนทุกคนเนี่ยงานหน้าจอจะเป็นตัวบอก ต่อให้เบื้องหลังจะมีข่าวซุบซิบแค่ไหนยังไง แต่ถ้าเกิดงานหน้าจอไม่มีคุณภาพคนนั้นก็จะอยู่ในวงการนี้ได้ไม่นานอยู่ดี”
“ซึ่งผมเองถึงไม่เคยคิดจะออกมาพูดอะไร แล้วก็ไม่เคยคิดทำตัวเป็นข่าวในลักษณะนั้น แต่ว่าอยากให้ดูในเรื่องของเนื้อหางานข่าวเป็นหลักดีกว่า คือผมอยากจะอยู่ในวงการนี้ไปอีกนาน เพราะฉะนั้นคือตัวงาน ตัวผมเองไม่เด่นไม่เป็นไร แต่ว่าขอให้ตัวงานมันออกมาดีก็พอครับ ขอแค่นั้น”
“ตอนนี้ของผมมีข่าวภาคค่ำช่วงที่ 1 ครับผมก็แค่นั้น ข่าวเช้าไม่มีครับ แต่เรื่องซื้อตัวกันเนี่ย คือจริงๆ ถ้าเกิดผมมีความสุขกับที่ใดที่นึงแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเนี่ยก็ไม่อยากจะเปลี่ยนที่อยู่แล้ว ก็เหมือนทีมฟุตบอลมั้งครับ ถ้าเผื่อเราได้อยู่ในทีมๆ ไหนที่เราได้ร่วมสร้างตำนานไปกับเขาเนี่ยมันก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการย้ายบ่อยๆ คือปกติจะเป็นคนถามคนอื่น แต่วันนี้โดนถามก็แปลกดี แต่ยืนยันว่าไม่มีอะไร”
“กับไก่คือมันไม่มีอะไรต้องเคลียร์เพราะมันไม่มีอะไร เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แล้วก็พูดผ่านตรงนี้ไปได้เลยว่าพวกเราทุกคนที่ไม่ว่าจะเป็นศิษย์เก่าช่อง 7 ศิษย์เก่าไอทีวี ไม่ว่าจะเป็นทีวีช่องไหนเนี่ยจริงๆ เราคือพี่น้องกันในวงการพูดได้อย่างนี้นะครับ แต่เรื่องที่สำคัญกว่าคือจรรยาบรรณในการทำงานข่าวมากกว่า ผมว่าตรงนั้นเป็นสิ่งที่อยากให้พี่ๆ นักข่าวให้ความสำคัญตรงนั้นมากกว่า”
“นักข่าวคนไหนมีความไม่เป็นกลางหรือมีความลำเอียงในการนำเสนอข่าว หรือมีผลประโยชน์ใดๆ เบื้องหลังผมว่าน่าจะไปตรวจสอบมากกว่าที่แต่ละคนแข่งกันทำงานออกมาให้ดี ผมว่าตรงนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมด้วยซ้ำไป แต่ละคนอาจจะมีวิถีทางของแต่ละคนที่ต่างกันออกไป แต่ว่าทุกคนเนี่ยสุดท้ายแล้วงานหน้าจอในภาพรวมของอุตสาหกรรมข่าวบ้านเรามันน่าจะดีขึ้น ผมว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจด้วยซ้ำไปน่ะครับ”
“คือตอนนี้ไม่ว่าใครจะอยู่ที่ไหน ผมว่ามันมีที่ทางให้คนทุกคนได้ดีในของตัวเอง ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ในบ้านหลังใหญ่ มันไม่จำเป็นต้องยืนในบ้านอิฐ จะเป็นบ้านไม้เก่าหน่อยแต่ว่าอยู่มานาน หรือว่าจะเป็นบ้านตึก เป็นบ้านคอนโดมิเนี่ยมทุกคนสามารถยืนอยู่ตรงจุดนั้นได้อย่างมีความสุขถ้ารู้ว่าเรากำลังยืนอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรผมว่าตรงนั้นสำคัญกว่า”
“การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น อันนั้นเป็นเรื่องของทางผู้ใหญ่ ซึ่งอย่างที่บอกผมก็บอกในส่วนที่ผมสามารถบอกได้ ผมแค่ทำในงานที่ผมรับผิดชอบให้ดีที่สุด อันนั้นผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ก็คงมีทางออกในส่วนของผู้ใหญ่ผู้บริหารในแต่ละช่อง”