“น้องทรายคุณแม่ขอร้อง” เตรียมออกจากโรงพยาบาล ทำใจใกล้หมดตัว เตรียมหิ้วถังออกซิเจนหาเงินรักษาตัวต่อไป เผยถึงลำบากแต่ก็ไม่ท้อ
นอกจากจะมีร่างกายพิการแล้ว “น้องทรายคุณแม่ขอร้อง” ธวัชชัย แสงคำ ก็ยังป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับปอดตั้งแต่ปี 48 จนทำให้ปัจจุบันปอดหายไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดก็รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรามคำแหง เจ้าตัวโอดเจอพิษเศรษฐกิจ ส่งผลให้งานลดลง เงินเก็บที่พอจะมีก็ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลจนเกือบหมดตัว แต่ก็ต้องทำใจเตรียมหิ้วถังออกซิเจนขึ้นเวทีหาเงินเลี้ยงต่อไป
“ผมเริ่มป่วยตอนปี 48 เป็นโรคน้ำท่วมปอด ตอนนั้นจะมีอาการไอเรื้อรังตลอดเวลาซื้อยามากินก็ไม่หาย ไอจนตัวงอน็อคไปเลย 2 วัน มาฟื้นตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลรามคำแหง พอหายหมอก็สั่งว่าอันตรายนะ ระวังอย่าให้ป่วยอีกเพราะปอดไม่ค่อยดีแล้ว อยากให้พักผ่อนเยอะๆ แต่พอออกจากโรงพยาบาลเราก็ยังคงรับงานได้ตามปกติ”
“จนกระทั่งมาช่วงปลายปีที่อาการเริ่มหนัก ตอนนั้นไปเล่นที่สระบุรีกลับมาก็ไอหนัก ไอแล้วเหนื่อย เแต่เราก็ยังพยายามประคองตัวไว้ จนกระทั่งมาน็อคเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้หมอบอกว่าปอดหายไป 50 เปอร์เซ็นต์แล้วนะ ตั้งแต่นั้นมาผมก็เลยต้องดมออกซิเจนตลอดเวลาขาด เราก็ต้องรับสภาพไป ไปเล่นโชว์ก็ต้องสะพายถังออกซิเจนขึ้นไปเล่นบนเวที ก็สู้กันมาเรื่อยๆ บางครั้งก็ลองถอดสายออกซิเจนออกพอเหนื่อยก็หันมาพิงเพื่อนบ้างมันก็พอกล้อมแกล้มไปได้
“แต่ล่าสุดไปเล่นที่พระราม 9 มันตื้อๆ เหนื่อยๆ รู้สึกว่าไม่ไหวก็เลยกลับไปที่โรงพยาบาล หมอก็บอกว่าปอดมันแฟ่บ อยากจะให้ดูแลตัวเองให้มากขึ้น เขาให้เรารับงานได้แต่อย่าห่างออกซิเจนอย่าขาดยา แต่มีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ดมออกซิเจนเลย พูดไปบางคนก็จะหาว่างมงาย เมื่อวันที่ 7 มีนาคมปี 51 ผมไปเล่นที่พระราม 9 ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขามาเที่ยว เขาก็ถามว่าน้องทรายเป็นอะไร ผมป่วยมา 4 ปีแล้วครับ เขาก็บอกเอาไหม มหาเทพโพธิสัตว์ช่วยได้นะ พูดจบก็ทำพิธีหน้าพระราม 9 เลย เจ้าไม่หายหรอกข้างในเจ้าดำหมดแล้ว แต่เราจะให้เจ้าหาย ถ้า 3 เดือนไม่หายให้ตัดคอ”
“ตอนเช้าเขาก็โทรมาหาผมถามว่ากินมังสวิรัติได้ไหม อยากให้กินจะได้หายก่อนกำหนด ปฏิบัติได้ไหม หลังจากนั้นผมก็เริ่มกินมังสวิรัติก็รู้สึกว่าร่างกายมันโล่งๆ ดี ปกติผมต้องไปฝังเข็มพอมาหาเขาแล้วก็ไม่ต้องฝัง ไม่ถึงเดือนก็รู้สึกว่ามันเริ่มดีขึ้นทั้งที่ไม่ได้กินยาโรงพยาบาลเลย ตอนนั้นผมไปเวียงจันทร์ไม่ได้ดมออกซิเจนเลย”
“แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสองเดือนก็กลับมาป่วยอีก เขาบอกว่าผมไปทำผิดกฎ ไปอาบน้ำมนต์หรือทำอะไรก็ไม่หาย เพราะเขาบอกว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาขวางตอนอาบน้ำมนต์ คือจริงๆ แล้วพออาบเสร็จจะต้องให้เราวิ่งออกมาเลยห้ามมีอะไรมาขวาง แต่วันนั้นมีผู้หญิงมาขวางก็เลยทำให้พิธีเสีย ผมก็เลยต้องกลับไปทำพิธีใหม่ ตอนหลังเขาก็บอกว่า เจ้าไม่ศรัทธาเหมือนเดิมหรือเปล่า โอ๊ย...ผมก็สวดจนไม่รู้จะสวดยังไงแล้ว”
“ตอนนั้นผมหมดเงินกับเรื่องนี้เยอะเหมือนกัน จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้เรียกร้องนะ แต่เวลาเราไปก็หมดไปเป็นหมื่น ไม่ว่าจะเป็นค่าซื้อธูปเทียนค่ารถค่าอะไร แต่พอไม่หายผมก็กลับมารักษาตัวเหมือนเดิม มากินยาที่โรงพยาบาลแล้วก็ฝังเข็มด้วย พอดีมีตลกที่เขาแนะนำให้ไปฝังเข็มก็ทำตามเขาก็ช่วยได้บ้าง”
“ตอนนี้ก็รักษาตัวหมดไปก็เยอะแล้ว ถ้ามีเงินเป็นก้อนพอรักษาตัวได้ก็อยากจะเลิกเล่นเหมือนกันเพราะมันเหนื่อย ต้องหิ้วถังออกซิเจนขึ้นเวทีด้วย แต่มันไม่มีเราก็ยังพอสู้ได้ก็ต้องสู้ต่อไป จะไปพึ่งพาพี่น้องเขาก็ไม่ได้ เพราะเขาก็มีครอบครัวมีลูกมีเต้า”
“เป็นแบบนี้มันก็มีผลกับงานบ้าง บางคนก็บอกว่าน้องทรายจะมาได้เหรอ แต่จริงๆ ผมก็เล่นได้แต่คงไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ให้กระโดดโลดเต้นคงไม่ได้ ถามว่าตั้งแต่ป่วยงานน้อยลงไหม มันก็น้อยลงนะ แต่คิดว่าคงเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจด้วย”
“ที่ผ่านมาก็หมดไปเยอะเหมือนกันมันซึมไปเรื่อยๆ ช็อตแรกที่เข้าโรงพยาบาลก็โดนไปเป็นแสน รวม 5 ปีมานี้ก็น่าจะ 5 แสนกว่าแล้ว ทำงานหาเงินมาได้เท่าไหร่ก็เอามารักษาตัว ไหนจะค่ายาค่าฝังเข็ม ค่าออกซิเจนถังหนึ่งก็แพงมากถังละ 12,000 บาท แต่ก็ยังดีซื้อหนเดียวพอหมดก็ไปเติม แต่บางทีมีอาหารเสริมอะไรดีๆ เราก็ต้องซื้อมาลองดู”
“ตอนนี้บอกตรงๆ ว่าเงินเก่าที่เก็บมามันก็ชักจะหมดแล้ว เงินใหม่ก็ไม่ค่อยจะเข้า ไม่รู้จะไปเล่นคาเฟ่ตรงไหน มันไม่มีที่เล่นแล้ว มีแต่หมูกระทะแต่เขาก็จ้างเฉพาะศุกร์-เสาร์ เวลาไปผมก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปงานแล้วก็ไปขึ้นรถตู้ต่อ เล่นที่ละ 2,500 -3,000 แบ่งกันทั้งคณะจะเหลือกันคนละเท่าไหร่ แต่ที่ได้ก็คืองานนอกพวกงานกินเลี้ยง งานวันเกิด งานแต่งงาน แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีงานนอกก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่”
“ช่วงลำบากก็มีบ้างเหมือนกัน บางทีไม่มีเงินทนได้ก็ทนเอาไม่ได้ไปหาหมอ แต่ที่ไม่ลืมบุญคุณเลยก็คือพี่เอก สรพงษ์(สรพงษ์ ชาตรี) เจอหน้าทีไรพี่เขาจะช่วยทุกที ถ้ามีอะไรเขาก็บอกให้โทรหาเขาได้ แต่เขาช่วยมาหลายครั้งแล้วก็เกรงใจเขา”
“บางคนอาจจะมองว่าน้องทรายมีคนรู้จัก แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ดังอะไร ก็มีคนรู้จักนิดๆ หน่อย พอเริ่มเก็บเงินได้ก็มาป่วย ประกอบกับเศรษฐกิจแบบนี้มันก็แย่เหมือนกัน จริงๆ ถ้าผมไม่ป่วยผมก็คงจะเก็บเงินได้เยอะแล้ว แต่นี่ได้เท่าไหร่ก็รักษาตัว ก็ต้องทำใจเพราะโรคนี้มันไม่หายขาดพยุงไปเรื่อยๆ ต้องพักผ่อนให้มากๆ”
“จริงๆ วันนี้มันยังไม่สุดหรอกแต่เงินมันเหลือน้อยแล้ว ถ้าปุบปับอะไรขึ้นมาก็ลำบาก แต่ก็โชคดีที่ตอนนี้ผมไม่ได้มีภาระอะไร ภรรยาลูกก็ไม่มี มีภาระคือตัวผมคนเดียว ตอนนี้ก็อยู่อพาร์ทเม้นต์คนเดียว บางทีพ่อก็มาเยี่ยมมาหาบ้าง ถ้าเจ็บป่วยหรือเป็นอะไรก็จะอาศัยโทรบอกเพื่อนให้มาช่วย ถังออกซิเจนก็ให้มอเตอร์ไซค์ไปเติมให้ พรุ่งนี้คิดว่าก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็คงต้องเล่นตลกต่อไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ก็ยังไหวอยู่ อนาคตข้างหน้าผมยังไม่ได้วางแผนเอาวันนี้ให้ได้ก่อนดีกว่า”
สำหรับใครที่อยากจะช่วยเหลือค่ารักษาตัวของ “น้องทรายคุณแม่ขอร้อง” สามารถร่วมบริจาคได้ที่ชื่อบัญชี นายธวัชชัย แสงคำ ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 021-2-67577-6