สุดสัปดาห์ที่แล้วอ.รัศมี กฤษณมิศ จากภาควิชาภาษาสเปน คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นญาติธรรมจากสันติอโศก และเป็นพันธมิตรฯ ที่เหนียวแน่นจากองทัพธรรมคนหนึ่ง พาไปพบกับ “โลกของฉือจี้” ที่เมืองฮวาเหลียน ซึ่งอยู่ทางภาคอีสานของเกาะไต้หวัน
โชคดีเป็นของพวกเรา...ได้พบกับท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน เจ้าของรางวัลแมกไซไซ พ.ศ. 2534 วัย 74 ปี ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฉือจี้มา 40 กว่าปีแล้ว ขณะที่กำลังจะออกเดินทางพาลูกศิษย์ไปช่วยประชาชนนับแสนคนทางภาคใต้ของไต้หวัน ผู้กำลังประสบกับมรสุมชีวิตจากเหตุ “มรสุมมรกต”
นี่เป็นภารกิจของท่านธรรมาจารย์ และชาวฉือจี้กว่า 10 ล้านคนทั่วโลกที่ยึดถือเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นคือกุศลกิจ และถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคนเหล่านี้ ที่พร้อมตระเวนออกไปช่วยคนผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งในไต้หวันและทั่วโลกอยู่เสมอๆ ด้วยรอยยิ้ม และเรื่องปกติเหล่านี้นี่เองที่ “คนฉือจี้” เรียกว่า “เมตตา”
มูลนิธิฉือจี้เกิดขึ้นด้วย “ความรักอันยิ่งใหญ่” ที่มนุษย์พึงมีให้กับมนุษย์ด้วยกันใน พ.ศ. 2509 โดยเริ่มต้นที่หัวใจใสสะอาดบริสุทธิ์ของสุภาพสตรีผอมบางผู้แน่วแน่ภายใต้เสื้อคลุม “ภิกษุณี” ร่วมกับแม่บ้านแห่งเมืองฮวาเหลียน 30 คน และเงินทุนก้อนแรกที่ออมมาจากค่ากับข้าวในแต่ละวัน วันละ 50 เซ็นต์ โดยการหยอดใส่กระบอกไม้ไผ่
ภารกิจของมูลนิธิฉือจี้เริ่มด้วยการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่อ่อนแอ เจ็บป่วยและยากไร้ให้พ้นทุกข์ จากนั้นก็พยุงเขาให้ลุกขึ้นยืนได้ใหม่อย่างเข้มแข็ง ด้วยอ้อมกอดแห่งรักที่เปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ เป็นการช่วยเหลือที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ และทำด้วยหัวใจยืดมั่นพรหมวิหาร 4 “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”
เวลานี้สำนักพุทธฉือจี้ จึงยิ่งใหญ่เป็น 1 ใน 4 ศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณที่เข้มแข็งของไต้หวัน
ว่ากันว่า 1 ใน 4 ของคนไต้หวันจะเป็นคนฉือจี้ และนักเรียนมัธยมปลายระดับหัวกะทิ 3 ใน 5 คนที่เข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้มาจากครอบครัวฉือจี้ รวมถึงนักธุรกิจใหญ่ผู้กุมเส้นเลือดของไต้หวัน 6 ใน 10 คนเป็นสมาชิกฉือจี้ด้วย
“ฉือจี้” แปลว่า เมตตา กำเนิดมาจากสุภาพสตรีใจบุญจากชนชั้นกลางนางหนึ่ง นาม ชิงหยุน ในวัย 25 ปี ที่ตัดสินใจออกบวชเพื่อตามหาความจริงแท้ และหนทางดับทุกข์ ภายหลังบิดาบุญธรรมเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และตั้งปณิธานจะสร้างสังคมสงบเข้มแข็ง ด้วยการสอนให้คนช่วยคนโดยไม่หวังผลตอบแทน
ท่ามกลางอดีตของไต้หวันที่ยังจนยาก ภิกษุณีเจิ้งเหยียนจึงกำหนดจิตใจแน่วแน่ว่า “วันใดไม่ทำงาน วันนั้นไม่กินข้าว”...งานของท่านในวันนั้นเริ่มด้วยการเยี่ยมเยียนผู้คนตามบ้าน และให้ความช่วยเหลือไม่เลือกหน้า เป็นภิกษุณีที่ไม่รับประกอบพิธีกรรม ไม่รบกวนอาหารจากชาวบ้าน แต่ปลูกผักกินเองพร้อมแจกจ่าย และเย็บรองเท้าเด็กอ่อนขาย เพื่อหารายได้จากคนมีไปช่วยคนขาดแคลนให้พ้นทุกข์
แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตภิกษุณีรูปนี้ก็เปลี่ยน เมื่อได้พบกับแม่ชี 3 คนจากสำนักคาทอลิกแห่งหนึ่ง การพูดคุยครั้งนั้นเพิ่มพูนแนวคิด และเปลี่ยนโฉมหน้าสมณารามเล็กๆ ของท่านอย่างสิ้นเชิง
วันนั้นหัวใจแน่วแน่ของภิกษุณีท่านนี้บอกกับร่างกายของตนเอง และเหล่าสานุศิษย์ว่า การทำงานหนักตลอดชีวิตเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้ยากไร้ให้พ้นทุกข์กำลังเริ่มต้นแล้ว ด้วยการประกาศ “ลงมือทำเดี๋ยวนี้เลย” กับการก่อตั้งมูลนิธิฉือจี้ ที่มีแนวร่วมรุ่นแรกเป็นแม่บ้านในตลาดเมืองฮวาเหลียน 30 คน ซึ่งเห็นดีเห็นงามกับงานบุญใหญ่ จนเป็นที่มาของคำขวัญว่า
“ออมเงินวันละ 50 เซ็นต์จากตะกร้ากับข้าวเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้”
ด้วยทุนก้อนน้อยกับใจที่ยิ่งใหญ่ ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนเดินหน้าพาแม่บ้านกลุ่มนี้เดินเท้าออกเยี่ยมเยียนผู้คนตามบ้านเรือนทั่วทุกหนแห่งทุกวันไม่หยุดหย่อน เริ่มที่เมืองฮวาเหลียนและเรื่อยไปไม่สิ้นสุด
ที่ไหนมีคนอดอยากจะได้รับอาหาร ที่ไหนขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มจะตัดเย็บเอามาให้ คนไหนมีที่พักสกปรกโกโรโกโสจะช่วยกันชะล้างและซ่อมแซม ใครเจ็บไข้ได้ป่วยจะช่วยกันพยุงรักษา และถ้าใครขืนร่างกายไปไม่ไหว เขาจะได้รับธรรมะบริสุทธิ์จนลมหายใจสุดท้ายหลุดลอย
กุศลกิจของท่านธรรมาจารย์ และเหล่าแม่บ้านแห่งฮวาเหลียนจึงเลื่องลือปากต่อปาก ชั่วเวลาไม่นานนักขบวนบุญของท่านธรรมาจารย์ก็ยาวขึ้น และกองทุนในมูลนิธิฉือจี้ก็ใหญ่ขึ้น แต่สมณารามท่านก็ยังคงยืนหยัดหาเลี้ยงตัวเองด้วยความสงบ สมถะไม่รบกวนประชาชนเช่นเดิม
วันนั้นเมืองฮวาเหลียนที่เคยเงียบสงัดจึงพลุกพล่านไปด้วยผู้คนทั้งหญิง-ชายที่หลั่งไหลมาทั่วทั้งไต้หวัน พวกเขามาสนทนาธรรมและร่วมขบวนบุญกับธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนที่สมณารามจิ้งซือ บางคนมาช่วยปลูกผักปลูกพืชกับภิกษุณีเพื่อใช้บริโภค และ แจกจ่ายคนจน ขณะที่บางส่วนพากันไปเก็บด้ายเหลือทิ้งจากโรงงานมาถักเป็นเสื้อกันหนาว –รองเท้าเด็กอ่อน-เย็บถุงสำหรับอาหารสัตว์-ทำเทียนไข-โม่แป้ง เพื่อนำออกขายเป็นรายได้ช่วยสมณารามให้ยืนหยัดสง่างาม และช่วยเหลือคนยากไร้ตามเจตนาคติของท่านธรรมาจารย์
คนเหล่านี้ปวารณาตัวถือศีล กินมังสวิรัติ และช่วยคนทุกข์ในนาม อาสาสมัครฉือจี้
แต่แล้วรอยเท้านักบุญของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนก็ถึงคราวสะดุดกับ “กองเลือดกองหนึ่ง” ในโรงพยาบาลฮวาเหลียนที่จอแจด้วยคนเจ็บ เลือดกองนี้มาจากหญิงชาวเขาครรภ์แก่ใกล้คลอด ที่เดินทางมาไกลและถูกปฏิเสธการรักษา เพียงเพราะไม่มีเงินประกันล่วงหน้า ด้วยเลือดกองเดียวแต่สร้างความปวดร้าวหัวใจแก่ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนยิ่งนัก จึงได้กำหนดปณิธานขึ้นว่า “จะต้องสร้างโรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตคนเจ็บป่วยทุกคนให้จงได้”
ท่านธรรมาจารย์จึงเริ่มป่าวประกาศระดมทุนจากลูกศิษย์ทุกชนชั้นทั่วไต้หวัน คนละเล็กละน้อยค่อยๆ สะสม ในที่สุดกองบุญเพื่อโรงพยาบาลก็แล้วเสร็จในเวลา 6 ปี
มูลนิธิฉือจี้ได้ก่อสร้างโรงพยาบาลฉือจี้แห่งแรกในเมืองฮวาเหลียนโดยไม่หวังผลกำไร ด้วยแรงบุญของทุกคนทำให้โรงพยาบาลฉือจี้เติบใหญ่ ทันสมัย ครอบคลุมทุกด้าน ปัจจุบันมีกระทั่งศูนย์มะเร็ง และศูนย์ไขกระดูกที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก
เวลานี้โรงพยาบาลฉือจี้ขยายออกไป 6 แห่งทั่วไต้หวัน และผลิตบุคลากรขึ้นมาเอง ด้วยการเปิดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และการพยาบาลฉือจี้ที่โด่งดังในฐานะแหล่งผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานและเปี่ยมคุณธรรม
เมื่อมูลนิธิฉือจี้เติบใหญ่ขึ้น ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนจึงประกาศภารกิจฉือจี้ 4 ประการแก่เหล่าสานุศิษย์ คือ ทำการกุศลช่วยเหลือผู้อื่น รักษาพยาบาล ให้การศึกษา และสร้างเสริมวัฒนธรรมดีงาม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของมนุษย์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ภายใต้กองทัพอาสาสมัครฉือจี้นับล้านๆ คนที่มีสมณารามจิ้งซือเป็นศูนย์กลางจิตวิญญาณกับธงธรรมสัญลักษณ์เรือสำเภากลางดอกบัวบานที่โบกสะบัดรอคอยการเดินทางเพื่อหยิบยื่นความช่วยเหลือผู้คนอยู่ ณ ศาลาประชาคมจิ้งซือ กลางเมืองฮวาเหลียน ที่อยู่ห่างจากไทเปไป 500 กว่ากิโลเมตร
ทุกๆ ปีสมาชิกฉือจี้จะนัดหมายกันมาสวดมนต์ภาวนาและฟังธรรมะดีๆ จากท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนยังศาลาประชาคมแห่งนี้ ซึ่งธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนจะเน้นย้ำให้คนฉือจี้ทุกคนทำบุญด้วยการช่วยคนยากไร้อย่างเร่งรีบแข่งกับเวลาที่เพิ่มพูนคนทุกข์ไปทั่วโลก
อาสาสมัครฉือจี้จึงมีทั่วทุกหนแห่งในโลกใบนี้ และชีวิตปกติของพวกเขาจะเปลี่ยนไปทันทีเมื่อสวมเครื่องแบบ “ฉือจี้” ออกไปค้นหาผู้ระทมทุกข์ และยื่นมือไปช่วยปัดเป่า โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะหรือผิวสี คนฉือจี้จึงแตกตัวออกไปเรื่อยๆ สร้างสมาชิกกลุ่มดอกบัวบานที่พร้อมช่วยเหลือกันและกันอย่างไม่ลังเล
บัดนี้ปณิธานของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ก่อกำเนิดเครือข่ายคนทำดีมากกว่า 10 ล้านคนแล้ว ช่วงเวลา 40 ปีก็มีสำนักงานฉือจี้ทั่วโลก มีโรงพยาบาลชั้นดีเยี่ยม-มีมหาวิทยาลัยฉือจี้ที่มีการเรียน การสอนครอบคลุมทุกสาขา-มีโรงเรียนประถมและมัธยมที่ได้มาตรฐานสากลอุดมด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ กำลังขยายไปทั่วทุกหนแห่งรวมถึงที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ด้วย...ทั้งหมดนี้ไม่หวังสิ่งตอบแทนและผลกำไร
ท่ามกลางภัยพิบัติที่ถาโถมมาสู่โลกมนุษย์ไม่หยุดหย่อน ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนจึงมีดำริส่งเสริมงานด้านวัฒนธรรมด้วยการก่อตั้งสถานีโทรทัศน์-วิทยุต้าอ้าย กับสื่อสิ่งพิมพ์ทุกรูปแบบหลายภาษา เพื่อเผยแผ่ธรรมะและเป็นสื่อกลางชักจูงจิตใจผู้คนให้โน้มเอียงสู่ทางธรรม
สถานีโทรทัศน์แห่งนี้มีเครื่องมือเครื่องไม้ทันสมัย รายการ 24 ชั่วโมงอัดแน่นไปด้วยข่าวสาร- สารคดี-รายการเด็ก- เพลง และละครสอนคุณธรรมที่แสนสนุกสนานไม่น่าเบื่อ
ที่นี่จึงเป็นโทรทัศน์ทางเลือกสีขาวที่ดึงดูดดาราดังๆ ในไต้หวันให้มาร่วมงานไม่น้อย และสามารถยืนหยัดเข้มแข็งได้ด้วยเงินบริจาคของสมาชิกฉือจี้ทุกคน คนละ 100 เหรียญต่อเดือน
ภายในสถานีโทรทัศน์-วิทยุต้าอ้ายยังเป็นที่ตั้งของ “ศูนย์แยกขยะ” ที่มีสถานีเครือข่ายอีก 5,000 แห่งทั่วไต้หวัน ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม-สิ่งแวดล้อม และหารายได้จากการขายขยะไปรีไซเคิล ไปช่วยพยุงสื่อต่างๆ ของฉือจี้ให้ทำงานเป็นสื่อสีขาวได้อย่างยั่งยืน สง่างาม
ทุกๆ เช้าหลังทำวัตรเรียบร้อย ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนจะเผยแผ่ธรรมะบริสุทธิ์จากสมณารามจิ้งซือ เมืองฮวาเหลียน ผ่านการถ่ายทอดสดจากสถานีโทรทัศน์ และวิทยุ ต้าอ้ายไปยังผู้ชม 38 ประเทศทั่วโลกพร้อมกัน
หลายปีมานี้สื่อมวลชนยักษ์ใหญ่ทั่วโลกให้ความสนใจองค์กรฉือจี้ถ้วนหน้า พวกเขาส่งทีมงานมุ่งหน้าสู่ฮวาเหลียนเพื่อติดตามโลกของฉือจี้แบบก้าวต่อก้าวด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าเพราะอะไร ภิกษุณีร่างเล็กผอมบางผู้น้ำหนักเพียง 41 กิโลกรัม จึงกลายเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ และทุกเพศ ทุกวัย ได้ถึงเพียงนี้
ทุกย่างก้าวของเธอคือ แนวทาง ทุกการกระทำ คือ แบบอย่าง และธงธรรมสัญลักษณ์ดอกบัวของเธอโบกสบัดไปทั่วทุกหัวระแหง ครอบคลุมกุศลกิจทุกด้านอย่างเข้มแข็งช่วยเหลือผู้คนไปแล้วนับล้านๆ คน
วันนี้วาทธรรมแห่งธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน กำลังกึกก้องว่าด้วย “เมล็ดพันธุ์ตกลงพื้น ย่อมงอกเงย” เราทุกคนต่างเกิดและดับ เมื่อมีลมหายใจต้องยืนหยัดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นกุศลกิจบนรากฐานของความซื่อสัตย์ จริงใจ สัจจะ และสมถะ...ช่างเหมือนกับกองทัพธรรม และพันธมิตรฯ อย่างเหลือเกิน.