“หนุ่ม กรรชัย” ยื่นฟ้องแบ่งสมบัติ “แม่เลี้ยง” 100 ล้าน ศาลนัดไกล่เกลี่ยนัดแรกยังไม่สำเร็จ นัดไต่สวนอีกที 27 พ.ค. เจ้าตัวมั่นใจชนะคดี แจง แม้ตนจะเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ที่ทำไปก็เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ในฐานะลูกคนหนึ่ง เปิดใจ รู้สึกไม่ดีที่พี่น้องต้องมาเปิดศึกแบ่งมรดกกันเอง
หลังจากพิธีกรและนักแสดงชื่อดัง “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแม่เลี้ยง “นางวิมลรัตน์ กำเนิดพลอย” และ “นายอัคระ” พี่ชายต่างมารดา ต่อศาลแพ่งธนบุรี เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนผู้จัดการมรดกและจัดแบ่งมรดกของบิดา “นายประกอบ กำเนิดพลอย” หลังจากที่คู่กรณีไม่ยอมแบ่งมรดกในส่วนที่ตนสมควรจะได้ในฐานะลูกคนหนึ่งให้ ซ้ำยังโอนทรัพย์สินบางอย่างไปเป็นของทายาทคนอื่นและบุคคลอื่น รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดร่วม 100 ล้าน จน หนุ่ม กรรชัย ได้ยื่นฟ้องทวงสิทธิ์ต่อศาลไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้(20 เม.ย.) นักแสดงหนุ่มได้เดินทางมายังศาลแพ่งธนบุรี พร้อมกับเพื่อนสนิท “โบ๊ท วิบูลย์นันท์” ที่ตามไปให้กำลังใจ เพื่อเข้าไกล่เกลี่ยตามที่ศาลนัดเป็นครั้งแรก ในขณะที่แม่เลี้ยงคู่กรณีไม่ได้เดินทางมาร่วมฟังการพิจารณาแต่อย่างใด ส่งเพียงญาติมาเป็นตัวแทนเท่านั้น
ซึ่งภายหลังจากเข้าเจรจา หนุ่มก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในวันนี้ยังตกลงกันไม่สำเร็จ ศาลนัดให้นำบัญชีมรดกทั้งหมดมากางชี้แจงต่อศาล อีกทีในวันที่ 27 พ.ค. ที่จะถึงนี้ พร้อมเผย แม้ตนจะเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็มีสิทธิ์ปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในฐานะลูกคนหนึ่ง
“วันนี้ศาลแพ่งธนบุรีนัดเป็นนัดแรกครับ วันนี้ศาลก็ถามนะครับว่าอยากจะไกล่เกลี่ยมั้ยในฐานะที่ผมยื่นฟ้องเป็นโจทย์ ก็เลยบอกท่านว่าจริงๆ เจตนาเราจริงๆ ต้องการที่จะไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว เพราะว่าจริงๆ แล้วคดีแบบนี้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน มันเป็นคดีในครอบครัวด้วย แล้วมันเป็นดคีที่น่าจะมีการรอมชอมกันได้ในขั้นต้น เพราะฉะนั้นก็เลยยินดีที่จะไกล่เกลี่ย ตอนแรกก็นัดวันกันไม่ได้ว่าจะไกล่เกลี่ยวันไหนดี ศาลก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นทำวันนี้เลยละกัน เพราะท่านจะต้องมีวันต่างหากอีกวันนึง พอดีท่านดูคิวแล้วว่าไกล่เกลี่ยได้ ก็เลยให้ไกล่เกลี่ย”
“แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดได้ ว่าไกล่เกลี่ยอยู่ในขั้นพอใจหรือไม่พอใจ เพราะว่าเดี๋ยวจะมีนัดครั้งต่อไปอีกที่จะต้องมา เพื่อที่จะต้องนำมรดกมาแจงให้ทางศาลได้รับรู้ว่ามีอะไรบ้าง อย่างบัญชีพระเครื่องต่างๆ นานา ถ้าไกล่เกลี่ยไม่ได้ก็ต้องสืบพยานต่อ ครั้งต่อไปก็ 27 พฤษภาคมครับ ตอนนี้ยังไกล่เกลี่ยอยู่ ทางเราก็แจ้งความจำนงไป ว่าถ้าทางอีกฝ่ายนึงต้องการจะไกล่เกลี่ย เราก็ยินดีที่จะไกล่เกลี่ยด้วย แต่ทีนี้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความถูกต้องและความเป็นจริง”
เผย ไม้ได้รู้สึกอับอายที่คุณแม่ของตนเองไม่ใช่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย การฟ้องขอแบ่งสมบัติเป็นเรื่องของความเป็นธรรม ที่ลูกทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน
“ความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเราก็รู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะหนึ่งก็คือเป็นพี่น้องเราเอง คือเป็นคุณแม่ด้วย ก็เหมือนกับว่าเรารู้จักกัน เพราะฉะนั้นการที่จะต้องมาขึ้นศาล แล้วมีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น ผมว่ามันเป็นเรื่องแย่สำหรับความรู้สึกอยู่แล้วนะครับ อีกอย่างนึงคือทุกสิ่งทุกอย่างมันมองได้หลายอย่างหลายแบบ บางคนอาจจะเข้าใจ บางคนอาจจะไม่เข้าใจ อย่างพี่ๆ ผมบางคนอาจจะไม่เข้าใจ ว่าทำไมผมทำแบบนี้”
“แต่ว่าผมเองก็มีจุดยืนของผมในสิ่งที่ผมจำเป็นต้องทำ และผมก็เชื่อว่าผมเองต้องเรียกร้องความเป็นธรรม และปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครจะเป็นเมียน้อย ใครจะเป็นเมียหลวง ผมถามว่าเมียน้อยไม่ใช่คนเหรอ ก็คือคนเหมือนกัน เมียหลวงเป็นคนมั้ยก็คนเหมือนกัน แต่สิ่งที่จะต้องทำให้มันถูกต้องคือ ตามกฎหมาย แล้วทายาทก็คือมีสิทธิเท่าเทียมกันทุกคน อันนี้คือหลักกฎหมายที่ชัดเจน ทีนี้บางสิ่งบางอย่างมันอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง”
“แล้วอีกอย่างคุณแม่ผมเองแม้จะไม่ได้เป็นภรรยาที่จดทะเบียนนะครับ แต่ว่าก็อยู่กินกันมานานแล้ว และผมรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างมันเป็นเรื่องของความถูกต้อง มันไม่เกี่ยวกับว่าใครคือเมียหลวงเมียน้อย ปัญหาที่มันฟ้องร้องกันคือมันอยู่ตรงผมมากกว่า ว่าได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ได้รับแค่นั้นเอง ปัญหาอยู่ตรงนั้น คือคุณแม่ผมเองก็เสียไปแล้ว แล้วถ้าจะมาพูดกันถึงเรื่องนี้ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องน่ะครับ แล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกอับอายขายหน้าด้วยว่าผมเป็นลูกเมียที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ ผมว่าผมก็เกิดมาเป็นคน คุณแม่ผมก็เป็นคน มีฐานะมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับทุกๆ คน”
“ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง คือถ้าจะบอกว่าดีเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหกนะครับ มันก็คือเป็นเรื่องที่ต้องมาถกเถียงกันว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก ถ้าผมมาบอกว่าคุยกันดีก็คือผมโกหก เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อผมมีหลักฐานอะไร ผมก็พูดไปอย่างนี้ ส่วนอีกฝ่ายนึงจะมาบอกว่าผมได้นู้นได้นี่ไปแล้ว มันก็เป็นเรื่องของหลักฐาน มันไม่ใช่แค่คำพูด คำพูดเขาพูดอะไรก็ได้ แต่หลักฐานสิมันเป็นอะไรที่ยืนยันได้ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานเรื่องประกอบ หรือว่าหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้อันนั้นมากกว่า”
ตัดพ้อ สิ่งที่ต้องการคือความเป็นธรรมในฐานะเป็นลูกคนหนึ่ง ที่ก็มีสิทธิในมรดกของบิดา
“ผมต้องการแค่ความเป็นธรรมเท่านั้นเองครับ ถามว่าอยากได้เงินรึเปล่า ผมถามว่าทุกคนทำงานไม่อยากได้เงินหรือครับ ทุกคนอยากได้เงินหมด เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะทำงานทำไม ผมไม่ได้เป็นคนรวย ผมไม่สบาย ผมไม่ได้ทำงาน ผมต้องซื้อของกิน ต้องซื้อข้าว คนจะมาพูดทำไมว่าอยากได้เงินเหรอ ก็อยากได้เงินไง คือในส่วนของผมมันถูกต้องตามกฎหมายน่ะ ทำไมล่ะ ถูกมั้ยครับ”
“มันเป็นอะไรที่มันตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้มากกว่านี้นะครับ เพราะถามว่าทำไมผมเพิ่งฟ้อง ก็เพราะความถูกต้อง ความเป็นธรรมมันคือทรัพย์สินของคุณพ่อผม บางสิ่งบางอย่างมันอาจจะไม่ใช่เป็นตัวเงิน คือเป็นสิ่งที่คุณพ่อรักเราอาจจะเก็บไว้ให้ลูกเราได้ เอาไว้ให้หลานก็ได้ อย่างน้อยก็สืบทอดต่อๆ ไปยังดีกว่าเอาไปขายทอดตลาดกัน ผมว่ามันก็ไม่ดีนะ”
“อย่าใช้คำว่ายักยอกเลย เอาเป็นว่าของที่เรายังไม่ทราบว่ามีอะไรบ้างก็คงยังมีอีกเยอะ เพราะฉะนั้นคือทางศาลก็ยังไม่ได้รับทางอีกฝ่ายนึงว่ายื่นบัญชีทรัพย์สินกองมรดกมา คือตั้งแต่คุณพ่อเสียชีวิตต้องมีการยื่นทรัพย์สินมา แต่ไม่มีการยื่นเข้ามา เพราะฉะนั้นก็คงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะต้องดูกันต่อไป ส่วนที่ว่าจะบอกว่าผมได้อะไรไปแล้วบ้าง ผมว่ามันไม่ใช่ประเด็น แล้วก็สมมติถามผมว่า ผมได้รองเท้าของคุณพ่อมาคู่นึง แล้วทุกคนก็ได้รองเท้าคนละคู่ แล้วส่วนอื่นๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันต้องชัดเจนไง แต่ตอนนี้เท่าที่ผมทราบคร่าวๆ ก็คงมีที่ดิน ทรัพย์สินอื่นๆ อะไรอย่างนี้นะครับ รวมๆ แล้วผมว่าน่าจะมีสักเป็นร้อยล้านขึ้นนะครับ”
บอก ผลการฟ้องร้องจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล แต่ลึกๆ เจ้าตัวก็มีความหวังว่าจะชนะและได้ในสิ่งที่เรียกร้อง
“ทุกคนมีสิทธิที่จะหวังอยู่แล้วว่าต้องชนะ ทีนี้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล และผมเชื่อว่าศาลยุติธรรมที่สุดแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นการที่เราจะเรียกร้องความยุติธรรม ผมเชื่อว่ามีศาลไว้เพื่อที่จะปกป้องความยุติธรรมของประชาขนจริงๆ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าจะแพ้หรือชนะก็อยู่ที่ศาลด้วย แล้วก็ในความรู้สึกคืออยู่ที่หลักฐานว่ามีอะไรบ้าง”
“ก็อยากให้มองในส่วนของผมด้วยนะครับ คือในความเป็นจริงผมก็อยู่ในส่วนของอีกบ้านนึงอยู่แล้ว แล้วมันมีปัญหาฟ้องร้องอย่างนี้เกิดขึ้น ถ้าวันนึงต้องมีการเอาที่ดินทรัพย์สักแปลงมาใส่ชื่อรวมกัน หรืออะไรก็ตามแต่ ถามว่าผมยังจะเข้าหน้ากันติดได้อยู่เหรอ ในหลักความเป็นจริงมันไม่ใช่ไง คือถ้าอันไหนเป็นส่วนของคุณคุณเอาไว้ และส่วนไหนเป็นส่วนของผมคุณก็เอามาให้ผมก็เท่านั้นเอง คือผมไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องขายอันนั้นอันนี้มาให้ผมมันไม่ใช่ มันเป็นไปตามกระบวนการอยู่แล้วนะครับ อย่าไปเข้าใจผิดว่าผมต้องให้มันเป็นอย่างนั้นต้องให้มันเป็นอย่างนี้ แค่อันไหนมันเป็นส่วนเป็นสิทธิของผม ก็คืนสิทธิผมมาเท่านั้นเอง”
“ความชัดเจนยังไม่ทราบครับ ต้องอยู่ที่คราวหน้าด้วย ว่าความชัดเจนมันอยู่ตรงไหน ว่าสิ่งที่เอามาให้ศาลดูมันเท็จจริงขนาดไหน มีความถูกต้องมั้ย ถ้าเป็นไปตามกระบวนการมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ามันมีอะไรที่มันไม่ใช่มันไม่ถูกไม่ควร ก็ต้องเพิ่งบารมีศาลต่อไป แล้วศาลจะเป็นคนตัดสินเอง”