xs
xsm
sm
md
lg

"โอ๊ค-เอม-อุ๊งอิ๊ง" ออกหนังสือแก้ต่างให้พ่อแม้วจวกศาล-บอกโดนยึดอำนาจเพราะคนมันอิจฉา!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ลูกทักษิณ” ดาหน้าแก้ต่างให้พ่อ ออกหนังสือพอกเก็ตบุ๊กเปิดเผยความในใจ บอกสงสารคนจนมีคนช่วยอยู่ดีๆ ก็โดนยึดอำนาจ ตามรอยพ่อจวกกระบวนการยุติธรรม บอกที่โดนรัฐประหาร เพราะ “คนมันอิจฉา” ด้าน “โอ๊ค” ประกาศเล่นการเมือง “อุ๊งอิ๊ง” เคลียร์เรื่องทำหน้าเบะใส่ศาล ซัดนี่กฎหมายเหรอ!!

ขบวนการแย่งชิงพื้นที่สื่อต้องยกให้ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นที่หนึ่ง หลังจากที่ออกมาโฟนอินจนปั่นป่วนไปทั่ว ก็ขยับความเข้มข้นด้วยการวิดีโอลิงก์ด่ากราดฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับฉะแหลกองคมนตรีกระทบเบื้องสูง เปิดศึกน้ำลายสาดโคลนกันแบบไม่สนฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

ล่าสุด ก็เกิดกระบวนการประชาสัมพันธ์ฟอกภาพลักษณ์ทักษิณกันยกใหญ่ เริ่มตั้งแต่ “พายัพ ชินวัตร” ที่จู่ๆ ก็ลุกออกมาเขียนหนังสือเล่าเรื่องชีวิตธรรมะของตนเอง งานนี้แม้จะไม่มีเรื่องการเมือง หรือชื่อของทักษิณมาเกี่ยวข้อง แต่ก็เหมือนเป็นการประกาศให้สังคมรับรู้ว่า ญาติสนิทมิตรสหาย และพวกพ้องที่โดนตั้งข้อสงสัยว่า ได้รับผลประโยชน์จากการเป็นนายกฯของทักษิณนั้น ล้วนแต่เป็นคนดีไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

ต่อมาสำนักพิมพ์มติชน ก็ส่งหนังสือ “ลับ ลวง พราง ซ่อนรูปปฏิวัติ หักเหลี่ยมโหด” เผยถึงเบื้องหลังการทำรัฐประหารล้มล้างระบอบทักษิณ ชี้ให้เห็นว่า มันมีกระบวนการที่ทำให้ทักษิณหมดอำนาจวาสนา สอดคล้องกับ “หมวดเจี๊ยบ ร.ท.หญิง สุนิสา เลิศภควัต” ที่ออกหนังสือ “ทักษิณ ARE YOU OK ?” ออกมาขย่มอีกระลอก โดยหนังสือเล่มนี้เล่าถึงชีวิตของทักษิณที่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทำงานอยู่ตลอดเวลา แม้แต่อยู่บนเครื่องบิน สรรเสริญเยินยอให้เห็นข้อดีของทักษิณ

ล่าสุด “โอ๊ค พานทองแท้-เอม พิณทองทา-อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร” ลูกชายและลูกสาวของทักษิณก็แทกทีมกันออกหนังสือ “คนอื่นเรียกนายก แต่เราเรียก พ่อ” เล่าถึงชีวิตหลังรัฐประหารของทักษิณโดยผ่านมุมมองของลูกๆ มีการยกย่องพ่อของตนเอง ทั้งในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศ และในฐานะที่เป็นผู้นำครอบครัว พร้อมทั้งเล่าถึงเรื่องราวชีวิตของตนเองที่ถูกสังคมกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เพราะเป็นลูกของทักษิณ รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรม

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นจังหวะที่พอดิบพอดีสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของทักษิณและคนเสื้อแดง ทำให้หลายๆ คนมองว่า การที่มีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับทักษิณอาละวาดบนแผงอย่างต่อเนื่องแบบนี้ น่าจะเป็นกระบวนการทางการตลาดที่พยายามสื่อให้เห็นว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี เป็นผู้นำประเทศที่ดี แต่กลับถูกรัฐประหารล้มล้างอำนาจ

โดยเมื่อช่วงบ่ายนี้ (4 เม.ย.) “โอ๊ค-เอม-อุ๊งอิ๊ง” ก็ได้เปิดตัวหนังสือ “คนอื่นเรียกนายก แต่เราเรียก พ่อ” ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงไปร่วมให้กำลังใจ นอกจากนั้นแล้ว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ได้เดินทางมาร่วมงานด้วย แต่ที่ทำเอาฮือฮาสุดๆ เห็นจะเป็น “ลีเดีย ศรัณญ์รัชต์ วิสุทธิธาดา” ที่มาพร้อมกับครอบครัว และ “แมทธิว ดีน” ที่มาร่วมให้กำลังใจเช่นกัน โดยเฉพาะพ่อของลีเดียนั้น ถึงขั้นใส่เสื้อแดงมาร่วมงานเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ในการเปิดหนังสือของของทั้งสาม กลับไร้เงา “คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” มาร่วมงาน

เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายในงานมีการจัดระบบการรักษาปลอดภัยที่แน่นหนา มีการนำเอาเครื่องสแกนอาวุธมาตั้งบริเวณทางเข้างาน ทั้งที่ปกติแล้วจะมีการตั้งเครื่องดังกล่าวเฉพาะบริเวณเข้าออกประตูใหญ่เท่านั้น ยังไม่นับการ์ดที่รายล้อมไปทั่วงาน ซึ่งงานนี้ “กึ้ง เฉลิมชัย มหากิจศิริ” เพื่อนสนิทของโอ๊ค รับหน้าที่พิธีกรบนเวที โดยทั้งสามคนได้เปิดใจถึงที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ว่า....

เอม : “หนังสือเล่มนี้มันเกิดจากการที่เรา 3 คนมาคุยกันว่า น้องอิ๊งเจออะไรมาบ้าง พี่โอ๊คเจออะไร เอมเจออะไร เราก็เลยรู้สึกว่าจะมีคนนอกบ้างไหมที่รู้เรื่องของพวกเราอย่างที่พวกเรารู้กัน หรืออย่างเพื่อนที่สนิทในกลุ่มรู้กันจะมีใครทราบบ้างไหม ก็เลยอยากจะรู้ว่าถ้าเราได้แชร์ประสบการณ์ส่วนหนึ่งออกมาอาจจะทำให้มองพวกเราในอีกมุมหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยมอง”

อุ๊งอิ๊ง : “จริงๆ เรื่องที่เขียนในหนังสือทั้งหมด คือ เรื่องที่ครอบครัวเราคุยกันมาตลอด จนมีพี่คนหนึ่งเข้ามาฟังแล้วถามว่า เรื่องแบบนี้มีคนอื่นรู้บ้างรึเปล่า เราก็บอกว่าไม่มีใครเคยรู้ เป็นเรื่องที่เพื่อนสนิทเท่านั้นที่รู้ ก็เลยอยากจะแชร์ความรู้สึกตรงนี้ให้คนอื่นได้รับทราบ”

โอ๊ค : “คือ พวกเราไม่เคยเล่นการเมือง แต่เหมือนว่าตอนนี้พวกเราโดนการเมืองเล่นตลอดเวลา อยากให้คนแยกให้ออกว่าคนไหน คือ นักการเมืองและครอบครัวนักการเมืองมันจะว่าเกี่ยวมันก็ไม่เกี่ยว ก็คือ แยกบทบาทกันให้ออก เพราะพวกเราคือครอบครัวนักการเมืองไม่ใช่นักการเมืองครับ”

อุ๊งอิ๊ง : “เราคิดทำหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว คิดกันมานานแล้วพอดีทางวัฏฏะ บอกว่า จะมีสัปดาห์หนังสือช่วงนี้ก็อยากให้รีบทำ ให้สรุปให้เสร็จมันจะได้ทัน”

เผย “ทักษิณ” ไม่รู้เรื่องที่ลูกๆ ทำหนังสือ และไม่มีส่วนรู้เห็น
โอ๊ค : “ตอนแรกพ่อก็ช็อกนิดหน่อย เพราะว่าพวกเราอาจจะเคยออกสื่อบ้าง แต่อิ๊งเขาจะไม่ค่อยออก จะค่อนข้างเก็บตัว พ่อก็จะงงมากว่าทำไม 3 คนถึงออกมาอย่างนี้”

อิ๊ง : “ตอนแรกพ่อก็ห๊าจะทำกันจริงๆ เหรอลูก ซึ่งเราก็ยืนยันว่าจะทำ ตอนนั้นจำได้ว่าอยู่ที่อังกฤษ ก็ยืนยันกับเขาว่าอยากทำจริงๆ มันคือความจริงใจ คือได้กำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่มีส่วนในการเขียนหรืออะไร เป็นพวกเราล้วนๆ คุณแม่ก็เพิ่งเห็นหนังสือเมื่อวานนี้เองค่ะ เพราะยังไม่มีเวลาเลย”

โอ๊ค : “เป็นลูกนายกฯ ลำบากกว่าตอนเป็นลูกนักธุรกิจเยอะเลย คือ ตอนเด็กๆ ทำอะไรก็ได้ ไม่ค่อยมีใครมาจับตาอะไรมากมาย แต่พอมาได้เป็นลูกนายกฯ ทำอะไรก็อยู่ในสปอตไลต์ ความส่วนตัวอะไรทุกอย่างก็หายไป แล้วตอนนี้ไม่ได้เป็นแต่ก็ยังเหมือนเดิมยิ่งกว่าเดิมอีก”
อุ๊งอิ๊ง : “อยากให้คนที่อ่านลองทำใจนิ่งๆ ไม่ต้องเข้าข้างพวกเราก็ได้ ลองคิดดูว่าถ้าท่านมีครอบครัวและลูกของท่านเจอแบบนี้รู้สึกแบบนี้ ท่านตัดสินพวกเราด้วยความยุติธรรมนะคะ เพราะพวกเรายืนยันว่ามาจากความจริง 100% ค่ะ”

ย้อนอดีตถึงวันที่เกิดรัฐประหาร
โอ๊ค : “ตอนนั้นผมอยู่กรุงเทพฯครับ แล้วคุณพ่อกับอิ๊งอยู่อังกฤษ รายละเอียดไปอ่านในหนังสือดีกว่าครับ แต่ความรู้สึกตอนนั้นคือตกใจทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไง แม่ไม่ให้กลับบ้าน รู้สึกตอนนั้นจะนอนในรถ แล้วก็ไปนอนบ้านเลขาคุณกึ้ง แต่นอนใต้ถุนบ้านนะครับ หาที่นอนไม่ได้ ก็วิ่งหนีไปมา”

อุ๊งอิ๊ง : “ตอนแรกอยู่บ้านเพื่อน และเลขาคุณแม่โทร.มาบอกตอนนั้นตกใจมาก ขับรถอยู่บนทางด่วน คืนนั้นเป็นห่วงพี่โอ๊คมาก เพราะเจอคุณแม่แล้วแต่พี่โอ๊คยังไม่มา คือ ตอนนั้นอิ๊งมารอที่บ้านเซฟเฮาส์แล้ว และโทรศัพท์ก็ไม่ให้ใช้ เพราะเดี๋ยวโดนดักฟังโทรศัพท์จะรู้ว่าเราไปที่ไหน พี่เอมก็โทร.มาว่าทุกคนอยู่ยังไง ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครอยู่กับอิ๊งเลย ก็เลยโทร.มาพี่โอ๊คว่าจะมาหาอิ๊งคืนนี้ไหม พี่โอ๊คก็บอกว่าพี่ยังไม่รู้ ก็เลยต้องวางหูก่อนเพราะเดี๋ยวเขารู้ว่าเราอยู่ที่ไหน มันเหมือนในหนังเลย ในหนังเป็นยังไงมันเกิดขึ้นในชีวิตเราจริงๆ ตอนนั้นก็ขอให้มาอยู่ตรงหน้ากันให้ครบ แล้วจากนั้นค่อยว่ากัน แต่ตอนนั้นก็ยากกว่าจะครบ”

โอ๊ค : “ตอนนั้นมันมีความคิดแว๊บขึ้นมาในหัว เพราะไม่รู้ว่าอะไรยังไง ถ้าทหารจะมาจับไปเป็นตัวประกันเพื่อให้คุณพ่อกลับมาติดคุก ซึ่งถ้าเกิดอย่างนั้นจริงซึ่งผมก็เขียนในหนังสือว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ยอมยิงตัวตายดีกว่า ไม่ยอมทำตัวให้เดือดร้อนพ่อครับ”







เอม : “เรียนอยู่ที่อังกฤษค่ะ ก็ออกจากคลาสมา เพราะคุณแม่โทร.เข้ามา ก็อึ้งไปหนึ่งนาทีว่ามันคืออะไร เพราะมันห่างไกลจากชีวิตพวกเรา พอฟังก็รู้สึกตกใจว่าแม่โอเคหรือเปล่า เพราะเอมจะเป็นคนเดียวที่ปลอดภัยที่สุด ก็เลยรีบกลับบ้านเพื่อนก็พากลับบ้าน”

อิ๊ง : “ช่วงนั้นพี่เอมปลอดภัยที่สุด แต่ก็เป็นคนที่เป็นห่วงทุกคนมากที่สุด เพราะเขาไม่ทราบอะไรเลยว่าเมืองไทยถึงไหนแล้ว โทร.มาก็ร้องไห้ ว่า ทุกคนเป็นไงอยู่ยังไงเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก”

เอม : “เอมเป็นคนแรกที่ได้เจอกับคุณพ่อ เพราะเอมอยู่อังกฤษอยู่แล้ว พอคุณพ่อไม่ได้เข้าเมืองไทย ก็บินจากอเมริกามาหาเอมที่อังกฤษว่าคุณพ่ออยู่อังกฤษ ก็เลยเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้อยู่กับคุณพ่อ ตอนนั้นเอมรู้สึกว่าเป็นคนที่มีความรู้สึกรับผิดชอบสูงมากที่จะทำให้คุณพ่อหายกังวลหายเครียด แต่ก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ที่คุณพ่อได้เจอลูก”

“ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย รู้สึกว่าคำพูดที่มันสวยหรูมันไม่มีแล้ว พอไปกอดคุณพ่อก็ไม่รู้ว่าจะปลอบอะไรก็ได้แต่ปลอบคุณพ่อว่า ไม่เป็นไรนะจะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น”

ความเปลี่ยนแปลงหลังรัฐประหาร
เอม : ตอนนั้นคุณพ่อจากที่เป็นคนสนุกก็จะเงียบ เครียด เอมถามว่าพ่อทานอะไรไหม ก็จะไม่หิวพ่อลดหุ่น ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ก็รู้สึกกดดัน ชวนถ่ายรูปก็ไม่ยอมถ่ายทำอะไรก็ไม่ทำ

พอถามเรื่องความรักที่มีให้พ่อ “อุ๊งอิ๊ง” ก็น้ำตาคลอขึ้นมาทันที
อุ๊งอิ๊ง : “คุณพ่อในฐานะหัวหน้าครอบครัวเป็นพ่อของลูกทั้งสามคนพ่อทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว แล้วก็ไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย ทุกวันนี้ก็คือ......(ร้องไห้) เอาอย่างนี้ละกันค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะทุกข์จะสุขพ่อก็ยังจะมีครอบครัวของเราไปตลอด”

“ถ้าเกิดวันนี้พ่อได้กลับเมืองไทยมาแล้ว ก็คงจะเข้าไปกอดพ่อ ก็บอกพ่อว่า คงไม่มีที่ไหนดีเหมือนแผ่นดินที่พ่อเกิด ไม่มีที่ไหนอบอุ่นเท่าบ้านเรา พ่อยังจะมีคนที่รักพ่อเป็นประชาชนทั่วไปแล้วก็เป็นคนในครอบครัวก็ยังรักพ่ออยู่เสมอ เพราะฉะนั้นก็ขอให้พ่ออยู่บ้านเมื่อกลับมาที่บ้าน”

พิธีกรถามคำถาม ถ้าเกิดชาติหน้ายังจะเป็นลูก “ทักษิณ” อีกไหม ?
โอ๊ค : “ถ้าได้เกิดใหม่ก็จะเกิดเป็นลูกพ่อตลอดไปครับ”
เอม : “ก็คงจะเกิดมาเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่เหมือนเดิมนี่แหละค่ะ แต่ถ้าเป็นไปได้ให้พ่อเป็นแค่นักธุรกิจก็พอดีไหม”

หลังจากนั้น พิธีกรก็กล่าวปิดงานแถลงข่าว และทั้งสามก็ได้มาเปิดแถลงข่าวให้สัมภาษณ์นักข่าวอีกครั้ง โดย “โอ๊ค” ได้เปิดใจคนแรกว่า อยากให้พ่อกลับมาพรุ่งนี้
“จริงๆ มันเหมือนเป็นการคุยกันเอง แต่ถ้าถามว่าอยากให้พ่อกลับเมื่อไหร่ ก็อยากให้กลับพรุ่งนี้เลย แต่ถ้าถามว่าจริงๆ แล้วในรายละเอียดทุกคนก็อยากให้พ่อกลับเร็วๆ พ่อก็อยากกลับเร็วๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอยากจะกลับตอนนี้ ตอนนั้นหรือตอนไหน ในใจของลูกทุกคนอยากให้กลับเร็วที่สุดครับ ไม่ได้มีเวลาเฉพาะเจาะจงว่าเมื่อไหร่จะกลับ”

เผยเหตุทำให้เลือกออกหนังสือช่วงนี้ ทำไมจะต้องออกมาพร้อมกับการชุมนุมกับคนเสื้อแดง เหมือนหวังผลทางการเมืองหรือมีใครชี้นำ งานนี้ทั้งสามปฏิเสธ
โอ๊ค : “คือ พวกเรามองว่าเป็นช่วงสัปดาห์นังสือมากกว่าเป็นเรื่องการชุมนุม แล้วก็อย่างที่ทุกคนรู้ว่าเวลาตรงนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะแบบว่าเพิ่งจะมากะเมื่อวานว่าจะวันนี้ออกก็ได้ มันต้องมีเรื่องเนื้อหา เรื่องรูปทุกอย่างมันต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง คือเราคุยกันมาหลายเดือนแล้ว และก็มาเร่งให้ออกทันช่วงสัปดาห์หนังสือ ถ้าถามทางสำนักพิมพ์ก็จะรู้อยู่แล้วว่ามีการบุ๊คเวลานี้มานานก่อนช่วงจะมีการชุมนุมอะไรทั้งสิ้นครับ”

เอม : “อย่างที่แจงไปว่าไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองทำในเรื่องของการเมือง คือ เราทำฐานะลูกทั้ง 3 คน อยากจะทำมาตั้งนานแล้ว แต่บังเอิญมันออกมาในช่วงสัปดาห์หนังสือ ออกมาในช่วงนี้ก็เลยออกมาแบบนี้”

ส่วนเรื่องที่ “ทักษิณ” ออกมาประกาศสู้ตายพร้อมจะนำมวลชนบุกกรุงเทพฯนั้น โอ๊ค บอกว่า “พ่อตามหาความยุติธรรม”
โอ๊ค :คุณพ่อคงถามหาความยุติธรรม ซึ่งเราเองก็เป็นห่วงคุณพ่อ และให้กำลังใจในทุกๆ อย่างที่คุณพ่อทำ แต่ถ้าจะถามว่าตรงพ้อยท์ที่เราทำกันตรงนี้ มันไม่ได้มีความคิดที่จะไปเกี่ยวหรือว่าจะไปช่วยส่งเสริมหรืออะไรตรงนั้นเลยจริงๆ แต่เรื่องคนวิพากษ์วิจารณ์อันนี้เราก็คงจะชินแล้วครับ จะทำอะไรก็โดนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโดนอีกเรื่องหนึ่งก็คงเป็นเรื่องธรรมดาแล้วล่ะครับ”

เอม : “อยากจะบอกในฐานะคนเป็นลูกๆ ว่า พวกเราถูกเลี้ยงมาให้เป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่เป็นนักการเมือง แต่พวกเราเกิดมาแล้วมันเป็นครอบครัวของนักการเมือง แล้วทุกวันนี้ที่พวกเราถูกการเมืองเล่นก็คิดว่าไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่สำหรับพวกเรานะคะ ก็แค่เน้นพวกเรา ก็เลยอยากจะออกมาแชร์ว่า อาจจะมีเรื่องบางเรื่องที่หลายคนอาจจะมีทราบก็ได้ว่าเกิดขึ้นกับพวกเราจริงๆ”

นักข่าวถาม หนังสือเล่มนี้คิดว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของ “ทักษิณ” ดีขึ้นหรือไม่ อุ๊งอิ๊งรีบชิงตอบ
อุ๊งอิ๊ง : “ก็อย่างที่พวกเราบอกแล้วว่า แค่มีคนเข้าใจพวกเราเพิ่มขึ้นสักหนึ่งคน เราก็จะดีใจมากและขอบคุณมากค่ะ”

ยันไม่ได้อยากออกมาเคลียร์แทน “ทักษิณ” แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจ
โอ๊ค : “อันนี้มันเป็นความรู้สึกของเรื่องวงในครับ คืออย่างที่ผมบอกว่าเราไม่ใช่นักการเมือง เราเป็นครอบครัวนักการเมือง ก็อยากให้ทุกคนแยกแยะให้ออกนิดหนึ่งว่า ไอ้การที่เป็นครอบครัวนักการเมือง แล้วไม่ได้เล่นการเมือง แล้วโดนการเมืองเล่นมันกดดันมันอะไรขนาดไหน คือทุกอย่างเราไม่ได้เคลียร์ ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น แค่พูดความจริงว่าทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้นทั้งหมดกับเรา พวกเราโดนอะไรมาบ้าง และอาจจะมีหลายเรื่องที่ทุกคนไม่เคยเห็น และอาจจะนึกว่าจริงเหรอ โดนขนาดนี้จริงๆ เหรอ มันก็คืออ่านสนุกๆ มันก็ใช่ครับ มันเป็นประสบการณ์หลายๆ อย่างที่พวกเราไม่เคยแชร์กับใคร”

เอม : “ก็ขอให้ทุกเสื้อทุกสีได้อ่านในฐานะว่าถ้าพวกคุณมีลูก หรือว่ามีกลุ่มเพื่อนที่โดนอะไรแบบนี้จะรู้สึกยังไง เป็นอีกมุมหนึ่งที่แชร์กันค่ะ”

หลังจาก “เอม” ตอบจบฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็ตัดบทขอให้ยุติการสัมภาษณ์ โดยให้เหตุผลว่าจะมีคนมารอขอลายเซ็น นักข่าวก็เลยยิงคำถามสุดท้าย ถึงสาเหตุที่ทำให้ผ่านพ้นทุกอย่างมาได้ งานนี้ลูกสาวคนเล็ก “อุ๊งอิ๊ง” ตอบสั้นๆ ว่า
“ครอบครัวค่ะ เรามีครอบครัวที่เข้มแข็งจริงๆ”

โอ๊ค : ”นอกจากนั้น ก็คือ ยังมีประชาชนที่เข้าใจเราจริงๆ อย่างในหนังสือที่ผมเขียน ผมจะบอกเลยว่า ผมได้ไปเติมพลังที่อีสานเชียงใหม่จริงๆ รู้สึกได้เลยว่าจริงๆ นะยังมีคนที่รักและเข้าใจครอบครัวเรามากพอสมควร ก็เป็นกำลังใจให้คุณพ่อ ให้พวกเราได้อยู่กันมาจนถึงตอนนี้ครับ”

เอม : “ก็ขอขอบคุณแล้วกัน ขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจคุณพ่อมาโดยตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร เป็นนายกฯ หรือตอนนี้ไม่ได้เป็นนายกฯ แล้ว กำลังสู้ห่างไกลบ้านขนาดนี้ ก็ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้พวกเราค่ะ”

สำหรับเนื้อหาในหนังสือนั้นนอกจากจะเล่าเรื่องของทักษิณ การทำหน้าที่ผู้นำครอบครัว และผู้นำประเทศแล้ว ลูกๆ ทั้งสามก็ยังเล่าประสบการณ์ของตนเองที่มักจะโดนคนอื่นกลั่นแกล้ง ดูถูก เย้ยหยัน เพราะเป็นลูกของทักษิณ รวมไปถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่ตนเองมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง อาทิเช่น

การไปให้ข้อมูลกับคตส. โดยมีการกล่าวว่า ทำไมต้องเอาคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับพ่อมาเป็นคตส. โดย “เอม” มีการบรรยายความรู้สึกตอนนั้นอย่างอัดอั้นตันใจว่า “นี่เอมอายุรุ่นลูกรุ่นหลานคุณนะ มีจิตใจบ้างหรือเปล่า”

“โอ๊ค” เล่าถึงช่วงที่หนีในวันที่เกิดรัฐประหารว่า หากถูกจับได้จะยิงตัวตายเพราะไม่อยากให้พ่อติดคุก “ขณะนั้นโอ๊คคิดเลยว่า ถ้าโอ๊คต้องถูกพวกนั้นจับไป เพื่อเรียกพ่อกลับเมืองไทยมาติดคุกโอ๊คจะยิงตัวตาย ซึ่งหากเขาจับลูกคนใดคนหนึ่งไว้ ยังไงพ่อก็ต้องกลับแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องหนีก่อน”

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดรัฐประหารและนำไปสู้การฟ้องร้อง “ทักษิณ” ในเรื่องคอร์รัปชันต่างๆ รวมไปถึงความไม่จงรักภักดีนั้น แต่ “โอ๊ค” ตอบสั้นๆ ว่า “คนมันอิจฉา”

สำหรับเหตุการณ์ในวันที่พิพากษาคดีเลี่ยงภาษีอากรหุ้น บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ของ “คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” ที่ “อุ๊งอิ๊ง” ชักสีหน้าไม่พอใจ มีการทำหน้าเบ้ เบะปาก ไม่เคารพศาล จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกว่าไม่เหมาะสม ทั้งในฐานะที่เป็นลูกของคนระดับผู้นำประเทศ และในฐานะที่เป็นบัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งอุ๊งอิ๊งได้เล่าในหนังสือถึงเหตุผลที่ทำสีหน้าบอกบุญไม่รับว่า

“อึ้งช็อกเหมือนกันนะกับวันนั้น เพราะในครอบครัวได้คุยกันแล้วว่าเรื่องเป็นยังไง แล้วที่ที่เขาอ่านน่ะ มันยังไง เขาอ่านเหมือนพูดเรื่องการเมือง คืออิ๊งฟังแล้วคิดว่านี่กฎหมายเหรอ มาตราไหน แล้วผิดยังไงล่ะ มันเลยออกทางสีหน้าอิ๊งจนคนนั้นเขามองหน้าอิ๊ง”

ด้าน “เอม” ก็กล่าวเสริมในเหตุการณ์นี้ว่า “พวกเรารู้ว่าไม่มีอะไร แต่คิดอยู่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะบ้านเราไม่ได้รับความยุติธรรมมาหลายเรื่องแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะถึงขนาดแม่ต้องติดคุก ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่น่าจะเลวร้ายขนาดนั้น พอออกมาอย่างนั้นเราก็อึ้ง เราเห็นพ่อในบรรยากาศนั้นสีหน้าพ่อแย่มาก เพราะพ่อรู้สึกว่า พ่อมาเล่นการเมืองเลยทำให้แม่ต้องติดคุก แล้วภาพที่เห็นคือ แม่อยู่ในคอกของจำเลย”

ส่วนเรื่องการกระทำของ “ทักษิณ” ที่ส่งผลกระทบกับลูกๆ นั้น อุ๊งอิ๊งบรรยายในหนังสือว่า “ อิ๊งพูดกับพ่อว่า พ่อถ้าให้เลือก อิ๊งก็ไม่เป็นลูกคนอื่นนะ เป็นลูกพ่อดีที่สุดแล้ว ไม่เคยเสียใจเลยที่เป็นลูกพ่อ ไม่มีข้อข้องใจแม้แต่วินาทีเดียว ดังนั้น พ่อจะทำอะไร พ่อทำไปเลย”




กำลังโหลดความคิดเห็น