“หมอกฤษฏ์” สวนกลับ “ลีเดีย” ฟ้องกราว 3 คดีโดนทั้งอาญาและแพ่งเรียกค่าเสียหายเกทับ 100 ล้านบาท ด้าน “แมทธิว” โดนหางเลขเป็นจำเลยที่ 2 ส่วน “แม่ลีเดีย” รับคนเดียวไปจังๆ 2 คดีทั้งแพ่งและอาญา โทษฐานละเมิดและทำความผิดต่อเสรีภาพ พร้อมเรียกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาท แถมถ้าผิดติดคุก 3 ปี
หลังจากที่ “ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา” นักร้องชื่อดังซึ่งเป็นโจทย์ยื่นฟ้องอาญาและแพ่ง “หมอกฤษฏ์ คอนเฟิร์ม” ศุกฤษฎ์ ปทุมศรีวิโรจน์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 50 ล้านบาทนั้น เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาศาลอาญาก็ได้เรียกทั้งคู่มาไกล่เกลี่ย ซึ่งเป็นการไกล่เกลี่ยครั้งที่ 2 แต่ปรากฏว่า ทางด้านนักร้องชื่อดังไม่มาตามนัด เป็นเหตุให้การไกล่เกลี่ยล้มเหลว
ความคืบหน้าล่าสุดหมอกฤษฏ์ตัดสินใจยื่นฟ้อง “ลีเดีย” กับ “แมทธิว ดีน” ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกร้องค่าสินไหมทดแทน 100 ล้านบาท โดยดำเนินการฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญา ทั้งนี้ยังได้ฟ้องอาญา “ศันสนีย์ วนะไชยเกียรติ” คุณแม่ของลิเดีย ในข้อหาความผิดต่อเสรีภาพ และฟ้องแพ่งในคดีละเมิดเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 100 ล้านบาท
“วันที่ 18 กุมภาพันธ์ผมได้ยื่นฟ้องไป 3 คดีครับ ศาลประทับรับฟ้องไปเรียบร้อยแล้ว และกำหนดนัดวันไต่สวนมูลฟ้องคดีเรียบร้อยแล้ว สำหรับคดีแรกยื่นฟ้องที่ศาลาอาญารัชดาระหว่างนายศุกฤษฎ์ ปทุมศรีวิโรจน์ ซึ่งก็คือผม ยื่นฟ้องนางสาวศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดาเป็นจำเลยที่ 1 นายแมทธิว ดีน ฉันทวานิช เป็นจำเลยที่ 2 ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและเรียกค่าเสียหายทดแทนจำนวน 100 ล้านบาท ศาลประทับรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว 10.19 นาทีเมื่อเช้านี้”
“และฟ้องคดีอาญาที่ศาลแขวงปทุมวัน ผมเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนางสาวศันสนีย์ วนะไชยเกียรติ ข้อหาฐานความผิดต่อเสรีภาพนะครับ และก็คดีแพ่งที่ศาลแพ่งรัชดาคดีดำเลขที่ 624/2552 ระหว่างผมเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนางสาวศันสนีย์ วนะไชยเกียรติ ฐานความผิดละเมิดและเรียกสินไหมทดแทนความเสียหายจำนวน 100 ล้านบาทครับ ศาลก็ประทับรับฟ้องเรียบร้อยแล้วครับ”
เผยเหตุที่ต้องฟ้องเพราะอดทนอดกลั้นมานานแล้วแต่เรื่องราวก็ไม่คลี่คลาย
“ที่ต้องฟ้องเพราะที่ผ่านมาพ่อแม่ก็ให้อดทนอดกลั้นแล้ว พ่อแม่บังคับผมเลยว่าให้เงียบและให้อดทนอดกลั้น รอให้ทุกอย่างมันคลี่คลาย ซึ่งเราก็พยายามมามากแล้ว วันไกล่เกลี่ยผมพาพ่อแม่ผมไปครบเลยครับ พี่น้องครบเลย ทางเขาส่งทนายมาครับ ครั้งที่ 2 ก็เช่นเดียวกันครับแล้วจะให้ผมไปไกล่เกลี่ยกับใครล่ะครับ เจตนาเขาไม่อยากไกล่เกลี่ยอยู่แล้วหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบครับ”
“ตอนนี้ผมมีพยานหลักฐานพร้อม เป็นพยานในเรื่องที่จะต่อสู้กับเขาในคดีที่เขาฟ้องมา และก็พยานและหลักฐานในการที่ผมจะฟ้องเขา 3 คดีผมก็มีหลักครบครัน แต่หลักฐานเป็นอะไรนั้นผมเปิดเผยไม่ได้เพราะมันจะเสียรูปคดี แต่เป็นหลักฐานที่ผมก็มั่นใจพอสมควร และผมก็อยากจะขอบคุณแฟนคลับของผมทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ช่วยกันหาหลักฐานจัดส่งให้ผมในการประกอบการต่อสู้คดี และก็ให้ดำเนินการฟ้องในครั้งนี้”
การที่ “ลีเดีย” ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวไม่หยุดก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ยื่นฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในครั้งนี้
“การที่เขาให้สัมภาษณ์ไม่หยุดก็มีส่วน อย่าลืมนะครับผมเงียบไปเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมก็เงียบตลอดไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ แต่ก็น่าจะเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างเท่านั้นแหละจบ นั่นคือสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดมันอาจจะไม่ถูกต้อง ตอนแรกเราก็คิดว่ามันจะดีขึ้น แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้เราก็ต้องดำเนินการ”
ส่วนเหตุที่ต้องฟ้อง “แม่ลีเดีย” นั้นเป็นเหตุเกิดจากวันที่ถูกแม่ลิเดียขึ้นไปจวกให้กราบเท้าบนเวที
“ที่ต้องฟ้องเขาเพราะเหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวานั่นแหละครับ ส่วนทำไมจะต้องฟ้องคดีอาญา และทำไมต้องฟ้องข้อหานี้เอาไว้ผมจะแถลงข่าวอีกที”
ยันฟ้อง 200 ล้านเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผล
“200 ล้านบาทคิดว่าไม่สูงนะครับ ผมถือว่าจริงๆ 200 ล้านบาทมันสมเหตุสมผลแล้วนะครับ ถามว่าการฟ้องร้องครั้งนี้หวั่นอิทธิพลไหม ตรงนี้ผมไม่รู้ครับ”
สำหรับการฟ้องกลับของ “หมอกฤษฏ์” ในครั้งนี้ “ประกอบ แสงสุวรรณ” ทนายความและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายได้ให้ความเห็นว่า สามารถทำได้ทั้งทางแพ่งและอาญา และการแสดงเจตจำนงโดยการฟ้องคดีอาญานั้น แสดงว่าผู้ฟ้องต้องการให้จำเลยได้รับโทษสูงสุด
“สำหรับกรณีของหมอกฤษฏ์นั้น การยื่นฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทสามารถยื่นฟ้องได้ทั้งทางแพ่งและอาญา เป็นความผิดตามมาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถ้าต้องการค่าสินไหมทดแทนก็ต้องยื่นฟ้องทางแพ่ง แต่ถ้ายื่นฟ้องคดีอาญาก็เป็นไปได้ว่าผู้ฟ้องต้องการให้ดำเนินคดีและรับโทษสูงสุด”
“ส่วนกรณีฟ้องอาญาข้อหาความผิดต่อเสรีภาพนั้น เป็นความผิดตามมาตรา 309 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือ จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้ กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถือว่าเป็นคดีที่ร้ายแรงพอสมควรขึ้นอยู่กับพฤติกรรมความผิดของผู้ถูกฟ้องด้วย”
