แม้จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักสำหรับคนทั่วไปที่จะก้าวขึ้นไปยืนในวงการบันเทิง และที่ยิ่งยากขึ้นไปอีก ก็คือ การทำให้ตนเองมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมากระทั่งเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่
เรียกว่าถ้าจะเป็น “ตัวจริง” ก็ต้องวัดกันที่ความสามารถที่มีจริง ฝีไม้ลายมือของจริง ยกตัวอย่างในบ้านเรา ก็อย่างเช่น ส.อาสนจินดา, มิตร ชัยบัญชา, เพชรา เชาวราษฎร์, ภาวนา ชนะจิต, อโนเชาว์ ยอดบุตร, ยอดชาย เมฆสุวรรณ, จุรี โอศิริ, พิศมัย วิไลศักดิ์, สมบัติ เมทะนี, นิรุตติ์ ศิริจรรยา, ลิขิต เอกมงคล, สรพงษ์ ชาตรี, กรุง ศรีวิไล, จารุณี สุขสวัสดิ์, ฉัตรชัย เปล่งพานิช, สันติสุข พรหมศิริ, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง, อำพล ลำพูน, พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, แหม่ม จินตหรา, สินจัย เปล่งพานิช, จอย ศิริลักษณ์, แอน สิเรียม, กวาง กมลชนก ฯลฯ
แต่ปัจจุบันหาใช่เช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
หลายคนเข้าวงการง่ายๆ เพราะคบคนในวงการ หลายคนเข้าวงการด้วยการทำตัวให้เด่นในแวดวงสังคมหรูหราไฮโซ หลายคนเอาเรื่องเซ็กซ์เป็นขั้นบันได ที่สำคัญก็คือ หลังเข้าวงการมาแล้ว มี “ดารา” หลายคนทีเดียวที่อยู่ในวงการได้ด้วยการ “เป็นข่าว” หาใช่เกิดจากความสามารถแต่อย่างใด
“หญิง อภิสรา รักชาติ” มีชื่อขึ้นมาก็เพราะมีข่าวเป็นกิ๊กกับเจ้า “บอล ภราดร” ประกอบกับความใจกล้าที่จะโชว์เรือนร่าง ทำให้มีงานพิธีกร งานอีเว้นต์เรียงคิวเข้ามาไม่น้อย, ย้อนไปไกลกว่านั้นอย่าง “อ้อย จุฑารัตน์ อัตถากร” นี่ก็ดังเพราะเรื่องแต่งตัว ถ่ายหวือแล้วก็ข่าวคบผู้ชาย แต่ถามว่าทุกวันนี้เธอมีผลงานการแสดงอะไรให้เป็นที่จดจำ หลายคนคงนึกหัวแทบแตก
ด้าน “หญิง จุฬาลักษณ์ กฤติยารัตน์” ก็เป็นอีกหนึ่งที่เคยมีชื่อ-ภาพปรากฏตามหน้าสื่อค่อนข้างถี่ เมื่อช่วง 4-5 ปีที่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการอาศัยความหวือหวา และเกาะกระแสหากินนั้นค่อนข้างจะหาความจีรังในเรื่องของการเป็นที่จดจำได้ยาก
“หม่อมปลื้ม ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล” รายนี้อาจจะเริ่มต้นด้วยความเด่นในสายงานนักข่าว-ผู้ประกาศ แต่พอเข้าสู่เส้นทางบันเทิง ทั้งการเป็นนักร้อง-ดาราหนัง ต่างก็ไม่เป็นที่จดจำสักเท่าไหร่
สาวสวยดีกรีนางงาม “โบว์ อัจฉราภรณ์ อินทรสกุล” แต่ก่อนก็ไม่มีผลงานให้เห็นแต่เป็นที่รู้จักขึ้นมาก็เพราะมีข่าวว่าเป็นมือที่สามของหนุ่ม “โดม ปกรณ์ ลัม” กับ “พลอย เฌอมาลย์” ไม่ต่างอะไรกับ “หญิงแม้น ม.ร.ว.แม้นนฤมาส ยุคล” แต่ก่อนนักข่าวบันเทิงอาจจะไม่สนใจนัก แต่หลังจากมีข่าวกับ “แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม” ดูเหมือนว่าตอนนี้ไม่ว่าเธอจะขยับไปที่ไหนกองทัพนักข่าวเป็นต้องขยับตาม
ในรายของ “กุ๊บกิ๊บ” คงจะเป็นเรื่องที่ตอบได้ยากทีเดียวว่าเธอจะมีใครสนใจมั้ย? เธอจะมีงานเข้ามาเยอะมั้ย? เธอจะดังเป็นข่าวมั้ย? บนเงื่อนไขที่ว่าหากแฟนหนุ่มของเธอไม่ใช่พระเอกหนุ่มมาแรง “มาริโอ้ เมาเร่อ” ที่แม้จะมีข่าวเรื่องส่วนตัวเยอะในช่วงหลังๆ ทว่า หลายคนก็ยังประทับใจกับบทบาทการแสดงที่เขาฝากไว้ในภาพยนตร์ “รักแห่งสยาม”
เช่นเดียวกับทายาทค่ายมวย “เปรม บุษราคัมวงษ์” กับคำถามที่ว่าหากเขาไม่ได้เป็น (อดีต) คู่หมั้นกับนักร้องหญิง “ทาทา ยัง” แล้ว โอกาสที่เขาจะได้แสดงหนังจะมีความเป็นไปได้เชียวหรือ?
หรืออย่างกรณีล่าสุดกับสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น “ชัญญ่า ทามาดะ” ที่กำลังจะได้กลายเป็นดาราเล่นละคร ก็เพราะมีข่าวเกี่ยวกับผู้ชายใช่หรือไม่ ขณะที่ “ฟลุค เกริกพล” เองซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ชายที่ช่วยสร้างข่าวให้เธอ ใครช่วยตอบหน่อยได้หรือไม่ว่าหลังจากละครแจ้งเกิด “ทอฝันกับมาวิน” แล้ว เขาเป็นข่าวขึ้นมาด้วยเงื่อนไขอะไร ระหว่างความสามารถทางการแสดงกับพฤติกรรมการควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า?
“มีดาราหลายคนนะที่เข้าใจว่า การที่ตนเองเป็นข่าวไม่ว่าจะแง่บวกหรือลบ ล้วนจะช่วยให้ตนเองมีงานเยอะขึ้น ซึ่งมันก็มีส่วนจริงๆ นะ...” แหล่งข่าวนักข่าวสายบันเทิงคนหนึ่งแสดงความคิดเห็น
“ที่ว่าจริงก็เพราะสายการทำงานของดารามันมันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คนเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นอยู่ก็ในเฉพาะจอแก้ว จอเงิน วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ แต่เดี๋ยวนี้มันมีทั้งสื่อออนไลน์ และที่สำคัญ ก็คือ มันมีงานอีเวนต์ต่างๆ ให้ออกเยอะมาก แล้วพวกจัดงานประเภทนี้นะจะชอบเหลือเกินกับคนที่เป็นข่าวอยู่เพราะต้องเล่นกับความเร็วไง”
“แต่หลายคนไม่ได้คิดเลยว่า ทั้งข่าวที่ออกมา ทั้งงานที่รับทำนั้นมันเหมาะ มันส่งผลต่อตัวเองเช่นไร”
แหล่งข่าวคนเดิมบอกต่อไปว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยกับการที่เรื่องส่วนตัวของดารา-นักร้องจะเป็นข่าว เพียงแต่ที่บ้านเรากลับไปให้ความสนใจกับเรื่องที่ว่ามากเสียจนลืมไปเลยว่าคนเหล่านั้นมีความสามารถอะไรที่สนับสนุนคำว่า “ดารา” นอกจากการขยันเป็นข่าว
“เคน ธีรเดช นุ่น วรนุช อ้อม พิยดา อนันดา ชาคริต พลอย เฌอมาลย์ ตัวอย่างเหล่านี้ แม้เขาหรือเธอจะเป็นข่าวทำนองที่ว่าเปลี่ยนแฟนบ่อย มีคนรักเยอะ แต่ก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่ามีความสามารถทางด้านการแสดงจริงๆ ส่วนคนอื่นๆ มีหลายคนเลยถ้าไม่เป็นข่าวก็นึกไม่ออกว่าพวกเธอเล่นเรื่องอะไร ถนัดบทแบบไหน”
“เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นว่า คนที่เป็นดาราก็คือคนที่มีข่าวเยอะๆ ไปซะแล้ว ไม่ใช่คนที่เก่งเสียจนกลายเป็นดาวในวงการแต่อย่างใด”
หากพิจารณาตามคำบอกกล่าวในข้างต้นแล้ว ส่วนหนึ่งที่มีส่วนเป็นอย่างมากทีเดียวในการเพาะพันธุ์ดารารุ่นใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องมีความสามารถ หรือมันสมองอะไรมากมายอีกต่อไปแล้วก็คือสื่อนั่นเอง
เพราะถ้านักข่าวไม่ทำเป็นข่าว แล้วมันจะเป็นข่าวได้อย่างไร?
คอลัมนิสต์ชื่อดัง “ลำแข” ได้เคยเขียนเรื่องของดารากับสื่อ ไว้อย่างน่าสนใจในหัวข้อที่ว่า “ดาราโง่เพราะสื่อ” ในคอลัมน์ “งานเป็นเงา” ด้วยการหยิบยกกรณีการออกมาประท้วงอดีตรัฐบาลก่อนร่วมกับฝ่ายพันธมิตรฯ ของ “ตั้ว ศรัณยู” โดยมีคนในวงการบันเทิงบางส่วนแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะกลัวจะกระทบไปถึงการงานที่ทำ
ซึ่ง ลำแข มองว่า เป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุดด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นคนละเรื่องกัน
...ถ้าคนร่วมสังคมซึ่งมีสิทธิมีเสียงตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสังคมเรื่องนั้นไม่ได้เรื่องนี้ไม่ได้ สังคมนั้นก็คงพิกลพิการเต็มที
โดยเฉพาะวงการบันเทิง ซึ่งมีแต่ข่าวประเภทเตียงหัก, รักร้าง, ระยะทางแพ้ความใกล้ชิด, เพื่อนสนิทเดินห้างแต่ค้างคอนโดเดียวกัน ฯลฯ ประเภทนี้
ไม่มีข่าวที่แสดงให้เห็นว่านักแสดงเมืองไทยมีสติปัญญาหรือไม่ หรือมีสติปัญญาอยู่สักแค่ไหน เพราะถามบรรดานักแสดงเองก็ปรารภอยู่เสมอว่า ก็ถามผมถามหนูแต่เรื่องที่ว่านั้น อาจมีว่าถึงฤดูเลือกตั้งทีก็ถามให้เกี่ยวข้องเสียสักที ไม่มีอะไรลึกซึ้ง
กลายเป็นว่า นักแสดงไม่รู้เรื่องการเมือง หรือหากแสดงออกเรื่องการเมืองก็จะกลายเป็นเรื่องผิดแปลก หรือหัวรุนแรงไป ทั้งๆ เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน
จึงอาจอนุมานเอาได้ว่า เนื่องจากสื่อนี่เองที่จำกัดพื้นที่การแสดงออกทางอื่นๆ ของบุคลากรในวงการบันเทิง ให้เหลือเพียงเรื่องในมุ้งใกล้มุ้งเฉียดมุ้งเท่านั้น
ภาพของวงการจึงถูกทำให้เหลวไหลเลื่อนเปื้อน มีแต่สนุกสนานเฮฮา ไปงานโน้นออกงานนี้ อวดเครื่องแต่งกายอวดเครื่องประดับ การทำงานก็มุ่งขายแต่เลิฟซีน เล่นเลิฟซีนทีทั้งๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากนุ่งน้อยห่มน้อยบ้าง หรือกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบ้าง ก็กลายเป็นบทที่ท้าทายไป ทั้งๆ ท้าทายความสามารถตรงอวัยวะส่วนไหนก็ไม่รู้
และแม้แต่ขายข่าวเฉพาะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กันอย่างเดียวแล้ว ก็ยังทำให้ดีไม่ได้...
จากข้อความบางส่วนดังกล่าว แหล่งข่าวคนเดิมมองว่า...“อย่างที่คุณลำแขเขียนไว้มันก็ถูกนะ เพราะเวลาที่นักข่าวเราไปสัมภาษณ์ดาราส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นคำถามด้วยคำว่า มีข่าวว่า...มีข่าวลือว่า...มีคนเห็น...ซึ่งมันทำให้ข่าวเรื่องส่วนตัวประเภทเปลี่ยนแฟน รักร้าว เตียงหัก ควงสาว ดูไม่น่าเชื่อถือ”
"ทีนี้มันก็เลยมีการเพิ่มดีกรีด้วยรูป ภาพปาปารัซซี ภาพโป๊ ภาพหลุด ประมาณว่าต้องการจะฟ้องมันด้วยภาพนี่แหละ ซึ่งมันก็มีปัญหาตามมาเพราะส่วนใหญ่ก็จะถูกดาราโต้กลับมาว่าไปกันตั้งหลายคนแต่ทำไมถ่ายแค่ 2 คน อีกอย่างคำบรรยายรูปทำนองนี้นะบางทีเหมือนกับคนดูหนังโป๊แล้วเอามาเล่าน่ะ คือเห็นหมด รู้หมด”
“แต่เชื่อมั้ย บทสรุปของข่าวประเภทนี้มันก็เข้าข่ายที่หลายคนเขาพูด คือ ข่าวลือในวงการบันเทิงน่ะ 80% คือเรื่องจริง ซึ่งผมก็อยากจะเสริมอีกว่าในแต่ละเรื่องนั้นมันจะจริงเต็มร้อยหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่งนะ แล้วที่สำคัญ ก็คือ นักข่าวก็จะย้อนกลับถามไปยังคนอ่านเองด้วยแหละว่า ก็คุณต้องการข่าวแบบนี้ใช่มั้ย?”
เป็นปุจฉาที่ผู้อ่านคงต้องวิสัชนาเอาเอง
เรียกว่าถ้าจะเป็น “ตัวจริง” ก็ต้องวัดกันที่ความสามารถที่มีจริง ฝีไม้ลายมือของจริง ยกตัวอย่างในบ้านเรา ก็อย่างเช่น ส.อาสนจินดา, มิตร ชัยบัญชา, เพชรา เชาวราษฎร์, ภาวนา ชนะจิต, อโนเชาว์ ยอดบุตร, ยอดชาย เมฆสุวรรณ, จุรี โอศิริ, พิศมัย วิไลศักดิ์, สมบัติ เมทะนี, นิรุตติ์ ศิริจรรยา, ลิขิต เอกมงคล, สรพงษ์ ชาตรี, กรุง ศรีวิไล, จารุณี สุขสวัสดิ์, ฉัตรชัย เปล่งพานิช, สันติสุข พรหมศิริ, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง, อำพล ลำพูน, พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, แหม่ม จินตหรา, สินจัย เปล่งพานิช, จอย ศิริลักษณ์, แอน สิเรียม, กวาง กมลชนก ฯลฯ
แต่ปัจจุบันหาใช่เช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
หลายคนเข้าวงการง่ายๆ เพราะคบคนในวงการ หลายคนเข้าวงการด้วยการทำตัวให้เด่นในแวดวงสังคมหรูหราไฮโซ หลายคนเอาเรื่องเซ็กซ์เป็นขั้นบันได ที่สำคัญก็คือ หลังเข้าวงการมาแล้ว มี “ดารา” หลายคนทีเดียวที่อยู่ในวงการได้ด้วยการ “เป็นข่าว” หาใช่เกิดจากความสามารถแต่อย่างใด
“หญิง อภิสรา รักชาติ” มีชื่อขึ้นมาก็เพราะมีข่าวเป็นกิ๊กกับเจ้า “บอล ภราดร” ประกอบกับความใจกล้าที่จะโชว์เรือนร่าง ทำให้มีงานพิธีกร งานอีเว้นต์เรียงคิวเข้ามาไม่น้อย, ย้อนไปไกลกว่านั้นอย่าง “อ้อย จุฑารัตน์ อัตถากร” นี่ก็ดังเพราะเรื่องแต่งตัว ถ่ายหวือแล้วก็ข่าวคบผู้ชาย แต่ถามว่าทุกวันนี้เธอมีผลงานการแสดงอะไรให้เป็นที่จดจำ หลายคนคงนึกหัวแทบแตก
ด้าน “หญิง จุฬาลักษณ์ กฤติยารัตน์” ก็เป็นอีกหนึ่งที่เคยมีชื่อ-ภาพปรากฏตามหน้าสื่อค่อนข้างถี่ เมื่อช่วง 4-5 ปีที่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการอาศัยความหวือหวา และเกาะกระแสหากินนั้นค่อนข้างจะหาความจีรังในเรื่องของการเป็นที่จดจำได้ยาก
“หม่อมปลื้ม ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล” รายนี้อาจจะเริ่มต้นด้วยความเด่นในสายงานนักข่าว-ผู้ประกาศ แต่พอเข้าสู่เส้นทางบันเทิง ทั้งการเป็นนักร้อง-ดาราหนัง ต่างก็ไม่เป็นที่จดจำสักเท่าไหร่
สาวสวยดีกรีนางงาม “โบว์ อัจฉราภรณ์ อินทรสกุล” แต่ก่อนก็ไม่มีผลงานให้เห็นแต่เป็นที่รู้จักขึ้นมาก็เพราะมีข่าวว่าเป็นมือที่สามของหนุ่ม “โดม ปกรณ์ ลัม” กับ “พลอย เฌอมาลย์” ไม่ต่างอะไรกับ “หญิงแม้น ม.ร.ว.แม้นนฤมาส ยุคล” แต่ก่อนนักข่าวบันเทิงอาจจะไม่สนใจนัก แต่หลังจากมีข่าวกับ “แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม” ดูเหมือนว่าตอนนี้ไม่ว่าเธอจะขยับไปที่ไหนกองทัพนักข่าวเป็นต้องขยับตาม
ในรายของ “กุ๊บกิ๊บ” คงจะเป็นเรื่องที่ตอบได้ยากทีเดียวว่าเธอจะมีใครสนใจมั้ย? เธอจะมีงานเข้ามาเยอะมั้ย? เธอจะดังเป็นข่าวมั้ย? บนเงื่อนไขที่ว่าหากแฟนหนุ่มของเธอไม่ใช่พระเอกหนุ่มมาแรง “มาริโอ้ เมาเร่อ” ที่แม้จะมีข่าวเรื่องส่วนตัวเยอะในช่วงหลังๆ ทว่า หลายคนก็ยังประทับใจกับบทบาทการแสดงที่เขาฝากไว้ในภาพยนตร์ “รักแห่งสยาม”
เช่นเดียวกับทายาทค่ายมวย “เปรม บุษราคัมวงษ์” กับคำถามที่ว่าหากเขาไม่ได้เป็น (อดีต) คู่หมั้นกับนักร้องหญิง “ทาทา ยัง” แล้ว โอกาสที่เขาจะได้แสดงหนังจะมีความเป็นไปได้เชียวหรือ?
หรืออย่างกรณีล่าสุดกับสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น “ชัญญ่า ทามาดะ” ที่กำลังจะได้กลายเป็นดาราเล่นละคร ก็เพราะมีข่าวเกี่ยวกับผู้ชายใช่หรือไม่ ขณะที่ “ฟลุค เกริกพล” เองซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ชายที่ช่วยสร้างข่าวให้เธอ ใครช่วยตอบหน่อยได้หรือไม่ว่าหลังจากละครแจ้งเกิด “ทอฝันกับมาวิน” แล้ว เขาเป็นข่าวขึ้นมาด้วยเงื่อนไขอะไร ระหว่างความสามารถทางการแสดงกับพฤติกรรมการควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า?
“มีดาราหลายคนนะที่เข้าใจว่า การที่ตนเองเป็นข่าวไม่ว่าจะแง่บวกหรือลบ ล้วนจะช่วยให้ตนเองมีงานเยอะขึ้น ซึ่งมันก็มีส่วนจริงๆ นะ...” แหล่งข่าวนักข่าวสายบันเทิงคนหนึ่งแสดงความคิดเห็น
“ที่ว่าจริงก็เพราะสายการทำงานของดารามันมันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คนเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นอยู่ก็ในเฉพาะจอแก้ว จอเงิน วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ แต่เดี๋ยวนี้มันมีทั้งสื่อออนไลน์ และที่สำคัญ ก็คือ มันมีงานอีเวนต์ต่างๆ ให้ออกเยอะมาก แล้วพวกจัดงานประเภทนี้นะจะชอบเหลือเกินกับคนที่เป็นข่าวอยู่เพราะต้องเล่นกับความเร็วไง”
“แต่หลายคนไม่ได้คิดเลยว่า ทั้งข่าวที่ออกมา ทั้งงานที่รับทำนั้นมันเหมาะ มันส่งผลต่อตัวเองเช่นไร”
แหล่งข่าวคนเดิมบอกต่อไปว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยกับการที่เรื่องส่วนตัวของดารา-นักร้องจะเป็นข่าว เพียงแต่ที่บ้านเรากลับไปให้ความสนใจกับเรื่องที่ว่ามากเสียจนลืมไปเลยว่าคนเหล่านั้นมีความสามารถอะไรที่สนับสนุนคำว่า “ดารา” นอกจากการขยันเป็นข่าว
“เคน ธีรเดช นุ่น วรนุช อ้อม พิยดา อนันดา ชาคริต พลอย เฌอมาลย์ ตัวอย่างเหล่านี้ แม้เขาหรือเธอจะเป็นข่าวทำนองที่ว่าเปลี่ยนแฟนบ่อย มีคนรักเยอะ แต่ก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่ามีความสามารถทางด้านการแสดงจริงๆ ส่วนคนอื่นๆ มีหลายคนเลยถ้าไม่เป็นข่าวก็นึกไม่ออกว่าพวกเธอเล่นเรื่องอะไร ถนัดบทแบบไหน”
“เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นว่า คนที่เป็นดาราก็คือคนที่มีข่าวเยอะๆ ไปซะแล้ว ไม่ใช่คนที่เก่งเสียจนกลายเป็นดาวในวงการแต่อย่างใด”
หากพิจารณาตามคำบอกกล่าวในข้างต้นแล้ว ส่วนหนึ่งที่มีส่วนเป็นอย่างมากทีเดียวในการเพาะพันธุ์ดารารุ่นใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องมีความสามารถ หรือมันสมองอะไรมากมายอีกต่อไปแล้วก็คือสื่อนั่นเอง
เพราะถ้านักข่าวไม่ทำเป็นข่าว แล้วมันจะเป็นข่าวได้อย่างไร?
คอลัมนิสต์ชื่อดัง “ลำแข” ได้เคยเขียนเรื่องของดารากับสื่อ ไว้อย่างน่าสนใจในหัวข้อที่ว่า “ดาราโง่เพราะสื่อ” ในคอลัมน์ “งานเป็นเงา” ด้วยการหยิบยกกรณีการออกมาประท้วงอดีตรัฐบาลก่อนร่วมกับฝ่ายพันธมิตรฯ ของ “ตั้ว ศรัณยู” โดยมีคนในวงการบันเทิงบางส่วนแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะกลัวจะกระทบไปถึงการงานที่ทำ
ซึ่ง ลำแข มองว่า เป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุดด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นคนละเรื่องกัน
...ถ้าคนร่วมสังคมซึ่งมีสิทธิมีเสียงตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสังคมเรื่องนั้นไม่ได้เรื่องนี้ไม่ได้ สังคมนั้นก็คงพิกลพิการเต็มที
โดยเฉพาะวงการบันเทิง ซึ่งมีแต่ข่าวประเภทเตียงหัก, รักร้าง, ระยะทางแพ้ความใกล้ชิด, เพื่อนสนิทเดินห้างแต่ค้างคอนโดเดียวกัน ฯลฯ ประเภทนี้
ไม่มีข่าวที่แสดงให้เห็นว่านักแสดงเมืองไทยมีสติปัญญาหรือไม่ หรือมีสติปัญญาอยู่สักแค่ไหน เพราะถามบรรดานักแสดงเองก็ปรารภอยู่เสมอว่า ก็ถามผมถามหนูแต่เรื่องที่ว่านั้น อาจมีว่าถึงฤดูเลือกตั้งทีก็ถามให้เกี่ยวข้องเสียสักที ไม่มีอะไรลึกซึ้ง
กลายเป็นว่า นักแสดงไม่รู้เรื่องการเมือง หรือหากแสดงออกเรื่องการเมืองก็จะกลายเป็นเรื่องผิดแปลก หรือหัวรุนแรงไป ทั้งๆ เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน
จึงอาจอนุมานเอาได้ว่า เนื่องจากสื่อนี่เองที่จำกัดพื้นที่การแสดงออกทางอื่นๆ ของบุคลากรในวงการบันเทิง ให้เหลือเพียงเรื่องในมุ้งใกล้มุ้งเฉียดมุ้งเท่านั้น
ภาพของวงการจึงถูกทำให้เหลวไหลเลื่อนเปื้อน มีแต่สนุกสนานเฮฮา ไปงานโน้นออกงานนี้ อวดเครื่องแต่งกายอวดเครื่องประดับ การทำงานก็มุ่งขายแต่เลิฟซีน เล่นเลิฟซีนทีทั้งๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากนุ่งน้อยห่มน้อยบ้าง หรือกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบ้าง ก็กลายเป็นบทที่ท้าทายไป ทั้งๆ ท้าทายความสามารถตรงอวัยวะส่วนไหนก็ไม่รู้
และแม้แต่ขายข่าวเฉพาะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กันอย่างเดียวแล้ว ก็ยังทำให้ดีไม่ได้...
จากข้อความบางส่วนดังกล่าว แหล่งข่าวคนเดิมมองว่า...“อย่างที่คุณลำแขเขียนไว้มันก็ถูกนะ เพราะเวลาที่นักข่าวเราไปสัมภาษณ์ดาราส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นคำถามด้วยคำว่า มีข่าวว่า...มีข่าวลือว่า...มีคนเห็น...ซึ่งมันทำให้ข่าวเรื่องส่วนตัวประเภทเปลี่ยนแฟน รักร้าว เตียงหัก ควงสาว ดูไม่น่าเชื่อถือ”
"ทีนี้มันก็เลยมีการเพิ่มดีกรีด้วยรูป ภาพปาปารัซซี ภาพโป๊ ภาพหลุด ประมาณว่าต้องการจะฟ้องมันด้วยภาพนี่แหละ ซึ่งมันก็มีปัญหาตามมาเพราะส่วนใหญ่ก็จะถูกดาราโต้กลับมาว่าไปกันตั้งหลายคนแต่ทำไมถ่ายแค่ 2 คน อีกอย่างคำบรรยายรูปทำนองนี้นะบางทีเหมือนกับคนดูหนังโป๊แล้วเอามาเล่าน่ะ คือเห็นหมด รู้หมด”
“แต่เชื่อมั้ย บทสรุปของข่าวประเภทนี้มันก็เข้าข่ายที่หลายคนเขาพูด คือ ข่าวลือในวงการบันเทิงน่ะ 80% คือเรื่องจริง ซึ่งผมก็อยากจะเสริมอีกว่าในแต่ละเรื่องนั้นมันจะจริงเต็มร้อยหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่งนะ แล้วที่สำคัญ ก็คือ นักข่าวก็จะย้อนกลับถามไปยังคนอ่านเองด้วยแหละว่า ก็คุณต้องการข่าวแบบนี้ใช่มั้ย?”
เป็นปุจฉาที่ผู้อ่านคงต้องวิสัชนาเอาเอง