xs
xsm
sm
md
lg

เจาะใจ "ทูน หิรัญทรัพย์"...ผมเคยอยากตาย!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ทูน" เตรียมออกหนังสือเล่าเรื่องสนุกๆ ของเพื่อนดารา ทั้งรุ่นพี่จอมเจ้าชู้, เลิฟซีนกับ "ต่าย เพ็ญพักตร์" ฯ เปิดใจสารภาพเคยแอบชอบ "เปิ้ล จารุณี" ก่อนเผยมรสุมชีวิตทำเอาเครียดถึงขั้นคิดกระโดดตึกตาย!

กลับมาลุยงานวงการบันเทิงอีกครั้งสำหรับพระเอกรุ่นใหญ่ "ทูน หิรัญทรัพย์" หลังหายดีจากโรคต้อที่ทำเอาตาเกือบหวิดบอด โดยเจ้าตัวได้เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ "บันเทิงออนไลน์" เพื่อเจาะลึกถึงเรื่องราวทุกซอกทุกมุมแบบหมดเปลือก

ไล่ไปตั้งแต่ชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลว ป่วยไม่มีงานไม่มีเงิน กระทั่งสิ้นเนื้อประดาตัวต้องไปกู้เงินนอกระบบเป็นหนี้ก้อนโต กระทั่งเกิดเครียดจนคิดกระโดดตึกฆ่าตัวตาย!

“อาการตาโดยรวมดีขึ้นมาก ผ่านมาได้ต้องกราบขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้อย่างดี เหนือสิ่งอื่นคือสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่รับเป็นคนไข้ พระองค์ท่านทรงมีพระเมตตาเหลือเกิน ทำให้เราลุกขึ้นเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้”

พร้อมเผยโปรเจ็กต์แรกเตรียมออกหนังสือในเดือนกันยายนนี้เนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตตนเองพร้อมเรื่องเล่าของเพื่อนดาราในยุคเดียวกัน...“ผมกำลังจะออกพ็อกเก็ตบุคส์ในเดือน ก.ย.นี้ เนื้อหาจะเป็นประสบการณ์ชีวิตด้านต่างๆ ของผม แต่พาดพิงถึงบุคคลอื่นมันต้องมีอยู่แล้ว"

"เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าคนเรามันก็มีทั้งดีและไม่ดี ก็หมายถึงเรื่องนิสัยนั่นแหละ แต่ผมไม่เอ่ยชื่อนะ จะใช้อธิบายบุคลิกภายนอกแล้วให้คนอ่านทายเอง ซึ่งทายไม่ยากหรอก เพราะในยุคผมมีนางเอกอยู่ไม่กี่คน พระเอกกี่คน พระรองกี่คนนับหัวได้เลย ฉะนั้นใครเป็นใครรู้หมด (หัวเราะ)”

ก่อนยกตัวอย่างให้ฟังเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย อาทิ เรื่องของรุ่นพี่จอมเจ้าชู้ เรื่องเข้าฉากเลิฟซีนกับต่าย เพ็ญพักตร์...“หลักๆ จะเป็นเรื่องที่เราประทับใจในยุคก่อนๆ อย่างเรื่องของรุ่นพี่ในวงการบางคน เขามีเมียหลายคน เราก็มองเป็นเรื่องตลก ทึ่งว่าเขาทำได้ไง สลับรางได้ไง ซึ่งถ้าแฉตอนนี้คนนั้นจะต้องโดนภรรยาอัดแน่เลย (หัวเราะ)”

“สมัยก่อนไปเที่ยวด้วยกันบ่อย ทั้งรุ่นพี่รุ่นเดียวกัน แล้วห้องข้างๆ เสียงดังโครมครามๆ ดังมาก ก็เอ๊ะ...เกิดอะไรขึ้น แล้วผู้หญิงก็ร้อง โอ้ยๆๆ อืม สงสัยศึกใหญ่นะ (หัวเราะ) พี่ที่มาด้วยกันก็ไปถามฝ่ายหญิงว่า ทำอะไร ทำไมร้องสุดขีดเหลือเกิน"

"ผู้หญิงก็บอกว่า ไม่ร้องได้ไงมันเจ็บน่ะ ไอ้เราก็คิดใต้เข็มขัดทันทีเลย เพื่อนเราก็ถามเจ็บตรงไหน เขาก็บอก ไม่เจ็บได้ไงบิดแต่หัวนม (หัวเราะร่วน) เรื่องนี้ผมตั้งชื่อว่า สองโป้งคาสโนวาเพื่อนผม หมายถึงยกนิ้วโป้งให้เลยว่ะ”

“มีครั้งหนึ่งได้ร่วมงานกับ ต่าย เพ็ญพักตร์ เขาเป็นผู้หญิงที่สวยเซ็กซี่มาก (ลากเสียงยาว) แล้วตอนนั้นต่ายเป็นแฟนกับ บี๋ ธีระพงษ์ ซึ่งบี๋ก็เป็นเพื่อนเรา เขาก็ตามมาดูเราถ่ายหนังด้วยกัน ในเรื่องเล่นเป็นแฟนกับต่ายซึ่งเป็นเด็กนอกด้วยกันทั้งคู่"

"บทต้องวิ่งเข้าไปกอดกับต่ายแนบแน่น แล้วไอ้ตอนที่กอดโอ้...เจ็บหน้าอก หน้าอกใหญ่มาก (เล่าพรางหัวเราะยิ้มกริ่ม) แล้วในบทต้องตามด้วยจูบ ก็ยุ่งเลย เพราะเป็นเพื่อนกับต่ายจะจูบก็จูบไม่ลง แล้วบี๋ก็ยังมานั่งเฝ้าในกองฯ เรายิ่งเกรงใจไปใหญ่”

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่พระเอกรุ่นใหญ่มีความสนิทสนมกับอดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ผึ้ง พุ่มพวง กระทั่งมีข่าวว่าทั้งสองเคยเป็นแฟนกันเลยทีเดียว...“ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ถือว่าเป็นนักร้องลูกทุ่งผู้หญิงแถวหน้าคนแรกๆ ที่เข้ามาในอุตสาหกรรมหนังไทยที่ออกทีวี จริงๆ นักร้องลูกทุ่งไม่ค่อยอยากออกทีวี เพราะเวลามีคนจ้างไปเล่นคอนเสิร์ตจะไม่มีคนไปดู"

"ถามว่าสนิทกันมั้ย ก็สนิท รู้จักกันดีพอมั้ย ก็พอสมควร ขนาดมีข่าวว่าคบกัน แล้วด้วยความที่สนิทกัน ทักกันก็กอดแบบฝรั่ง ซึ่งเขาก็จะบอก แต่หนูบ้านนอกนะ หนูไม่ใช่ฝรั่ง เราก็บอกไปว่าไม่เป็นอะไรหรอก อยู่วงการเดียวกัน พี่ไม่กินไก่วัด (หัวเราะ)”

“เรามีความสัมพันธ์ฉันท์พี่ฉันท์น้องจริงๆ เพราะเราออกงานกันบ่อย จนคนร่ำลือว่าเป็นแฟนกัน แล้วก็มีคำถามตามมามากมาย จนในที่สุดวันหนึ่งผึ้งก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ซึ่งจริงๆ สมัยก่อนการที่นักร้องลูกทุ่งให้สัมภาษณ์เป็นเรื่องใหญ่มาก"

"ครั้งนั้นผึ้งเปิดเผยชื่อผู้ชาย 4 คนในดวงใจของเขา หนึ่งในนั้นก็มีผมด้วย แล้วใจเราไม่อยากให้มีไง (หัวเราะ) แล้วผู้ชายทุกคนก็ภาวนาฉบับนี้อย่าให้ขายดี เมื่อก่อนพระเอกมีเมียไม่ได้จะตกกระป๋องทันทีเลย”

พระเอกรุ่นใหญ่บอกต่อไปว่า สำหรับเนื้อหาในหนังสือที่จะออกมานั้นคงจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในวงการด้วยกัน เพราะเป็นการเขียนเล่าแบบสนุกๆ ตามสไตล์ของตัวเอง ไม่ได้ต้องการแฉเพื่อให้ใครเกิดความเสียหาย

“คงไม่มีใครฟ้อง เราไม่ได้ออกชื่อว่าเป็นใคร และไม่มีเจตนาไม่ดีนี่ครับ ไม่ได้เขียนเพื่อทำให้ครอบครัวเขาหายนะ แตกแยก ผมเล่าด้วยความรู้สึกบวก คือมนุษย์เราถ้ายอมรับความจริงได้ มันก็จบเพราะมันเป็นเรื่องฮาๆ และที่สำคัญมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมา 20-30 ปีแล้ว"

"ตอนนั้นเขามีสิทธิ์ทำได้เพราะยังไม่มีครอบครัว มาวันนี้ทุกคนมีครอบครัวมีชีวิตที่มั่นคง ก็เลยมั่นใจว่าเขาจะไม่โกรธ แต่จะคิดว่าเราไม่ลืมเขามากกว่า บอกทุกคนไปแล้วด้วยว่าเรื่องคุณมีในหนังสือนะ เขาก็ไม่ว่าอะไร”



ก่อนเผยในอดีตตนเคยแอบชอบนางเอกฝีมือดี “เปิ้ล จารุณี สุขสวัสดิ์” แม้ตอนนั้นตนเองจะมีครอบครัวอยู่แล้ว!...“ผมรักน้ำใจเขามากๆ เขาเป็นคนจิตใจดี และฟันฝ่าอะไรมาเยอะ เขาเคยติดลบก่อนจะมาเป็นราชินีหนังไทย เขาต้องผ่านความกดดันมาหลายอย่าง"

"ไม่ใช่ว่าคุณมีแฟนไม่ได้ แต่คุณคบผู้ชายไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นคุณจะตกเร็ว ณ ตอนนั้นเขาแต่งตั้งให้คุณเป็นเจ้าหญิงวงการบันเทิง คุณต้องทำตัวให้ดี เสียไม่ได้เลย นั่นคือความกดดันของสังคมที่ทำกับเปิ้ล มันทำให้ผมเห็นใจเขามาก...”

“แต่เพราะผมมีภรรยาและมีลูกแล้ว ทุกอย่างจึงอยู่บนความเป็นไปได้”

“เปิ้ล จารุณี เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายยุคนั้นใฝ่ฝัน แต่เราโชคดีได้อยู่ใกล้เพราะเล่นหนังด้วยกัน ผมห่วงเขาตลอดเวลา แต่แม่เคยบอกว่าอย่าเอาอารมณ์ผู้หญิงมาล้อเล่น อย่าทำร้ายผู้หญิงมันไม่ถูก คำว่าเล่นคือไม่เอาจริง ฉะนั้นถ้าจะรักใครต้องจริงจัง”

“เปิ้ลก็รู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขา ผมเป็นคนบอกเอง แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะสังคมจะประณามเราทันทีว่าเราสองคนไม่ดี ใจหนึ่งก็อยากให้ชอบกันเป็นสามีภรรยากันจริงๆ แต่อีกใจหนึ่งถ้าเขารู้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีครอบครัวแล้วเขาคงไม่ชอบ มันคือการแอบชอบ"

"แต่ไม่กล้าถามว่าเขาคิดยังไง เพราะกลัวคำตอบมันจะทำร้ายความรู้สึก เวลาต้องทำงานร่วมกัน เปิ้ลเป็นนางเอกคนเดียวที่ผมให้ขี่หลัง เขาเป็นคนที่น่ารักมาก เป็นคนกตัญญู ผมทำให้เขาเสียใจไม่ได้ มันเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์อย่างอื่นไม่ได้แล้ว เพราะเบื้องบนลิขิตมาแบบนี้”

“ส่วนคนจะมองนอกใจภรรยาหรือเปล่า... พี่ต๋อย วินัย พันธุรักษ์ ก็เขียนเพลงชู้ทางใจ ครั้งหนึ่งในชีวิตของทุกๆ คนไม่ใช่หลงผิด แต่ว่าพอมาถึงจุดๆ หนึ่ง เราต้องเลือกว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือสิ่งที่ผิด ซึ่งตอนนั้นผมเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมมากที่สุด คือไม่ให้มีใครบาดเจ็บเลย”

“แต่สุดท้ายชีวิตคู่ของผมก็ต้องจบด้วยการหย่าขาดอยู่ดี อดทนเพื่อลูกมาเป็นสิบปี เพื่อรอให้เขาโต มันเหมือนแก้วร้าว ที่ไม่มีวันสมานให้เป็นเนื้อเดียวกันได้”

ซึ่งเมื่อพระเอกรุ่นเก๋าตกที่นั่งบ้านแตก แยกทางกับภรรยา “เปิ้ล จารุณี” ก็ตกเป็นข่าวเป็น “มือที่สาม” ทันที ซึ่งงานนี้ฝ่ายชายขอโต้แหลก...“ไม่ใช่เลยครับ อย่าดึงเขามาเกี่ยวข้อง เหตุผลในการหย่ามันละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง ถ้าวันหนึ่งคู่ชีวิตเราไม่ให้เกียรติเรา วันนั้นควรเป็นวันที่ควรจะแยกทางกันอยู่ แต่เราไม่โทษผู้หญิง เราโทษตัวเองที่คงทำหน้าที่สามีไม่ดี”

“เปิ้ลไม่เกี่ยวอะไรกับปัญหาครอบครัวผมเลย เราขาดการติดต่อกัน โทรฯ คุยกันบ้าง แต่ไม่ได้เจอกันเลย และความรู้สึกที่มีให้เขา ณ วันนี้มันคือความห่วงใยแบบพี่ชายกับน้องคนหนึ่งเท่านั้น และมันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเหมือนคนที่เดินกันคนละทาง มีข่าวแบบนี้เปิ้ลเสียหายนะครับ ซึ่งผมไม่อยากให้ไปกระทบเขาเลย”

นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้เล่าย้อนเหตุการณ์แห่งความเจ็บปวดของชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ที่พังทลาย ป่วยเป็นตาต้อหินจนหวิดตาบอด ส่งผลให้งานหดเงินหาย สิ้นเนื้อประดาตัวจนต้องไปกู้เงินนอกระบบ เป็นหนี้เป็นสิน ทดท้อกับโชคชะตาจนคิดฆ่าตัวตายหลายรอบ!

“ช่วงเจอวิกฤติหนักๆ ท้อมาก เคยคิดฆ่าตัวตาย คนเรามันจะมีช่วงวิกฤติชีวิต แล้วมันจะมาพร้อมๆ กัน ผมเริ่มที่เรื่องครอบครัวระหองระแหงกัน ลูกๆ พาไปหย่า ต้องอดทนเป็นสิบปีรอให้ลูกๆ โต พอเขาดูแลตัวเองได้ โชคดีที่ลูกเข้าใจ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาเห็นภาพที่ไม่ประทับใจระหว่างพ่อแม่มานาน แล้วเขาก็เข้าใจว่าเราไม่มีความสุข"

"ตอนนั้นเหมือนโดนระเบิดตู้มใหญ่ ทั้งเรื่องงาน เรื่องสุขภาพ ชีวิตมันไม่ดีเลย ตอนนั้นมีแต่เรื่องเครียด มันก็เลยมีความคิดอยากตายเข้ามาในหัว คนที่มันเลือกทางนี้มันมีอยู่ 2 เหตุผล ถ้าไม่เข้าป่าหายไปอยู่โดดเดี่ยวไปเลย ก็หายไปจากโลกนี้ ซึ่งตอนนั้นผมเลือกอันหลัง”

“มันเกิดจากความเบื่อในชีวิต เบื่อที่ทำไมต้องทนกับสภาพที่ตนเองต้องทนอยู่ อาการตาต้อก็แย่ด้วย ตามองไม่ถนัด ขับรถขึ้นทางด่วนไปชนกับฝาผนังปูนจนยางแตก สุขภาพจิตก็ไม่ดี ร่างกายก็ป่วย ปัญหารุมเร้าจนเราเลือกทางออกฆ่าตัวตาย ศาสนาก็สอนว่าการฆ่าตัวตายมันบาป แค่คิดก็บาปแล้ว”

“ตอนนั้นคิดจะกระโดดตึกใบหยกเพราะหมอเขามีสถิติออกมาแล้วว่า การกระโดดตึก 20-30 ชั้นลงมา เราจะสิ้นลมหัวใจจะหยุดเต้น ก่อนจะถึงพื้นกี่วินาที ออกซิเจนในสมองจะหมดเราก็จะน็อคไปเลย ฉะนั้นเป็นวิธีที่ไม่เจ็บปวดและไม่ทรมาน กระโดดภูเขาก็กลัวจะไม่ตายแต่พิการแทน เดือดร้อนคนอื่นอีก ตึกนี่แหละดีแล้วไม่เอิกเกริกด้วย”

“ขับไปถึงตึกใบหยกแล้ว แต่ใจเบื้องลึกมันฉุกคิดขึ้นมาทำให้เปลี่ยนความคิด แล้วก็ขับรถกลับบ้าน คือค้นพบว่าจริงๆ แล้วเราแค่อยากยุติปัญหาทุกอย่างที่เผชิญอยู่ แต่จิตใจเราช่วงนั้นมันไม่หนักแน่น ถ้ามีเรื่องอะไรมากระทบก็จะคิดฆ่าตัวตายๆ วนเวียนอยู่แบบนี้”

“เชื่อมั้ยผมเคยไม่มีเงินเลย ในกระเป๋าก็ไม่มี ในธนาคารก็ไม่มี เพราะเอาไปลงทุน จ่ายออกๆ อย่างเดียวไม่มีงอกเงยเลย มันก็หมดไปเรื่อยๆ จนต้องไปกู้เงินมาใช้ ไม่ได้กู้กับธนาคารแต่เป็นกู้นอกระบบ ถามว่าไม่อายเหรอ ไม่อายครับ เพราะเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ทุกวันนี้ก็ยังเคลียร์หนีสินไม่หมด ยังต้องดิ้นรนกันไป”

“จนต้องไปพบจิตแพทย์ แต่ไม่ได้บ้านะครับ เพียงแต่ตอนนั้นเราต้องมีใครคนหนึ่งที่มารับฟังความในใจของเราได้ โดยที่เราไม่อาย โดยที่ไม่เข้าข้างได้ข้างหนึ่ง และไม่ต้องมีคำตอบให้เรา เนื่องจากเราไม่ต้องการคำตอบ เพราะรู้อยู่แล้วคำตอบคืออะไร ซึ่งทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นมาก ช่วยได้เยอะ”



บอกกำลังใจจากเพื่อนๆ รวมถึงคนที่หวังดีทำให้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และที่สำคัญก็คือความต้องการในการผลิตรายการทีวีเพื่อเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีฟรีทีวีช่องไหนให้เวลา..."ตั้งแต่วันที่ออกข่าวไปก็ยังไม่มีช่องไหนติดต่อมา มีแต่คนบอกให้เอาไปออกเอเอสทีวี (ยิ้ม)”

“มันน่าเศร้าที่ไม่มีช่องไหนตอบรับ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือภาคไหน ไม่มีภาคไหนสนใจเลย แต่ยังไงก็จะรอต่อไป ไม่คิดพับโปรเจ็กต์ หรือเปลี่ยนไปทำรายการอื่นแน่นอน ถ้าไม่ได้จริงๆ เคเบิ้ลก็ทำครับ ไม่ว่าจะเป็นช่องไหน ถ้าต้องจ่ายใต้โต๊ะผมไม่ทำ แต่ยังไงซะ ผมเชื่อว่าต้องมีคนที่มีหัวใจเหมือนกันกับเรา”

เผยหากช่องลงไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะไปทำรายการกับสถานีเอเอสทีวี เนื่องจากส่วนตัวเป็นแฟนรายและติดตามข่าวสารของสถานีแห่งนี้รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่แล้ว..."คือไม่ว่าพี่จะใส่ชุดสีอะไรก็ตาม แต่ถ้าเข้าสู่เอเอสทีวี ก็คือการเลือกข้างแล้ว ผมไม่มีอะไรต้องเสียดาย ถ้าต้องตายหรือโดนแกล้งเพราะเรื่องนี้ คนที่คิดดีมีเยอะ ผมเชื่อว่าต้องมีคนสนับสนุน”

ก่อนออกปากยอมรับชื่นชมในน้ำใจของคนที่ชื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ผู้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี, นสพ.ผู้จัดการฯ และเป็น 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ...“ผมเคยเจอคุณสนธิสองครั้ง ครั้งแรกที่สนามหญ้ารกๆ ข้างบ้านเจ้านายเก่าผม ที่คุณสนธิเนรมิตให้เป็นสำนักงานใหญ่โตเมื่อหลายปีก่อน ครั้งที่สองที่สนามบิน ก่อนที่แกจะโดนไล่ยิง ทั้งสองครั้งแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย”

“ซึ่งก่อนหน้านั้นผมก็ติดตามข่าวสารเอเอสทีวี และข่าวสารบ้านเมืองอยู่แล้ว และฟังพันธมิตรมาตั้งแต่ปี 49 ตอนนี้มีซีดีของแกเป็นกระตั๊ก (ยิ้ม) เขาบอกว่าเป็นหมาเฝ้าบ้าน เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจความหมาย แต่วันนี้เข้าใจแล้ว เขาเป็นคนสู้ในความคิดของเขา สู้เพื่อเผยแพร่ความคิดของเค้าให้คนอื่นมีจิตใต้สำนึก โดยให้ทุกคนไปคิดไตร่ตรองเอาเอง”

“บอกได้อยู่อย่าง คุณสนธิเป็นคนดี รู้ไว้แค่นั้นก็แล้วกัน ว่าแกเป็นคนดี ใครจะว่าอะไรก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ได้สนิท แต่ก็รู้ว่าแกเป็นคนดี รู้ได้จากอะไรหลายอย่างที่เห็นมา ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่มีคนมานั่งฟังแกเป็นแสนๆ”

“ผมเป็นคนตรง คุณสนธิผมจัดสรรอยู่ในหมวดคนตรงกล้าพูดกล้าทำ คำพูดที่ออกไปอาจจะไม่เข้าหูกรรมการหรือคนบางกลุ่ม แต่รู้อย่างเดียวว่า แกกล้าที่จะขึ้นมาพูด กล้าออกมารักษาประเทศชาติให้เป็นอิสรภาพ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณว่าแผ่นดินนี้เป็นของใคร ซึ่งคนที่กล้าพูดเรื่องแบบนี้ได้ เป็นคนดี”

“ทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยติดอันดับคอรัปชั่น 1 ใน 5 อันดับของโลก เราก็ยังภูมิใจกันอยู่ พฤติกรรมอย่างนี้มีทุกยุคทุกสมัย แล้วแต่ว่ารัฐบาลไหนมูมมามมากกว่ากันเท่านั้นเอง หากการเมืองไทยลดหลั่นได้ ลดการมูมมาม ผมว่าการมูมมามไม่ได้สร้างผลดีให้แก่ประเทศเลย”

“ผมติดตามข่าวสารมาตลอด ทั้งฟรีทีวี ดูทุกสื่อแล้วก็ตัดสินใจเอง ผมคิดว่าข้าราชการถูกมัดมือชก ถ้าไม่ทำตามผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ก็โดนย้ายไปไกลๆ ซึ่งกว่าจะกลับมาได้ก็เหนื่อย เลยต้องไปตามน้ำ เรื่องแบบนี้ก็รู้ๆ กันอยู่ ก็เลยไม่มีใครกล้าพูด"

"แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อแน่ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราไม่รู้สัมผัสไม่ได้ แต่เรารู้สึกได้ว่ามีแน่นอน คือประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร สมัยกรุงศรีอยุธยาเขาเรียกว่ากรุงแตก ใครเป็นคนขายชาติ ใครเป็นคนไปเปิดประตูให้ข้าศึกเข้ามา ก็คนไทย เห็นแก่อะไรก็เห็นแก่เงิน ทีนี้ย้อนกลับมาดูปัจจุบัน เหตุการณ์เหมือนมันย้อนอดีตมาสู่ปัจจุบัน”

ไม่ว่าบ้านเมืองหรือการเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปทิศทางใด แต่ที่ต้องคงอยู่คือการปกครองนั้นต้องมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
“แต่ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม เมืองไทยต้องมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีนี้ไม่ควรลบล้าง ควรจะมีต่อไปจนกว่าแผ่นดินนี้จะหาไม่ เพราะว่าสถาบันมหากษัตริย์มีความเอื้อให้ประชาชนมีความสุขได้มีอาชีพ ได้มีความรู้ มีความร่มเย็น เป็นศูนย์รวมดวงใจ”

“กลุ่มที่ไม่หวังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คิดผิด เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศไทยคือพระมหากษัตริย์ มีข่าวว่ามีคนไม่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สาธารณะเช่นโรงหนัง พี่คิดว่า การปาป็อปคอร์นใส่เค้ายังน้อยไป แต่พี่คิดว่าถ้าขึ้นศาลไหน แล้วถูกทำร้ายด้วยการปาป็อบคอร์น ลงโทษต่อเรื่องนี้ ผมว่าศาลนั้นไม่สมควรอยู่ในประเทศไทยเลย (หน้าจริงจัง)”

“คนที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติหรือบ้าอำนาจ เค้าวางแผนมานานและวางไว้อย่างรอบคอบ และคนที่อยู่ภายใต้อำนาจของเค้ายังประจำอยู่ทุกจุด ไม่ว่าข้าราชการก็ดี ทหารก็ดี ส่วนทหารก็อยากจะฝากทหารว่า ตอนก่อนจบนายร้อยคุณได้ปฏิญาณตนไว้ว่าอย่างไร"

"ซึ่งจุดยืนของผมจะยืนกับฝั่งที่เทิดทูลและรักพระมหากษัตริย์ ในฐานะที่เป็นคนไทยที่ไม่ได้เล่นการเมือง อย่างสิ่งที่ตั้วทำ ตั้วเป็นคนดีนะ แม้ว่าการทำงานเขาจะเป็นทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แต่เขาไม่ได้กลัว”

“ถ้าคุณสนธิไม่เป็นคนดี คนก็ไม่มาฟัง เวทีสนามหลวงก็จะไม่ยุบหรอก อำนาจเงินซื้อได้เพียงจุดหนึ่ง แต่ถึงจุดหนึ่งอำนาจความถูกต้องย่อมแรงกว่า และคนที่แสวงหาความถูกต้องจะต้องเดินสายกลาง คนที่มาฟังเขาคิดและตัดสินใจด้วยสมองของตัวเอง ไม่มีใครเอาปืนไปจ่อให้มา หรือไปจ้างให้มา แถมมาช่วยบริจาคอีกต่างหาก”

“จุดจบมันอยู่ที่ประชาชนครับ เรากำหนดทิศทางประเทศได้ ไม่เห็นหรือว่าปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวันๆ แล้วยังขยายวงกว้างไปถึงต่างจังหวัดแล้ว...ผมไม่ได้รู้จักคุณสนธิเป็นการส่วนตัว เจอกันสองครั้งอย่างที่บอกไป"

"รู้อย่างเดียวว่าถ้าถึงวาระหนึ่งแล้ว ขออย่างเดียวคุณสนธิอย่าเปลี่ยนอุดมการณ์ ยิ่งสูงยิ่งหนาวครับ มีคนรักย่อมจะมีคนยกยอปอปั้น แค่อย่าหลงระเริงกับสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเอง ทุกคนมาด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว”


กำลังโหลดความคิดเห็น