xs
xsm
sm
md
lg

เราเป็นคนเลือกเอง/อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

เพราะเป็นคนที่ชอบทุบๆ เคาะๆ มาตั้งแต่เด็ก เคยตั้งวงดนตรี(ดูโอ)กับลูกพี่(ลูกน้อง) เอาประป๋อง กะละมัง และฝาหม้อ มาประกอบเป็นกลองชุด, เอาเก้าอี้สังกะสีทรงกลมมาร้อยเชือกฟางสะพายไหล่ตีจังหวะกลองยาวแห่รอบบ้าน

ช่วงนั้นเองเด็กชายคนหนึ่งคิดว่า โตขึ้นโตขึ้นฉันจะเป็น "มือกลอง"

ครั้นเมื่อเติบโตโตขึ้นมาในวัย 6-7 ขวบ เด็กชายคนที่ว่าก็หันมาชอบเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกลไฟฟ้าเอามากๆ ถึงกับเอาไมโครโฟนที่สายขาดไปแหย่ปลั๊กไฟ(เพราะอยากจะร้องเพลง)จนถูกไฟช็อต รวมถึงเคยนำตุ๊กตาหมีตีกลอง มาถลกหนัง(ผ้า) งัดแงะเนื้อ(พลาสสติก) เข้าไปเพื่อที่จะดูว่าข้างในมันเป็นเช่นไรถึงทำให้เวลาใส่ถ่านเข้าไปแล้ว แขน ลำตัวของมันถึงขยับไปมาได้ (หลังกระทำการโดยไม่พบคำตอบที่ค้นหาทำให้เด็กชายต้องรู้สึกผิดกับการเป็นฆาตกรจากเหตุการณ์ที่ว่านี้นานร่วมปีเพราะนั่นเป็นของเล่นน้อยชิ้นที่เขามีอยู่)

ช่วงนั้นเองที่เด็กชายคิดว่า โตขึ้นเขาจะเป็น "ช่างไฟฟ้า"

ก่อนที่จะมาเปลี่ยนความคิดหลังได้รับคำบ่นจากแม่และน้าถึงเรื่องความพูดมากและชอบไปนั่งตะโกนพากย์บอลอยู่หน้าจอทีวี

"ใช่แล้วเป็นแบบย.โย่ง เอกชัย นพจินดา ใช่เลย..." เด็กน้อยคิด

ครั้นโตขึ้นมาร่ำเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมต้น หลังได้รับรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับคนที่ชื่อ "สืบ นาคะเสถียร" จนรู้สึกทึ่งในสิ่งที่คนๆ นี้ได้กระทำ ฝันที่อยากจะทำงานในกรมป่าไม้ก็แว้บเข้ามาเต็มอยู่ในความความคิดของเด็กชาย

และในเวลาต่อๆ มาเขาก็รู้สึกอยากที่จะเป็นอะไรอีก 3-4 อย่าง อาทิ บรรณารักษ์ พ่อค้า เปิดร้านเหล้า ฯ

ปัจจุบันเด็กชายคนดังกล่าวมีอาชีพตามที่ระบุไว้ในบัตรพนักงานว่า "ผู้สื่อข่าว"
...
"แกเนี่ยนะเป็นนักข่าวบันเทิง..."

เพื่อนๆ บางคนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันแสดงความสงสัยเมื่อได้รับรู้ว่าผมประกอบอาชีพดังกล่าวพร้อมแสดงเหตุผลว่าเพราะอะไรเขาและเธอถึงสงสัยเช่นนั้น จนทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าแต่ก่อน(ตอนเรียน)ผมเคร่งขรึม สุขุม มีแต่สาระ ไร้ความเฮฮา ขนาดที่ไม่เหมาะที่จะเฉี่ยวกายเข้ามาสู่แวดวงมายานี้ไม่ได้เลยเชียวหรือ

จะว่าไปในระยะแรกๆ ที่เข้ามาทำงานที่ว่านี้ตัวผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าจะทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบได้มากน้อยเพียงใด? เพราะว่ากันตามความเป็นจริงผมเองก็หาใช่จะรู้จักดารามากมาย หรือรู้เรื่องของวงการเพลงวงการหนังแบบเอามาเขียนเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คส์ได้เป็นเล่มๆ

ที่สำคัญก็คือในส่วนของนิสัยก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ช่างเจรจา ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเหมือนอย่างที่คนภายนอกมักเข้าใจว่าเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องมีในคุณสมบัติของบรรดาสื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงข่าวสายบันเทิงดั่งที่ผมทำอยู่

มองย้อนกลับไปชีวิตผมจะว่าไปแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งในผลพวงระบบการศึกษา ตลอดจนรูปแบบการใช้ชีวิตของสังคมไทยในต่างจังหวัดนั่นแหละครับ (ยืนยันว่านี่ไม่ได้เป็นการพาดพิงหรือกล่าวโทษต่อระบบและรูปแบบที่ว่า) คือ เรียนๆ ไปโดยที่ไม่รู้ตัวว่าชอบหรือถนัดถนัดอะไร ขาดแรงบันดาลใจประเภทบุคคลฮีโร่รวมทั้งไม่ค่อยจะได้มีโอกาสสัมผัสกับหนัง เพลง หรือละคร ที่โดนใจถึงขนาดที่ว่าจะมาสร้างจุดเปลี่ยนให้กับชีวิต นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของความขลาดกลัวที่จะก้าวเท้าออกไปทำตามความต้องการของตนเอง ฯ

เรียกง่ายๆ ว่ามีชีวิตที่ค่อนขางจะเหยาะแหยะ และไหลไปตามสายลมแสงแดดก็คงจะไม่ผิดนัก

ผมได้เรียนที่วารสารศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ก็เพราะมีโอกาสได้สอบในโควต้าโครงการช้างเผือก บวกรวมกับมีรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ที่นี่ไปบรรยายให้ฟัง (ตอนนั้นอยากเป็นผู้กำกับหนัง)

ผมเลือกเรียนสาขาสิ่งพิมพ์ฯ เพราะรู้สึกว่าคนเลือกเรียนสาขานี้น้อย(มารู้ทีหลังว่านั่นเป็นความรู้สึกบนพื้นฐานข้อมูลที่ผิด เพราะสาขาที่คนเลือกเรียนน้อยที่สุดก็คือบริหารสื่อฯ)

ผมตัดสินใจทำงานในบริษัทขายเครื่องช่วยฟังทันทีที่ยังเรียน(ไม่)จบจากการชักชวนของรุ่นพี่ที่คณะฯ ที่ทำอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว เพราะต้องการเอาฤกษ์เอาชัย ไม่อยากให้ตนเองต้องรู้สึกว่าต้องออกไปเดินเตะฝุ่นหางาน

"มันจะมั่นคง มันจะพอกินหรือลูก..." แม่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อรู้ว่าลูกชายคนเดียวเสาหลักของบ้านจะมาทำงานเป็นนักข่าวหลังตกงานมาร่วม 3 เดือน(นับตั้งแต่ชิงลาออกจากบริษัทขายเครื่องช่วยฟังพร้อมกับรุ่นพี่เพราะมีแววว่าจะถูกไล่ออก)จากการชักชวนของเพื่อนๆ

และมันก็เป็นคำถามเดียวกับเมื่อครั้งที่ผมเลือกทำงานที่บริษัทขายเครื่องช่วยฟัง ซึ่งไม่ได้ต่างสักเท่าใดนักกับคำถามที่ว่า "อะไรนะ วารสาร...เรียนไปแล้วจะไปเป็นอะไรเนี่ย?"

บอกกันตรงๆ นะครับว่าผมเอง ณ เวลานี้ก็ยังไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ว่านี้เลย

เพียงแต่รู้อย่างเดียวว่า ทุกๆ อย่างที่เป็นอยู่มันมาจากการตัดสินใจของผม (โดยที่แม่ทำได้แต่เพียงเออๆ ออๆ ด้วยสีหน้าและแววตาแห่งความห่วงใย) ซึ่งมันก็เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดหรือรู้สึกว่า...รู้อย่างนี้เรียนแบบนั้น รู้อย่างนี้ทำไอ้นั่น ทำไมเราไม่ทำไอ้นั่นว้า ฯลฯ

หากแต่สิ่งเดียวที่พยายามจะทำก็คือ ความพยายามทำความเข้าใจ เรียนรู้ และสนุกไปกับบทบาทของชีวิต ณ ที่มันเป็นอยู่

ร่ายเรื่องตัวเองเสียยืดยาวก็เพราะบังเอิญมาสะดุดเอากับเหตุผลของน้องๆ 2-3 คนที่ได้ตอบปฏิเสธในการที่จะเข้ามาทำงานที่บริษัทเดียวกับที่ผมทำอยู่นี้(หลังผ่านทั้งการสอบข้อเขียน ผ่านทั้งการการสอบสัมภาษณ์แล้ว)

เหตุผลของทุกคนนั้นเป็นเหตุผลเดียวกันครับ ก็คือ...พ่อ-แม่ไม่อยากให้มาทำเพราะกลัวอันตราย เนื่องจากบริษัทนี้ทำม็อบ!

หากนี่เป็นคำตอบที่แท้จริง ขณะที่โดยส่วนตัวของน้องๆ เองก็อยากจะมาทำอยู่ แม้จะรู้สึกว่านี่เป็นตรรกะที่งี่เง่าพอสมควร แต่เมื่อนึกถึงหัวอกของผู้เป็นพ่อเป็นแม่แล้วผมเองไม่มีสิทธิ์เลยครับที่จะไปติติงอะไรกับเรื่องนี้ เพียงแต่รู้สึกว่าเสียดาย "อะไร" บางอย่างแทนน้องๆ

"อะไร" ที่ว่า แน่นอนครับคนส่วนใหญ่ย่อมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องของเงินเดือนที่จะมากกว่าน้อยกว่า ไม่ใช่เรื่องของสวัสดิการ ไม่ใช่เรื่องของความมั่นคง ไม่ใช่เรื่องที่ว่ามาทำงานที่นี่จะได้ประสบการณ์ที่ดีกว่าที่อื่นๆ หากแต่มันเป็นเรื่องของการเรียนรู้ชีวิต

จะเป็นชีวิตที่จะถูกหรือจะผิด จะดีหรือไม่ดี ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าคุณได้เลือกมันเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น