xs
xsm
sm
md
lg

The Convert + Days of Turquoise Sky:หนังน่าดูในเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ 2008

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี

ภาณุ อารี, ก้อง ฤทธิ์ดี และ กวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ์ เคยทำหนังสารคดีร่วมกันครั้งแรกในปี 2006 ชื่อ In Between และอีก 2 ปีต่อมา The Convert หนังสารคดีขนาดยาวเรื่องที่ 2 ของพวกเขาก็เสร็จสิ้น

หนังสารคดีทั้ง 2 เรื่องเป็นผลพวงของเหตุการณ์ 11 กันยายนอยู่กลายๆ หน้าประวัติศาสตร์อันบอบช้ำหนนั้น ทำให้มุมมองของประชาคมโลกที่มีต่อโลกมุสลิมเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ซ้ำร้ายไปกว่านั้น มันถูกบิดเบือน กล่าวอ้างเกินจริง และเต็มไปด้วยอคติ

ในช่วงระยะเวลาไม่นานนัก เหตุการณ์ปล้นปืนที่นราธิวาส การปะทะกันที่กรือเซะ หรือการบุกโรงพักที่ตากใบ ก็สั่นคลอนมายาคติอันแสนสุขของคนไทยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีการพูดถึงเรื่องรัฐและชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยและการแบ่งแยกดินแดน ความเชื่อทางศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาประจำชาติ รวมถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่ต่างออกไป

พูดกันอย่างตื้นๆ มุสลิม หรือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม – สำหรับบุคคลทั่วๆ ไป คือ วายร้ายที่จัดการกับปัญหาของตนเองด้วยความรุนแรง จนอาจทำให้คนที่อยู่วงนอก เข้าใจและทึกทักเอาว่า ต้นเหตุอยู่ที่ตัวศาสนา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง มันมีปัจจัยและความเป็นไปได้อีกล้านแปด

ใน In Between (หรือชื่อไทย คือ แขก) ผู้กำกับได้นำคนดูไปพบกับมุสลิม 4 คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ โดยประกอบอาชีพแตกต่างกันออกไป เราได้เห็นกิจวัตรประจำวัน รวมถึงความเป็นมาของแต่ละคนอย่างสังเขป การโยงเนื้อหาส่วนนี้เข้ากับประเด็นการก่อการร้าย ไม่ได้สำคัญมากไปกว่าเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า คนมุสลิมก็เป็นเพียงคนสามัญธรรมดาเท่านั้น

ใกล้ๆ กันกับเรื่องที่แล้ว, The Convert (หรือในชื่อไทย - มูอัลลัฟ) บอกเล่าประเด็นที่คล้ายคลึงกัน แต่สถานการณ์กลับต่างกันออกไป หนังสารคดีเรื่องนี้ดูสนุกไม่ต่างจากการดูรายการทีวีแบบเรียลิติ้โชว์ เพราะโดยไม่ได้ตั้งใจ บุคคลที่เราจะได้รับรู้เรื่องราวของเขาในหนังเรื่องนี้ จำเป็นจะต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย นั่นทำให้เขาประสพกับความยากลำบาก และเดินไปถึงทางแยกที่ตนเองจำเป็นต้องเลือก

จูน เป็นเด็กสาวจากอ่างทองที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เธอทำงานเป็นกองบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่ง และงานเสริมคือการเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสอง จูนได้พบกับ เอก หนุ่มมุสลิมจากจังหวัดสตูล และผูกพันกันอย่างรวดเร็ว เธอตัดสินใจไปเยี่ยมบ้านฝ่ายชายที่ภาคใต้ พร้อมๆ กับเปิดใจรับศาสนาอิสลามเข้ามาในชีวิต

เมื่อตัดสินใจว่าจะตกล่องปล่องชิ้นกับฝ่ายชาย จูนก็ต้องเป็น มูอัลลัฟ หรือบุคคลที่จะเข้ารับอิสลาม ซึ่งแบบแผนหลายๆ ประการ แตกต่างจากศาสนาพุทธที่เธอนับถือมาตั้งแต่เกิด เธอต้องแต่งกายแบบหญิงมุสลิม เริ่มถือศีลอด ละหมาด รวมถึงการฝึกอ่านพระคัมภีร์ภาษาอาหรับ

นอกเหนือไปจากนั้น จูนยังต้องจัดการกับชีวิตคู่ ที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาทั้งหมด ยังไม่นับรวมการไปเริ่มต้นทำธุรกิจขายผลไม้ที่เกาะหลีเป๊ะ – ซึ่งจบลงด้วยความล้มเหลว

The Convert ไม่ได้พยายามให้น้ำหนักกับประเด็นเรื่องอิสลาม เท่ากับการนำเสนอภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องเจอกับจุดหักเหครั้งมโหฬารของชีวิต และเธอต้องประคับประคองสิ่งที่ตนได้เลือกแล้ว

ตัวหนังนั้นเรียบง่าย เป็นกลาง - ชนิดที่ไม่ตัดสินอะไรทั้งนั้น (และคงไม่อยากให้คนดูตัดสินอะไรด้วย) จังหวะจะโคนของหนังดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบ แต่เปี่ยมไปด้วยความหมายและความซับซ้อนทางอารมณ์อย่างเต็มศักยภาพ นี่เป็นหนังสารคดีที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งที่นักดูหนังไม่ควรพลาด
...
แม้มาเลเซียจะเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง แต่คนไทยก็ได้ดูหนังจากประเทศนี้น้อยมาก เราอาจจะเดาว่าหนังจากบ้านเขาคงไม่มีความโดดเด่นอะไร ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดๆ นอกเหนือจากจะมีหนังคุณภาพโดยรวมต่อปีสูงกว่าบ้านเราแล้ว ความกล้าหาญที่จะท้าทายความเสี่ยงทุกประเภทยังมีมากกว่าอีกด้วย

Days of Turquoise Sky (ชื่อดั้งเดิมคือ Kurus) โดยผู้กำกับ หวู่หมิงจิน เป็นหนังที่ทำอย่างง่ายๆ ไม่คิดอะไรซับซ้อน อีกทั้งไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีทุนรอนที่สูงนัก

พล็อตของมันก็เป็นเรื่องพื้นๆ อาลี เด็กชายชั้นมัธยมต้นคนหนึ่งที่ชีวิตไม่มีอะไรดีสักอย่าง เขาอยู่กับพ่อสองคน พ่อติดการพนัน เป็นเหตุให้ที่บ้านยากจนมาก ขนาดไมโลหนึ่งกระป๋องยังไม่มีปัญญาซื้อ หน้าตาของเขาไม่ได้หล่อเหลา การเรียนก็ปานกลาง พยายามหัดต่อยมวยก็ไปไม่ถึงไหน

อาลีมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ ฮัสซัน ซึ่งก็ไม่เป็นโล้เป็นพายพอกัน เด็กหนุ่มสองคนนี้มักจะโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ และชาชินจนไม่คิดจะตอบโต้ จุดขัดแย้งหลักๆ มาพร้อมกับครูสอนภาษาอังกฤษคนใหม่ ที่ทำให้อาลีได้พบความรักเป็นครั้งแรก

ถึงจะหันไปทางไหนก็เจอแต่เรื่องเซ็งๆ อาลีก็ไม่ได้ฟูมฟายกับโชคชะตาของตนเอง แต่กลับรับมือได้อย่างไม่น่าเชื่อ และคนดูจะต้องหลงรักเขาด้วยเหตุผลนี้

หวู่หมิงจิน เกิดที่เมืองอิโปห์ รัฐเปรัก เขาหลงใหลชนบทมากพอที่จะถ่ายทอดสภาพภูมิประเทศออกมาให้เวิ้งว้างและเปล่าเปลี่ยวได้ หลายครั้งที่กล้องเงยหน้าขึ้นไปจับท้องฟ้าและภูเขา ด้านล่างเป็นเมืองที่เงียบเชียบ ตึกอาคารและผู้คนบางตา ฉากหลังของหนังไม่ได้ให้อารมณ์เงียบสงบอย่างที่มันควรจะเป็น หากแต่แห้งแล้งและหงอยเหงา แม้แต่ฉากทะเลสาบอันสงบนิ่งที่เด็กๆ ไปนั่งตกปลากันก็ออกมาในลักษณะเดียวกัน

แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่า Days of Turquoise Sky เป็นหนังรันทดหดหู่นะครับ อันที่จริงมันค่อนข้างรื่นรมย์และตกตะกอนกับชีวิตดีมากๆ ทั้งๆ ที่ผู้กำกับอายุแค่ 30 ต้นๆ เท่านั้นเอง

หนังเรื่องนี้ทำเพื่อออกฉายทางโทรทัศน์โดยเฉพาะ หวู่หมิงจินให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยเงื่อนไขในการออนแอร์ทางทีวี เนื้อหาของหนังจำเป็นจะต้องเข้าถึงคนดูได้ทุกกลุ่ม เขาจำเป็นต้องประนีประนอมเพื่อให้งานไม่ดูหนักจนเกินไป และมีความบันเทิงเป็นระยๆ

แต่เท่าที่ปรากฏนั้น ตัวหนังห่างไกลจากคำว่าขี้ริ้วขี้เหร่มากพอสมควร มันเป็นหนังชีวิตวัยรุ่นที่ดีมาก ยิ่งไปกว่านั้น อะไรหลายๆ อย่างใน Days of Turquoise Sky ยังดูใกล้เคียงกับชนบททางภาคใต้ของบ้านเรา ทั้งเรื่องบรรยากาศ ภาษาพูด ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต รวมถึงวิธีคิดของผู้คน ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่นักดูหนังจะได้ชมหนังเรื่องนี้นะครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น