xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่าจากลุงแท็กซี่พันธมิตรฯ/อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

จำไม่ได้เหมือนกันครับว่าผมละเว้นการเขียนคอลัมน์นี้มากี่สัปดาห์แล้ว ระหว่าง 3 หรือ 4

เอาเป็นว่าขออนุญาตสักครึ่งนาทีในการกลับไปตรวจสอบก่อนนะครับ

(...ล่าสุดที่ลงไปก็คือ...เมไทรโลไฟ์...ฉบับ
...ฉบับวันเสาร์ที่ 5...เดือน...เดือน...กรกฎาคม)

โห! นี่หมายความว่าผมไม่ได้เขียน "เรื่องจากจอ" นานถึง 5 สัปดาห์หรือนี่?

ทั้งเร็วและนานอย่างเหลือเชื่อครับ

แต่อย่างไรก็คงจะเป็นการนานที่ต้องบอกว่าหาสาระแห่งคุณภาพอะไรไม่ได้เลยกับความนานของวันเวลาที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งหากนับเอาตั้งแต่เวลา 16.00 น. ของวันที่ 25 พ.ค. 2551 เป็นจุดเริ่มต้นของการชุมนุม จนถึงเวลา 16.00 น. ของเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2551 นี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ใช้เวลาในการชุมนุมประกอบกิจกรรมต่างๆ นานถึง 84 วันเข้าไปแล้ว

เป็น 84 วันที่หากใครได้เข้าร่วมการชุมนุม หรือติดตามข่าวสารทางด้านการเมืองก็จะรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรต่างๆ เกิดขึ้นมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมตลอดจนคำพูดของผู้เป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน (ที่เข้าใจว่าการพูดคำว่าดัดจริต ทุเรศ บ้า หอกหัก สัตว์นรก เสพเมถุนมาหรือเปล่า จะเป็นจะตายหรือไง? ใส่หน้าคนอื่น เป็นการแสดงศักดิ์ศรีของคนที่จะเป็นผู้นำ)

เรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการกระทำตลอดจนคำพูดของบรรดารัฐมนตรี และสส.บางส่วน (ที่บอกว่า ไม่เห็นมีระบุไว้เลยว่าคนจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม)

ตลอดจนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและคำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนรวมทั้งคนในครอบครัว ฯ (ที่วันหนึ่งบอกว่าอยากจะให้เรื่องทั้งหมดลงเอยด้วยกระบวนการยุติธรรม แต่วันหนึ่งกลับหนีออกนอกประเทศแล้วไปฟ้องประเทศอื่นว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศตนเองมี 2 มาตรฐาน เชื่อถือไม่ได้ ตกต่ำอย่างน่าใจหายและถูกแทรกแซง)

เรื่องที่น่าเศร้าใจก็คือ แม้ทุกอย่างมันจะเด่นชัด ชัดเจน แดงแจ๋ด้วยหลักฐานทางคำพูด การกระทำ และเอกสารซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้เข้ามาเล่นการเมืองเพราะต้องการเข้ามาแสวงหาและมุ่งรักษาเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์ทั้งในเชิงทรัพย์สิน และอำนาจของตนเองตลอดจนพวกพร้องเป็นหลัก แต่หลายต่อหลายคนก็ยังคง "ตาไม่สว่าง" เสียที

แม้กระทั่งล่าสุดกับการหนีการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของอดีตนายกฯ และครอบครัวไปยังต่างประเทศ (แปลกดีนะ เมืองผู้ดีแต่ดันต้อนรับผู้ร้าย) ก็ยังมีคนไม่น้อยทีเดียวที่ออกมาแสดงความคิดเห็น(อย่างน้อยๆ ที่ได้เห็นกับตา ได้ยินกับหูก็ในช่วงข่าวค่ำของโมเดิร์นไนน์ ทีวีวันอังคารที่ 11 สิงหาคม)ว่าเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แบบนี้มันน่าห่วงมั้ยครับกับคำว่า "จิตสำนึก" ของคนไทยที่มีต่อสังคมส่วนรวม

เช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารบ้าน บริหารเมืองทั้งหลายที่แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนในหลายภาคส่วน(ซึ่งแต่ละคนต้องบอกว่ามีต้นทุนในระดับที่ไม่ธรรมดา) จนถึงขนาดที่ว่าถูกพิพากษาจากองค์กรที่มีอำนาจชี้ขาดแล้วว่ากระทำ "ผิด" แต่คนเหล่านี้ก็หาได้สะกดคำว่า "สำนึก" เป็นแต่อย่างใด

ที่น่าสมเพชปนทุเรศก็คือ นอกจากไร้ซึ่งคำว่า "สำนึก" แล้ว คนเหล่านี้กลับยังคงไว้ซึ่งความอาฆาตมาดร้ายรอวันที่จะเอาคืนเพราะหลงตน ดัดจริตคิดว่า ข้าทำถูก ข้าทำดี ข้าฉลาด ข้าเก่ง แต่ข้าถูกอิจฉา ข้าถูกกลั่นแกล้ง ข้าถูกรังแก

ทั้งที่รู้อยู่เต็มหัวอกว่า ผลที่เป็นเช่นนี้เกิดขึ้นมาจากเหตุเช่นใด
...
ย้อนมาถึงเหตุที่ทำให้ผมจำเป็นต้องเอ่ยปากของดเขียนคอลัมน์ไปนานถึง 5 สัปดาห์(ด้วยความรู้สึกไม่ดี 40% ของความรู้สึกทั้งหมด) ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะต้องเอาเวลามาทำกิจกรรมในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถนนราชดำเนินนี่ละครับ(ขณะเวลาที่เหลืออีกส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงานประจำกับกิจกรรมการดื่มที่น้อยครั้ง(ย้ำว่าน้อยครั้ง)ก็ยอมรับว่าส่งผลไปถึงระบบความคิดที่จะเป็นจะต้องใช้ในช่วงเวลาของงานประจำอยู่เหมือนกัน)

ผลของการต้องไปทำงานกับกลุ่มพันธมิตรฯ นี้เองทำให้ผมจำเป็นต้องใช้บริการของแท็กซี่ในการเดินทางกลับหอพักฯ บริเวณสะพานปิ่นเกล้ามากครั้งขึ้น

ว่าถึงคนที่ประกาศตัวว่าเชียร์ ยืนอยู่ข้างเดียวกับกลุ่มพันธมิตรฯ กับพนักงานขับรถแท็กซี่แล้ว เท่าที่ฟังมาดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะมีความคิดที่ไม่ค่อยจะตรงกันสักเท่าไหร่ อันนำมาซึ่งบรรยากาศที่ไม่ดีนักระหว่างการเดินทาง

พนักงานขับแท็กซี่บางรายพอรู้ว่าผู้โดยสารเป็นพันธมิตรฯ ก็อาจจะปล่อยลงกลางทางซะเลย ขณะที่พันธมิตรฯ บางคนในฐานะผู้โดยสารพอรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์อยู่ก็อาจจะใช้การเงียบเฉย(แล้วเอามาบ่นถึงด่าในกลุ่มคนที่คิดเหมือนกัน) หรือบางคนก็อาจจะขอลงเสียเลยเพราะรู้สึกรำคาญ

แล้วก็มีไม่น้อย ที่นั่งไป-ขับไปก็เถียงกันไป, นั่งไป-ขับไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไป

ผมเองก็เจอทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร (ส่วนใหญ่จะเจอคนที่คิดคล้ายๆ กันและถูกใจกันถึงขนาดที่ขึ้นฟรีก็บ่อยครั้ง)

มีเรื่องเล่าหลายเรื่องครับที่น่าสนใจจากการได้รับฟังมาจากพนักงานขับแท็กซี่ ดังเช่นเรื่องหนึ่งที่จะเล่าจากนี้ไป

คืนหนึ่งผมเรียกรถแท็กซี่กลับหอตามปกติ คนขับท่าทางใจดีและสุภาพมีอายุในราวที่จะเรียกลุงได้

ซึ่งพอขึ้นไปนั่งก็พบว่าลุงแกเปิดวิทยุคลื่นที่ถ่ายทอดการปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่

"ไม่เกลียดม็อบหรือครับ เห็นคนเขาไม่ชอบกันเยอะแยะ..." ผมเอ่ยปากถามลุง แกไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า "แล้วคุณล่ะ" ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า มีอยู่คืนหนึ่งแกรับนักศึกษาชายที่มีอาการเมานิดๆ ขึ้นรถมาคนหนึ่ง

"พอขับไปได้สักพัก เขาก็ถามผมว่าฟัง(วิทยุ)อะไรน่ะ เปิดดังๆ หน่อยสิ คือถ้าไม่มีผู้โดยสารผมก็เปิดดังนั่นแหละ แต่ถ้ามีผู้โดยสารก็จะเปิดเบาๆ เพราะเราไม่รู้ว่าผู้โดยสารจะชอบหรือไม่ชอบ"

"พอบอกให้เปิดดังๆ ผมก็เลยเปิด ก็คลื่นนี้แหละครับ พอเขาได้ฟังก็โวยวายเลยว่าปิดเถอะ เกลียด ไม่ชอบ..."

"อ้าวแล้วลุงทำไง" ผมถาม

"ผมก็เลยบอกว่า อ้าว นี่คุณให้ผมเปิดนะ แล้วก็ถามว่า เออ...แล้วทำไมถึงไม่ชอบ ทำไมถึงเกลียดเขาล่ะ เขาไปทำอะไรให้หรือ เขาก็บอกไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ชอบ ผมก็เลยถามว่าแล้วเคยฟังที่เขาพูดมั้ย เขาก็บอกไม่เคย ผมก็ถาม อ้าว ไม่เคยฟังแล้วไปเกลียดเขาได้ยังไง เขาก็บอกไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ชอบ เกลียด"

"ผมก็ถามเขาอีกว่าแล้วคุณเรียนอยู่มหา'ลัยอะไรเนี่ย เขาก็ถามกลับ แล้วลุงจะถามทำไม ไม่บอก ผมก็บอกดูสิไอ้เรื่องแค่นี้คุณก็ยังตอบไม่ได้เลย ตอนนั้นท่าทางเขาโกรธมากนะ แต่ผมไม่สนหรอก..."

"แล้วยังไงต่อลุง" ผมซักอยากรู้บทสรุป

"ผมก็เลยบอกเขาว่า งั้นคุณลงไปเถอะ ที่นั่งมาผมไม่คิดเงินด้วย แล้วผมก็สอนเขาต่อว่า ทีหลังจะว่าใครก็หัดฟังเหตุผลที่เขาทำให้เรารู้สึกไม่ชอบเสียก่อน..."

"ผมก็จอดรถ เขาก็ลงไปด้วยความไม่พอใจ..."

"โห แล้วลุงไม่กลัวหรือ มันเมาด้วยไม่ใช่หรือ นี่ถ้ามันโกรธแล้วต่อยลุง ลุงตัวนิดเดียวเนี่ย จะไปสู้ยังไงไหวเนี่ย..."

ผมถามด้วยความห่วงจริงๆ เพราะดูจากรูปร่าง ลักษณะท่าทาง อายุ แล้ว ลุงแกไม่น่าจะต่อกรกับคนหนุ่มวัยนักศึกษาได้เลย

ลุงขับแท็กซี่พยักหน้าเป็นการตอบยอมรับว่ากลัว มันทำให้ผมนับถือในหัวใจรวมถึงการเป็นคนช่างคิดช่างพูดของแกที่ค่อนข้างจะมีความคิดที่มีระบบเป็นระเบียบแบบแผนและมีเหตุมีผล ใช้หลักจิตวิทยา ชนิดทำให้นักศึกษาเถียงไม่ออก

นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าปัญญาเป็นอาวุธที่ดีที่สุด การมีสติ มีปัญญาก็ไม่เห็นจะต้องกลัวใคร

แต่ก่อนที่ผมจะคิดไปไกลกว่านั้น สมองก็หยุดกึกทันทีเมื่อลุงแกพูดออกมาเบาๆ แบบนิ่มๆ ว่า

"แต่ลุงมีปืน..."
กำลังโหลดความคิดเห็น