xs
xsm
sm
md
lg

หนูน้อยชุดแดงในโอลิมปิกส์ลิปซิงค์จนดังเจ้าของเสียงถูกปลดเหตุฟันไม่สวย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 หลินเมี่ยวเข่อ และ หยางเพ่ยอี้ 2 หนูน้อยผู้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์แบบ
เจ้าหน้าที่ของทางประเทศเจ้าภาพอย่างจีน ได้ออกมากล่าวยอมรับต่อสาธารณชนแล้วว่าเด็กน้อยที่กลายเป็นไฮไลท์ร้องเพลงพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกส์นั้น เป็นคนละคนกับเจ้าของเสียงร้องจริง โดยสื่ออังกฤษระบุว่าเป็นเพราะหนูน้อยเจ้าของเสียงไม่น่ารักและฟันไม่สวย!

ตามรายงานระบุว่า หลินเมี่ยวเข่อ นักแสดงหนูน้อยชุดแดงวัย 9 ปี ที่เป็นผู้ร้องเพลงในพิธีเปิดการแข่งขันเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้โด่งดังภายในข้ามคืนและเป็นที่สนใจจากมวลชนทั่วประเทศจีนและทั่วโลกถึงความน่ารัก ซึ่งการเป็นผู้นำร้องเพลงในค่ำคืนนั้นได้ส่งให้เธอมีภาพถูกตีพิมพ์บนหน้าแรกของนิวยอร์กไทมส์ด้วย

แต่แล้วความจริงทุกอย่างก็ได้รับการเปิดเผยเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า หนูน้อยวัย 9 ปี นั้นได้ร้องลิปซิงค์ในเพลงดังกล่าว โดยเจ้าของเสียงร้องที่แท้จริงคือหนูน้อย หยางเพ่ยอี้ วัย 7 ปี ที่ถูกถอดจากการแสดงให้เป็นเพียงผู้อยู่เบื้องหลังเพราะฟันไม่สวย

โดยหนูน้อยหยางได้บันทึกเสียงร้องในเพลง Paean to the Motherland ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว จนกระทั่งมาเปลี่ยนตัวเป็นหนูน้อยหลินเมี่ยวเข่อเพียงไม่นานก่อนการแสดงจริง

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ได้รับการเปิดเผยโดย เฉินฉีกัง ผู้กำกับเพลงในพิธีเปิดโอลิมปิกส์ ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับวิทยุแห่งหนึ่งของปักกิ่งว่า ในระหว่างการฝึกซ้อมท่านผู้นำของจีนได้เดินทางมาชม พร้อมกับกล่าวว่าหนูน้อยหยางมีเสียงร้องที่เยี่ยมยอดมากแต่เธอไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำร้องในการแสดงเนื่องจากฟันเธอไม่สวย

และในค่ำคืนนั้นขณะที่มีการอัดเสียงล่วงหน้าของหยางเพ่ยอี้ ภาพของหลินเมี่ยวเข่อก็ได้ปรากฏขึ้นในโฆษณาที่ออกอากาศทางทางโทรทัศน์ มันเป็นหัวข้อในช่วงนาทีสุดท้ายที่เราทำการตัดสินใจเลือก ก่อนหน้านี้เราทำการฝึกซ้อมกันหลายต่อหลายครั้ง ทุกๆอย่างค่อนข้างเข้มงวดตรงเป๊ะ เมื่อเราทำการลองเสื้อผ้า พวกเขาก็จะได้รับการตรวจสอบความเหมาะสมอีกครั้งจากแผนกต่างๆ ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ทางการที่แนะนำให้พวกเราตัดสินใจเปลี่ยนตัวนักแสดงก่อนหน้านี้ด้วย

งานนี้เฉินฉีกัง ยังยอมรับอีกว่าตอนแรกนั้นมีหนูน้อยวัย 10 ปีคนหนึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ดังกล่าวแต่ก็ต้องถูกยกเลิกและถูกถอดออกไปเนื่องจากเธออายุมากเกินไปและดูไม่น่ารักพอเช่นกัน  "เราใช้เธอร้องเพลงในการซ้อมของเรามาโดยตลอด แต่สุดท้ายทางผู้กำกับก็คิดว่าภาพลักษณ์ของเธอดูไม่ค่อยน่าประทับใจและไม่ใช่เด็กที่เหมาะที่สุดที่จะมารับหน้าที่ดังกล่าว เพราะว่าเธอดูแก่ไป น่าเศร้าทีเดียวที่เราต้องปล่อยเธอไป"

หลังจากนั้นหนูน้อยหยางเพ่ยอี้จึงเข้ามารับหน้าที่แทน

"การพิจารณาทั้งหมดเป็นเรื่องหลักที่จะสร้างความสนใจให้เกิดขึ้นกับชาติเรา เด็กๆที่ถูกเลือกให้ออกกล้องต้องไม่มีที่ติในเรื่องภาพลักษณ์ทั้งภายในและภายนอก ในกรณีเกี่ยวกับเสียงร้องหยางเพ่ยอี้ไม่มีที่ติเลย ตามความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต่างก็ลงมติเป็นเอกฉันท์เช่นเดียวกันว่าหนูน้อยร้องเพลงได้ไม่มีที่ติจริงๆ"

จนกระทั่งมาสะดุดกันที่เรื่องฟันของหนูน้อย "เราต้องแสดงความรับผิดชอบต่อผู้ชมทั่วทั้งประเทศ และต้องการที่จะเปิดเผยและอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ เราเข้าใจว่ามันเป็นคำถามที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากคนในชาติ และยังมีคำถามอีกมากมายถึงเรื่องภาพลักษณ์ของชาติ, ถึงเพลงของชาติเราและวัฒนธรรมของชาติเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการเชิญธงของชาติเรา นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียสมากด้วย"

"ดังนั้นเราจึงต้องทำการเลือก และผมก็คิดว่าค่อนข้างยุติธรรมสำหรับเด็กทั้งคู่ ทั้งหลินเมี่ยวเข่อและหยางเพ่ยอี้ นั่นคือเรามีทั้งเสียงร้องของเด็กที่สมบูรณ์แบบ, เด็กที่มีรูปลักษณ์สมบูรณ์แบบ และเพื่อการแสดงที่สมบูรณ์แบบ ในความเห็นของทีมเรา เราต้องการรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน"

หนึ่งในคำถามหลักๆที่เป็นประเด็นอย่างต่อเนื่องนั่นคือ ทำไมหลินเมี่ยวเข่อ ถึงได้รับอนุญาตในการให้สัมภาษณ์ว่าเธอได้รับเกียรติในการรับหน้าที่ร้องเพลงในพิธีเปิดจนเป็นที่ชื่นชมไปทั่ว จากกรณีนี้เฉินฉีกังได้ระบุว่า หนูน้อยคงร้องเพลงเหล่านี้ไม่ได้แน่ถ้าเธอไม่เคยได้ยินเพลงเหล่านี้มาก่อนและเธอเองก็ยังไม่เข้าใจและยังไม่ประสีประสาพอที่จะแตกฉานในเรื่องต่างๆ จริงๆแล้วเธอรู้เพียงอย่างเดียวว่าเธอจะต้องขึ้นแสดงร้องเพลงเป็นเวลา 15 นาทีเท่านั้น

ส่วนทางด้านหนูน้อยหยางเพ่ยอี้เจ้าของเสียงร้องที่แท้จริงได้ออกมาเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเธอไม่รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ขึ้นแสดงแต่เธอภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร้องเพลงในพิธีเปิดครั้งนี้ "หนูไม่เสียใจเลย หนูรู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นคนร้องเพลงนี้"

จากเหตุการณ์ดังกล่าวเทียบได้กับการแสดงของ ลูเชียโน ปาวารอตติ ที่ต้องขึ้นแสดงสดในพิธีเปิดการแข่งขัน Winter Games ปี 2006  ขณะนั้นมีอากาศหนาวมากจนไม่สามารถทำให้เขาร้องเพลงในสภาพอากาศเช่นนั้นได้เนื่องด้วยอาการเจ็บป่วยจากโรคมะเร็งที่ลุกลามในตัวเขามาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว จนกระทั่งเขาเสียชีวิตถึงมีการเปิดเผยความจริงว่าการแสดงครั้งนั้นเขาต้องลิปซิงค์เนื่องด้วยเขาต้องการให้การแสดงของเขาในช่วงสุดท้ายของชีวิตออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดแม้ตนเองจะยืนแทบไม่ไหวก็ตาม

นอกจากนั้นในส่วนของพิธีเปิดโอลิมปิกส์ที่ได้รับการเปิดเผยความจริงอีกอย่างนั้นคือเรื่องของ พลุรูปรอยเท้ายักษ์ใหญ่ที่มุ่งหน้าจากชานเมืองตรงสู่สนามรังนกจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความยิ่งใหญ่อลังการนั้น ก็ได้รับการเปิดเผยเช่นกันว่าทุกอย่างมีการบันทึกภาพไว้ก่อนล่วงหน้าและทำให้ดูดีด้วยระบบดิจิตอลกราฟฟิก ซึ่งทางตากล้องที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์เองก็ได้มีการถ่ายทอดสดพลุดังกล่าวเช่นกัน แต่ทางทีมงานกลัวว่าภาพมันจะสั่นเกินไปจนใช้การไม่ได้จึงเตรียมการทุกอย่างเพื่อความสมบูรณ์แบบไว้ก่อนล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
 

รวมทั้งยังมีการใช้อาสาสมัครมาร่วมเชียร์ด้วยการแจกเสื้อและอุปกรณ์การเชียร์ให้กับอาสาสมัครเพื่อช่วยทำให้สแตนด์ดูเต็ม ในทุกๆการแข่งที่มีที่นั่งเดี่ยวเหลือพร้อมออกข่าวว่าบัตรเข้าชมการแข่งขันขายหมดเกลี้ยง ซึ่งการใช้อาสาสมัครเหล่านี้ก็เพื่อช่วยทำให้บรรยากาศในการแข่งดูดีและครึกครื้นขึ้น นอกจากนั้นยังใช้อาสาสมัครเหล่านี้ในช่วงที่มีสภาพอากาศย่ำแย่ด้วย

งานนี้การให้สัมภาษณ์ของเฉินฉีกัง ทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นการยอมรับอย่างเปิดอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเพื่อสร้างศักยภาพให้โลกได้ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่และความสมบูรณ์แบบของประเทศจีนนั่นเอง




สื่อนอกร่วมแฉ
หลินเมี่ยวเข่อ แสดงลิปซิงค์จริงจัง
ภาพลักษณ์น่ารักสดใสของหนูหลิน
รอยเท้ายักษ์ที่คนพูดถึงทั่วโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น