“พ่อจา พนม” เปิดใจหมดเปลือก มั่นใจลูกเป็นคนดีทุ่มให้หนังเต็มร้อยไม่โกงเงินสหมงคล เผยมีการควักทุนส่วนตัวทำหนังจริง เปิดปากเล่าถึงกรณีจาคลั่งไสยศาสตร์แอบไปฝังตะกรุดหมอเขมรจนเพี้ยน บุคลิกเปลี่ยนไม่สนใจงานจนเตลิดหนีเข้าป่า บอกลูกพูดจาไม่รู้เรื่องนิสัยเปลี่ยนเบลอ หวั่นโดนจิตวิทยาหมู่และโดนมอมยาเหมือน “หมอประกิตเผ่า”
โด่งดังมาจากการภาพยนตร์บู๊แอ็คชั่นองค์บากและต้มยำกุ้งเมื่อหลายปี จนใครๆ ก็จำวลีเด็ด “ช้างกูอยู่ไหน ?” ในภาพยนตร์ได้ ไม่นานก็ซุ่มเงียบไปทำหน้าที่ผู้กำกับและนักแสดงนำ “องค์บาก 2” จนมาเป็นข่าวดังอีกครั้งเมื่อ “จา พนม ยีรัมย์” เกิดหายตัวไปจากกองถ่าย ท่ามกลางกระแสข่าวขัดแย้งกับทาง “สหมงคลฟิล์ม” ต้นสังกัดเรื่องงบประมาณในการถ่ายทำ และบางกระแสก็ว่า จาหันไปฝักใฝ่ในทางไสยศาสตร์ มีการไปฝังตระกุดเพื่อความคงกะพัน และมีบุคลิกเปลี่ยนไปไม่สนใจงาน หนีเข้าป่าเป็นเหตุให้งานหยุดชะงัก
ด้าน “สหมงคลฟิล์ม” ต้นสังกัด และ “จา พนม” ต่างก็ได้ออกมาแถลงข่าวไปเรียบร้อย ต่างฝ่ายก็ต่างให้ข้อมูลไม่ตรงกันโดยเฉพาะเรื่องเงินที่จาระบุว่า ทางบริษัทได้มีการให้เงินในการถ่ายทำเพียง 117 ล้าน และยังต้องควักเงินส่วนตัวเพิ่มจนทำให้หมดตัวติดค้างค่าบ้านน้ำไฟถูกตัด ในขณะที่สหมงคลฯ แถลงว่าได้จ่ายเงินไป 200 กว่าล้านบาท แต่หนังก็ยังไม่เสร็จ จนเป็นที่มาของการตามล่าหาความเป็นจริง เงินกูอยู่ไหน ?
ล่าสุด “ทองดี ยีรัมย์” และครอบครัวยีรัมย์ ก็ได้ออกมาแจ้งความที่กองปราบว่า จา พนม ถูกกลุ่มบุคคลชาร์ตขึ้นรถหายไปไม่สามารถติดต่อได้ จนกลายเป็นคำถามขึ้นมาอีกว่า “ลูกกูอยู่ไหน ?”
จากปัญหาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งงานหนีเข้าป่าไปทำสมาธิ ความขัดแย้งเรื่องงบประมาณกับสหมมงคลฟิล์ม ไปจนถึงเรื่องที่จาถูกชาร์ตหายตัวไป ต่างฝ่ายต่างก็พูดกันไปคนละทางสองทาง จนทำให้แฟนคลับและประชาชนที่ติดตามข่าวสารดังกล่าวพากันงงปนสงสัยว่า สรุปแล้ว ความจริงมันอยู่ไหน ?
จา พนม โกงเงินบริษัทสหมงคลจริงหรือไม่ ?
จา พนม ฝังตะกรุด จนสติหลุดคลั่งไสยศาสตร์จริงหรือไม่ ?
จา พนม โดนลักพาตัวไปจากกลุ่มบุคคลหนึ่งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และมีการใช้จิตวิทยาหมู่ควบคู่ไปกับยาเหมือนกรณี “หมอประกิตเผ่า ทมทิตชงค์” จนทำให้เพี้ยน นิสัยเปลี่ยนจริงหรือไม่ ?
วันนี้คุณพ่อทองดี ขอเปิดใจเคลียร์ทุกคำถาม................
“ในตอนแรกสาเหตุที่จาเขาหายตัวไปก็ไม่มีอะไรหรอก เนื่องจากวันที่เขามาทำบุญเข้าพรรษาที่ 15 กรกฏาคม ทำบุญเสร็จเขาก็จะปฏิบัติธรรมเขาเป็นแบบนี้ทุกปี เข้าพรรษาต้องมาไหว้พ่อแม่ไหว้บรรพบุรุษ โดยเฉพาะไหว้ศาลปะกำช้าง”
“ศาลแห่งนี้จะเป็นศาลของบรรพบุรุษผู้ที่เสียชีวิตไปหลายชั่วอายุคนแล้ว เขาก็จะมาอยู่ตรงนี้คนที่เก่งทางด้านจับช้างป่าในตระกูลเราก็จะมาอยู่ตรงนี้ เพราะที่บ้านเราเป็นตระกูลช้าง บ้านใครมีช้างก็จะมีศาลแบบนี้ ต้องสืบทอดกันมาเรื่อยๆ หลายชั่วอายุคน ตอนนี้สืบทอดมาที่พ่อและก็จะไปหาลูก สืบทอดไปเรื่อยๆ ไม่มีทางสิ้นสุดเหมือนพุทธศาสนา”
“ศาลปะกำช้างมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าเราทำอะไรไม่ดีไม่ควรก็จะผิดศาลปะกำช้างถ้าผิดตัวเราเองก็อาจจะเป็นบ้าหรืออาจล้มป่วย คนในบ้านไม่สบาย วัวควายไม่สบาย โดยเฉพาะช้างอาจล้มป่วยได้ ถ้าถึงฤดูกาลที่ไหว้เราจะต้องมาไหว้ อย่าไปบนบานเอาไว้ ถ้าบนแล้วพอถึงเวลาก็ต้องกลับมาไหว้ไม่งั้นก็ผิด จานี่ก็เหมือนกันไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนเข้าพรรษาเขาก็ต้องกลับมาไหว้”
“เมื่อเข้าพรรษาที่ผ่านมาเขาก็มาไหว้ พอทำพิธีเสร็จเขาก็มานอนด้วยหนึ่งคืน พอสว่างก็ลาพ่อลาแม่ลาลูกลาหลานกลับกรุงเทพ เขาก็รักพ่อรักแม่รักพี่น้องเขา มาที่นี่เขาก็หัวเราะกันพูดคุยกันตามประสาบ้านเรา”
“กับปัญหาของเขาที่ผ่านมาเกี่ยวกับการถ่ายทำหนังไม่เห็นเขาเล่าอะไรให้ฟัง แต่ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวกับช้างเขาจะมาปรึกษาพ่อ เพราะบางทีเขาไม่รู้ว่าบรรพบุรุษเราทำยังไง เขาก็จะมาถามพ่อ ส่วนมากจะคุยเรื่องช้างจะทำยังไงกับช้าง ช้างลักษณะแบบไหนยังไงเขาก็จะมาปรึกษาพ่อ เพราะหนังเรื่องนี้ใช้ช้างค่อนข้างเยอะประมาณ 60 เชือก”
ส่วนเรื่องที่ “จา พนม” ว่าควักเงินส่วนตัวในการทำหนัง “องค์บาก 2“ จนหมดตัวไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านนั้น พ่อยืนยันว่าจาใช้ไปจริง
“เงินส่วนตัวพ่อคิดว่าเขาคงจะจ่ายไปจริง คงเป็นเวลาที่ลูกน้องมาเบิกแล้วเงินบริษัทยังไม่ออกเขาก็คงจะออกให้ไปก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าหมดตัวเพราะออกเงินไปก่อนนั้นก็เห็นข่าวนำเสนอบ้างเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วเป็นยังไงเราก็ไม่รู้ พ่อเองก็ไม่ค่อยได้สอบถามเพราะถือว่าเป็นเรื่องของเขาเอง เขาเองก็บอกว่า เดี๋ยวเขาจะจัดการไปจ่ายเองทุกอย่างพ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“กับข่าวที่เกิดขึ้นทำให้พ่อรู้สึกเป็นห่วงเขามาก ใครจะไม่เป็นห่วง เป็นห่วงจนนอนไม่หลับ บางวันเห็นข่าวออกมาแบบนั้นแบบนี้ แต่ก็รู้สึกเบาใจหน่อยเพราะจาเขาเป็นคนเงียบๆ ชอบแบบสบายๆ ถ้าอยู่หลายคนเขาจะคิดอะไรไม่ออก เดี๋ยวคนโน้นก็พูดโน่นพูดนี่ก็สงสารเขา”
“เรื่องงบที่เขาถ่ายทำก็มีการคุยให้ฟังบ้าง เวลาที่เขามาหาที่บ้านเขาก็จะบอกตลอดว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะเรื่องงานเรื่องอะไร พ่อเองก็มีโอกาสได้ไปกองถ่ายกับเขาบ้าง โดยเฉพาะฉากไหนที่ต้องถ่ายกับช้างไม่ว่าจะที่ไหนก็แล้วแต่ พ่อก็ไปด้วยจะไปเซ่นไหว้”
“ปัญหาเรื่องการทำงาน ไม่รู้ว่ากลุ้มใจอะไรหรือเปล่า เขาชอบอยู่คนเดียวไม่ค่อยพูด ตั้งแต่เด็กๆ เขาเป็นคนที่ชอบทำอะไรคนเดียวแต่เขาก็ทำได้ เขาจะรักสันโดษ เวลาทำงานก็ชอบอยู่เงียบๆ แต่เรื่องเงินเขาก็ส่งให้ทางบ้านเหมือนเดิมเท่าเดิมที่เคยส่งไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ถึงเวลาครบเดือนเขาก็ส่งมา
“ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะไปโกงเงินบริษัทเราก็เชื่อมั่นลูกเราไม่ใช่คนแบบนั้น เขาทำงานจริงๆ ใช้มากใช้น้อยก็อยู่ในงานเขานั่นแหละ เขาไม่เอาไปใช้จ่ายเล่นตรงโน้นตรงนี้นอกลู่นอกทาง เห็นคนอื่นมาว่าลูกเราแบบนี้จะว่าเสียใจมันก็ไม่เสียใจเท่าไหร่ จะว่าไม่เสียใจมันก็ต้องเสียใจบ้างแหละ”
“แต่ปกติจาก็ไม่ใช่คนที่ชอบหายหรือหนีไปไหนนะ แต่เขาอาจจะอยู่คิดงานอะไรของเขามากกว่า จานี่แหละมีความรับผิดชอบงานมากที่สุด ขนาดกลับมาที่บ้านก็ไม่ได้นอน เวลาที่เขามาถ่ายที่อุบลก็แวะมากราบพ่อแม่ พ่อบอกนอนซักคืนเป็นไงลูก จาก็ไม่ยอมนอนบอกต้องประชุมงาน เขาเป็นคนที่ทำอะไรทำจริงเรามั่นใจลูกเราไม่เหลวไหล เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
“เขารักงานของเขามาก เด็กๆ จาเขาก็ชอบเรื่องผาดโผนอยู่แล้ว สมัยก่อนพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สีแดงเป็นพื้นที่คอมมิวนิสต์ ตอนนั้นจาก็อายุประมาณ 5 – 6 ขวบ เขาชอบดูหนังเฉินหลงก็เอามาฝึกฝนตามประสาเด็ก เขาก็ทำไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดนี้ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เขาก็เคยเป็นสตั้นท์ เราเองก็รู้สึกห่วงเขาเหมือนกันแต่มันเป็นความพอใจของเขา เราก็ไม่อยากไปก้าวก่ายเขาหรือไปขัดขวางเขา ก็ให้เขาเดินไปตามวิถีทางของเขาดีกว่า”
“พอวันนี้จาประสบความสำเร็จชีวิตครอบครัวเราก็ดีขึ้น เมื่อก่อนเราก็ลำบากลำบน แต่ชีวิตจิตใจเขาก็เหมือนเดิม เพียงแต่เราอาจจะสบายขึ้นเพราะลูกเรามีงานทำมีเงินมีหน้าที่การงานเรารู้สึกภูมิใจกับตรงนี้มากกว่า อย่างบ้านหลังนี้เขาก็ปลูกให้ก็ช่วยกันออกแบบช่วยกัน อยากได้แบบไหนเขาก็ตามใจพ่อ ส่วนบ้างหลังเก่าเป็นบ้านไม้อยู่ข้างหน้าจาเขาก็อยู่ที่นั่นตั้งแต่เกิด สำหรับบ้านหลังใหม่นี่ก็สร้างไป 7 – 8 ล้านอันนี้สมัยก่อนนะ ถ้าตอนนี้ก็คงจะแพงกว่านี้สองสามเท่า ก็รู้สึกภูมิใจกับเขามากครับ”
กับปัญหาที่เกิดขึ้นพ่อบอกว่า จาไม่เคยท้อ และไม่คิดเสียใจที่เลือกจะอยู่กับสหมงคล ไม่โกอินเตอร์ไปเล่นหนังต่างประเทศ ทั้งที่มีโอกาสโด่งดังและได้รับเงินมากกว่า
“เขาก็ไม่เคยบ่นท้อไม่ได้บ่นอะไร ได้ทำงานเขามีแต่สนุกและสบายใจมาก ถ้ามีคนมาพูดจุ๊กจิ๊กนี่เขาไม่สบาย แต่ถ้าปล่อยให้เขาทำกับทีมงานคิดค้นอะไรออกมาเองเขาจะสบายใจมาก”
“เรื่องการทำงานกับต่างประเทศ จริงๆ จาเขาก็เกิดในประเทศไทยในเมืองไทยเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ พ่อก็เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ พ่อก็ไม่อยากให้เขาไปหรอก เขาก็ไม่อยากไป เราคนไทยก็รักประเทศชาติ ศิลปะก็เอาศิลปะของเรามาใช้ เรารักเมืองไทยประเทศไทยไม่อยากไปไหนอยากอยู่เมืองไทย ไม่หวังน้ำบ่อหน้า เขาไม่ใช่คนประเทศเราด้วย เราอยู่เมืองไทยดีกว่า พ่อแม่ก็สบายใจได้ใกล้ชิดกัน”
“พูดถึงเรื่องเงินมันก็มหาศาลอยู่แล้ว แต่พูดถึงความสบายใจดีกว่า ถ้ามีเงินนิดๆ หน่อยๆ พอมีเงินไปทำบุญอยู่บ้านเราก็สบายใจกว่าไม่มีเรื่องกังวลใจ แต่ถ้ามีเงินเป็นแสนเป็นล้านเพราะไปอยู่ต่างประเทศ แต่เราคิดถึงลูกก็ทำให้เรากระวนกระวายอันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าคิด พูดถึงเงินใครก็อยากได้ แต่เราเอาความสบายใจเป็นหลักดีกว่า ถึงจะน้อยแต่ก็สบายใจ”
“ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องธรรมดา ปัญหาเขามีไว้แก้ไขตรงไหนมันไม่ดีก็ต้องแก้ เราจะต้องมีสมาธิมีปัญญา พอมีปัญญาเวลาเกิดปัญหาก็ต้องเอาปัญญาของเราไปแก้ ถ้าเราแก้จุดนั้นเสร็จมันก็สบาย พ่อจะให้กำลังใจจาแบบนี้”
ส่วนข่าวที่บอกว่า จาไปฝังตะกรุดจนเพี้ยน มีบุคลิกเปลี่ยนไป เบลอ ไม่ตั้งใจทำงานจนทำให้ต้องหนีกองถ่ายเข้าป่านั้น พ่อบอกว่า.......ไม่แน่ใจว่าลูกชายฝังตะกรุดจริงหรือไม่
“ปกติจาเป็นคนธรรมมะธัมโมนะ เขาสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่พาสวดมนต์ตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่สองสามขวบ จานับถือศาสนาพุทธกับผีบรรพบุรุษ สองอย่างนี้จะนับถือมากจะไปไหนต้องกราบไหว้ เราเคยปฏิบัติกันมาแบบนี้ พ่อแม่ทำอะไรเขาก็ปฏิบัติตาม บางทีพ่อแม่ถือศีลเขาก็ถือศีลด้วย บางทีก็ไปทำสมาธิไปทำที่วัดบ้าง หรือไม่ก็ไปนั่งตามหัวไร่ปลายนาแบบนี้แหละ พอเขาไปอยู่กรุงเทพเขาก็ยังปฏิบัติอยู่ ว่างๆ จากการทำงานเขาก็จะไปทำบุญเขาชอบทำบุญ”
“เรื่องเครื่องรางของขลังเขาก็มีเก็บไว้ เป็นของที่มีไว้เพื่อเชื่อมั่นทางจิตใจ เขาก็มีเก็บไว้บ้างเกี่ยวกับบรรพบุรุษ เพื่อเป็นการสืบทอด ส่วนเรื่องฝังตะกรุดไม่รู้หรอกว่าเขาจะฝังไม่ฝัง แต่ที่ผ่านมาเขาก็เหมือนเดิมนะไม่เห็นเขาเปลี่ยน ถ้าเขามีอาการเปลี่ยนไปพ่อก็จะรู้ แต่ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนไปอาจจะเป็นแบบเวลาที่เราเซ่นไหว้บนบานบรรพบุรุษเราถ้าเรา และเราไม่ได้มาเซ่นไหว้ตรงตามเวลามันก็จะซึมๆ นิดหน่อยเท่านั้นแหละ ถ้าจาไม่เป็นพ่อก็จะเป็น เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราไปเซ่นไหว้แล้วก็หาย”
“แต่ถ้าเขาไปฝังมาจริงๆ ก็จะเป็นอะไรไป สมัยก่อนคนโบราณก็ไปฝังกัน แต่สมัยนี้หาอาจารย์ที่ทำได้ไม่มีแล้ว คนโบราณเมื่อก่อนจะฝังตะกรุดเพื่อเวลาที่ไปจับช้างป่าผีสางมันดุก็ต้องฝังตะกรุด บรรพบุรุษของเรารุ่นปู่รุ่นทวดจะเคยฝัง แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วอาจารย์รุ่นนั้นหมดไปแล้ว”
“เขากลับมาที่บ้านก็ไม่เห็นมีอะไรนะ คนก็อาจคิดว่าหลงงมงาย จริงๆ ไม่ใช่หรอก จาไม่ได้ไปทางนั้นหรอก ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาสันนิษฐานกันหรอก เขาก็เป็นเหมือนเดิมอารมณ์ดีกว่าพวกเราอีก เวลามาบ้านเขาก็มาทำสมาธิที่นี่บางทีก็ 20 – 30 นาที”
“เรื่องที่เขาจะไปทางไสยศาสตร์เลยคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่บางคนก็คิดกันไปว่าจาไปทางไสยศาสตร์ไปบูชาเทพไปหลงไปทำอะไรที่งมงาย ก็จะบอกเลยว่าไม่จริงหรอก จาไม่เป็นขนาดนั้นหรอก คนที่ไม่เข้าใจเขาก็จะคิดว่าเขาเป็นแบบนี้ จาเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดคนก็จะพูดส่งเดชไป แต่จริงๆ แล้วเขาไปทำสมาธิเพื่อทำงานของเขา คือเรื่องถือศีลทำสมาธิเป็นเรื่องธรรมดำหรับเขา เรื่องเข้าป่าก็เป็นเรื่องธรรมดา”
เผยจานับถือเทพทั่วไปและบรรพบุรุษ....
“เขาจะนับถือคุณพระกับบรรพบุรุษที่นับถือมาก เรื่องบูชาเทพก็ธรรมดาทั่วไป นับถือทางพาหมณ์พุทธ เท่าที่รู้เทพที่เขานับถือทั่วไป อย่างตอนถ่ายหนังก็จะบูชาเทพทั่วไป ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นเทพองค์ไหน ก็ไหว้เทพยาฟ้าดินทั่วไป"
“นี่ถ้าเขาถ่ายหนังเรื่องนี้จบก็กะว่าจะให้เขาบวช แต่ถ้าเขาจะไปทางนี้บวชไม่ศึกเรื่องนี้มันพูดยาก เรื่องนี้สุดแล้วแต่บารมีของแต่ละคน ถ้าบารมีเราไปทางนั้นก็ต้องไปอย่างนั้น ของอย่างนี้ห้ามกันไม่ได้ ถ้าเขาจะไปทางนั้นเราก็ยินดีอนุโมทนาด้วย”
แต่ก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณพ่อทองดีวางเอาไว้หรือไม่ เมื่อจู่ๆ จา พนม ก็ถูกกลุ่มบุคคลหนึ่งชาร์ตตัวขึ้นรถหายไป พอพ่อติดต่อไปก็พูดจาไม่รู้เรื่อง เหมือนคนเบลอขาดสติ และไม่ยอมกลับมาหาพ่อทั้งที่จาเป็นคนที่รักพ่อมาก งานนี้พ่อยอมรับว่า หวั่นจะถูกจิตวิทยาหมู่และโดนมอมยาทำให้ไม่ได้สติ หวั่นซ้ำรอย “หมอประกิตเผ่า” ที่เคยตกเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปีที่แล้ว
“หลังจากที่แจ้งความแล้วตอนนี้ก็รอฟังข่าวอยู่เหมือนกันว่า จะมีข่าวคืบหน้าอะไรบ้าง จายังไม่ได้ติดต่อมาหาพ่อเลย แต่ทางพี่สาวอยู่บ้านที่สุรินทร์โทรศัพท์มาบอกว่า จาโทรไปหาบอกว่า ตอนนี้เขารอเตรียมงานอยู่อีกประมาณ 5 – 6 วันเขาจะเข้ามาคุยกับเสี่ยเจียง(สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) และให้บอกพ่อกับแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเขาทำเพื่อครอบครัวอยากให้ครอบครัวสบาย ตอนนี้เขาพักอยู่กับเพื่อนสบายดีไม่ได้เป็นอะไร ส่วนจะเป็นเพื่อนเกาหลีที่เป็นข่าวหรือเปล่าอันนี้พ่อไม่รู้ เพราะไม่เคยเจอหน้าเขา”
“แต่แปลกใจอยู่ว่าทำไมเขาไม่โทรมาหาพ่อเอง ทำไมต้องโทรไปบอกพี่สาว พ่ออยากจะให้เขามาหาพ่อที่บ้านพักที่กรุงเทพนี่เลย ทำไมต้องรอนานนักมีอะไรก็น่าจะมาคุยกับพ่อแม่บ้าง ที่พ่อกับแม่ออกมาให้สัมภาษณ์ และไปแจ้งความเอาไว้ก็เพื่อให้คนในครอบครัวที่เป็นห่วงเขาสบายใจและปกป้องตัวจาเองด้วย แต่ทำไมถึงโทรไปบ้านที่สุรินทร์ทำไมไม่มาหาพ่อที่บ้านพักที่กรุงเทพทั้งที่เขาก็บอกว่าเขาอยู่กรุงเทพ”
“พ่อติดใจตรงที่ว่าปากก็บอกว่ารักครอบครัว แต่ทำไมเขาไม่ยอมมาหาพ่อหาแม่มีอะไรก็น่าจะมาคุยให้ฟังบ้างพ่อแม่จะได้สบายใจ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนยังไงก็ไม่รู้เลย ทางพี่เขยพยายามที่จะติดต่อไปก็บอกแต่ว่าเขายังไม่พร้อมไปคุย เพราะว่ายังเตรียมงาน ถ้าพร้อมแล้วจะรีบไปคุยกับเสี่ยเจียงทันทีเขาว่าอย่างนี้”
“ส่วนเรื่องที่มีทนายและมีการ์ดมาผลักเขาขึ้นรถไปนั้น เขาบอกว่าไม่จริง ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนฝูงกันทั้งนั้น อันนี้เขาบอกกับพี่สาวเขานะ แต่พ่อคิดว่าไม่น่าจะใช่เพื่อนที่แท้จริงหรอก น่าจะเป็นเพื่อนที่เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์กับจาเท่านั้นล่ะ เพราะถ้าเป็นเพื่อนกันจริงเขาคงจะปล่อยตัวให้จามาหาพ่อแม่แล้วจะเอาเขาไปหลบไปขังไว้ทำไม”
“ในความคิดของพ่อลึกๆ แล้ว พ่อก็ยังมีความรู้สึกว่า จาอาจจะโดนกักตัวอยู่ ตอนนี้รู้สึกกลัวในความปลอดภัยของจา หลังจากที่พ่อแจ้งความไปทางเพื่อนที่ไม่หวังดีของจาเขาคงจะเตรียมแผนอะไรสักอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงพาจามาคุยกับพ่อหรือคุยกับทางสหมงคลฟิล์มแล้ว”
“ส่วนทางเราก็ไม่สามารถที่จะติดต่อจาโดยตรงได้เลยต้องรอเขาโทรมา ถามว่าน้อยใจมั้ยที่เขาไม่มาหามันก็ต้องมีบ้าง เพราะพ่อกับแม่อุตส่าห์มาหาอยากจะคุยกับลูกว่ามีปัญหาอะไร แต่ลูกไม่มาหาพ่อรู้สึกน้อยใจและไม่สบายใจ”
“ที่ผ่านมาจาเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาจะรักครอบครัวมากต่อให้มีงานเยอะธุระด่วนอะไร แต่ถ้ารู้ว่าพ่อกับแม่มาหาเขาจะรีบมาทันที พาพ่อไปทำบุญที่โน่นที่นี่ ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย ไม่มาหาไม่โทรมารู้สึกเป็นห่วงเขามากๆ ตั้งแต่เขามาเจอกับเพื่อนกลุ่มนี้ล่ะเขาเริ่มเปลี่ยนไปมีอะไรไม่ค่อยเล่าให้ฟังไม่อยากมาเจอพ่อแม่การพูดจาก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนคนเดิม ซึ่งตามความคิดของพ่อก็ยังยืนยันว่าเขาคงจะโดนกลุ่มคนพวกนี้กักตัวเขาเอาไว้ไม่อยากให้มาพบครอบครัวอยากให้ทำงานอยู่กับเขาอย่างเดียว พูดอะไรก็ต้องทำตามเขาหมดจาเขาไม่ใช่คนแบบนี้”
“เขามีสีหน้าท่าทางไม่ปกติเหมือนแต่ก่อน ตัวของจาเองเขาอาจจะคิดว่าเขาปกติดีไม่ได้เป็นอะไร แต่ในความคิดของพ่อหลังจากที่เห็นเขาพูดในทีวีพ่อว่าเขาโดนมอมยาและโดนข่มขู่แน่นอน ไม่งั้นเขาไม่เป็นอย่างนี้หรอกปกติเขาเป็นคนอารมณ์ดีร่าเริง”
“เรื่องจิตวิทยาหมู่อะไรนี่พ่อไม่รู้จักหรอก แต่เคยมีคนมาเล่าให้ฟังเรื่องที่มีคนเคยโดนมอมยาทำให้เหม่อใจลอยเขาพูดอะไรก็ต้องพูดตามเขา ทำอะไรก็ต้องทำตามเขายกทรัพย์สินเงินทองให้เขาหมด กลัวว่าจาจะเป็นแบบนี้เป็นห่วงเขา แต่ทำอะไรไม่ได้รอจาติดต่อมาหาพ่อหรือไม่ ถ้าไม่ติดต่อมาหาพ่อก็ติดต่อไปหาพี่สาวที่สุรินทร์อีกก็ได้พ่อจะได้สบายใจ ยังไม่ได้วางแผนอะไรทำอะไรรอจาติดต่อมาอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไร”
“เรื่องเพื่อนชาวเกาหลีในข่าวพ่อไม่รู้ เพราะเขาไม่เคยมาพูดถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งแค่ไหน เขาไม่เคยมาเล่าให้ฟังเลยจะมีพี่เขยเขานั่นล่ะที่รู้เรื่อง แต่เขาเพิ่งมาอยู่กับจาวันสองวันที่รู้เรื่องก็เพราะมีทีมงานหนังมาเล่าให้พี่เขยฟังว่า ตอนนี้คนนั้นเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้นถึงได้รู้ ตลอดระยะเวลาผ่านมาพี่เขยจะไปหาจานั้นจะโดนกีดกันตลอดไม่ให้ติดต่อกันได้”
“เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นการโปรโมทหนังหรือเปล่าตรงนี้พ่อไม่รู้หรอกเขามีวิธีแบบไหนในการโปรโมท แต่ว่าหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่เมื่อลูกมีเรื่องไม่สบายใจ และเป็นข่าวแบบนี้ก็รู้สึกเป็นห่วงเขาไม่สบายใจอยากมาเจอและให้กำลังใจกัน ยิ่งมาและไม่ได้เจอก็ยิ่งเป็นห่วงกันไปใหญ่ ตอนนี้ก็ภาวนาขอให้เขาไม่ได้เป็นอะไรตามที่เขาบอกกับพี่สาวถ้าเป็นไปได้อยากให้เขามาหาพ่อกับแม่บ้าง”