xs
xsm
sm
md
lg

จากเสียงเพลงสู่เสียงเครื่อง(ยนต์) กับคำถาม...รวยถึงทำได้? ของ "สุกี้"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"แรกๆ คิดไว้เป็นคอนเสิร์ต แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นเฟสติวัลไปแล้ว..."

ประโยคบอกเล่าจาก "สุกี้ กมลสุโกศล แคลปป์" โต้โผใหญ่ในการจัดคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อหารายได้ให้กับมูลนิธิ "รักษ์ไทย" ใน “Dream Chaser Live 2008 Bikers & Rockers Save The World” ที่เตรียมจะระเบิดความมันในวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคมนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

"คือมันไม่ได้มีแค่ภาคดนตรีอย่างเดียวแล้วไง ก็จะมีนิทรรศการภาพถ่าย มีการประมูลเสื้อของศิลปินที่เขามาวาด แล้วทางรักษ์ไทยเขาก็จะมาเปิดบูทเพื่อบอกว่าเขาทำอะไรบ้าง กิจกรรมมีอะไรบ้าง"

สำหรับการเกิดขึ้นของคอนเสิร์ตครั้งนี้ที่จะมีกลุ่มศิลปินชื่อดัง ทั้ง โมเดิร์นด็อก, กรู๊ฟไรเดอร์ส , ฟลัว, แทททูคัลเลอร์ และ อพาร์ตเม้นท์ คุณป้า ตบเท้าขึ้นเวทีนั้น สุกี้เล่าให้ฟังว่ามันเริ่มมาจากประสบการณ์ในการขับรถท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ เพื่อผลินรายการ "ดรีมเชสเซอร์" นั่นเอง

"ปีที่แล้วผมทำให้กับมูลนิธิเพื่อนช้างเพราะผมได้ไปพบกับคุณโซไรดา ซาลวาลา คือเราอ่านหนังสือเรื่องช้างมันก็รู้เรื่องช้างก็จริง แต่มันก็แค่นั้น มันไม่มีความรู้สึกน่ะ เอากันง่ายๆ นะ รู้มั้ยว่าตอนนี้บ้านเรามีช้างเหลืออยู่แค่ 4 พันตัว แล้วที่เดินกันในกรุงเทพในเมืองเนี่ยไม่ใช่ของพวกคนเลี้ยงช้างนะ แต่ไปเช่ามาจากพวกมาเฟีย"

"พอมาศึกษาเลยรู้ว่ามันลึก มีอะไรหลายอย่างที่พูดไม่ได้ ไปเจอช้างขาด้วนครึ่งขาที่มูลนิธิฯ พอเราสัมผัสเองมันจะอิน มันไม่เหมือนกับการอ่าน ปีที่แล้วก็เลยคิดจะทำคอนเสิร์ตการกุศลหารายได้ให้กับมูลนิธิฯ แล้วก็อยากจะทำให้มันต่อเนื่อง"

"ส่วนปีนี้พอดีว่ามันไปไกลกว่าเดิม ผมไปลาว ไปเวียดนาม ไปเขมร อย่างตอนที่ผมไปบ้านเด็กกำพร้าที่เป็นเอดส์เนี่ย ผมไปดูหอพักแล้วในหอพักจะมีรูปพ่อแม่ของเขาที่ตายแล้ว คือตัวพ่อเองยังเด็กอยู่เลยนะ ผมก็เลยพยายามที่จะมองหาองค์กรระหว่างประเทศก็ไปเจอองค์กรของโลกที่ชื่อแคร์"

"ซึ่งในประเทศไทยเขาใช้ชื่อว่ารักษ์ไทย แล้วเขาทำอะไรเยอะมาก ทั้งเรื่องเอดส์ ผู้หญิง ชาวนา แล้วปีนี้เขามาเน้นเรื่องโลกร้อนก็เลยมาช่วยจัดคอนเสิร์ตหาเงินให้ คือทำในส่วนที่ผมทำได้ แต่คงไม่ถึงขนาดที่จะไปทำมูลนิธิหรือว่าอะไรนะ"

"อย่างคุณโซไรดาแกทุ่มชีวิตแกให้ช้างหมดเลย แล้วตอนที่ผมไปเยี่ยมบ้านเด็กกำพร้าเอดส์ คนที่ดำเนินการที่นั่นเป็นฝรั่ง 2 คน เขาทุ่มชีวิตตรงนั้นหมดเลย ทิ้งอาชีพ ขายบ้านที่อเมริกามาอยู่ที่เขมร แต่ผมยังเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่ อันนี้พูดกันตรงๆ จริงๆ ผมยังเป็นคนที่แบบ...ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดแบบไหน คือผมยังไม่พร้อมที่จะทิ้งทุกอย่างน่ะ"

ปีที่แล้วหาเงินเข้ามูลนิธิให้เพื่อนช้างได้ 6 แสนบาท แต่สำหรับปีนี้เจ้าตัวตั้งเป้าไว้ว่าน่าจะได้สัก 1 ล้าน

"ราคาเดียว 300 บาท คิดดู 300 บาทแต่ได้ดูวงอย่างโมเดิร์นด็อก วงอย่างกรู๊ฟไรเดอร์ หรือจะเป็นอพาร์ตเม้นท์ คุณป้า บัตรมี 3,500 ใบครับ มากกว่านั้นมันอันตรายเพราะมันมีพื้นที่จำกัด"

เผย ตั้งแต่พาตนเองออกมาจากวงการเพลงเพื่อขี่รถท่องเที่ยวทำให้ตนเองได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากยิ่งขึ้น รวมถึงมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไป

"ผมอยู่วงการเพลงผมก็คิดว่าทั้งโลกมันมีอยู่แค่นี้ แต่พอผมถอนตัวออกมาแล้วมองจากด้านนอกเข้าไปข้างใน โห วงการเพลงมันแค่นี้เองน่ะ มันกะจึ๋งเดียวเอง ในโลกนี้มันยังมีอะไรอีกเยอะมาก ตอนนี้ผมสนุกกับการขวนขวาย แล้วการท่องเที่ยวมันเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตา"

"ตอนที่ออกมาจากวงการเพลงผมพยายามค้นหาว่าจะทำอะไรต่อกับชีวิต เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยอยู่นิ่ง ผมค้นหาใหญ่ แล้วมันหาอะไรไม่เจอ มันเริ่มเครียด 6 เดือนผ่านไปก็กระวนกระวาย เดี๋ยวไปทำตรงนี้ ไปช่วยครอบครัวดีมั้ย ไปเปิดค่ายกับบอยช่วงหนึ่ง"

"6 เดือนผ่านไปไม่พบอะไรจนผมเริ่มเครียด วันนึงผมเลยตัดสินใจ เฮ้ย ช่างมัน ไปตามน้ำแล้วกัน ปล่อยว่าง ไปเลย ผมจะไปตามน้ำ...คือตอนนี้ผมไม่ได้คิดอะไรที่ไกลๆ เลยนะ อย่างปีนี้ผมคิดแค่ผมจะทำรายการทีวี คอนเสิร์ต เขียนหนังสือสักเล่ม แล้วก็เปิดเวบเพจ แค่นี้ พอในปีนี้"

เคยได้ยินเสียงค่อนแคะในทำนอง...คนรวยทำอะไรก็ได้? บ้างมั้ย?
"ผมจะบอกว่าผมเจอคำถามนี้บ่อยมาก...ยูเป็นสุกี้ ยูก็ทำได้ แต่ที่ผมทำทั้งหมดนี่มันไม่ใช่ตังค์ผมเลยนะ (หัวเราะ)"

"อย่างตอนที่ทำค่ายเบเกอรี่ เราทำมันมาผ่านมา 15 ปี ผมว่ามันก็ทำให้วงการเพลงมีอะไรขึ้นมานะ แล้วที่ทำ ผมไม่ใช่เด็กรวยทำค่ายนะ ปี 94 ค่ายเพลงเกิดเต็มไปหมด พอปี 97 เจ๊งกันหมด เรามีหนี้สิน 60 ล้าน แล้วเราผ่านจุดนั้นมาได้มันผิดตรงไหน แต่ถึงขนาดนี้แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมีคนพูดในทำนองนี้อยู่เลย"

"ผมกำลังจะบอกว่ามันเริ่มที่ความคิด สังคมบ้านเรามันตีกรอบมาเยะ มึงยืนอยู่ตรงนี้ ตรงนี้นะ อย่างผมไปหลวงพระบางผมไปเจอกลุ่มมอเตอร์ไซค์ 20 คน เป็นครอบครัวคนเวียดนาม มีคุณยายอายุ 76 ปี แล้วก็เป็นพวกลูกๆ หลานๆ"

"แล้วพวกเขาขี่รถคันเล็กๆ มาจากโฮจิมินห์น่ะ คิดดู บางทีผมคุยกับพวกรถใหญ่ มันเบื่อนะ ขี่ทางแบบนี้ต้องรถอย่างนี้ ผมว่าใครก็ทำได้ถ้ายูอยากจะทำ ยูอยากทำหรือเปล่า อย่างครอบครัวที่ว่าเขาเป็นคนงานธรรมดาเลยนะ แล้วขับมาถึงหลวงพระบางกลับไปโฮจิมินห์มันน่ะ มัน 3,000 กิโลฯ เลยนะ"

"แต่ผมผ่านจุดที่จะมานั่งคิดอย่างนี้แล้วนะ เราโตแล้ว คือผมว่าที่หลายคนเป็นเช่นนี้เพราะผมว่านะคนทั้งโลกเนี่ย ผมว่า 99% คิดมากว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับตัวเขา อย่างเรื่องมอเตอร์ไซค์ ยูอิจฉาไอหรือเปล่า ไอได้ขี่ มีคนจ้างให้ขี่ด้วย(หัวเราะ)"

"ผมว่าวัดกันที่ผลงานดีกว่า เอางานเป็นตัววัดดีกว่า ตราบใดที่คุณทำงานได้ดีสิ่งดีๆ มันจะกลับมาเอง ขอให้งานมันดีเถอะ เราต้องรู้จุดแข็งของตัวเอง แล้วก็ต้องยอมรับในจุดอ่อน ซึ่งมันก็กลับมาจุดที่ว่ารู้ตัวเองเมื่อไหร่ จบ แล้วเราจะมีความสุข"

ปิดท้ายด้วยการยอมรับว่า หลังหันหลังให้งานดนตรีมานาน ตอนนี้เริ่มมีเอียงๆ เข้าหาบ้างแล้ว
"ก็มีนะ คือตอนที่ผมคิดว่าจะเลิกเลยผมมีกีต้าร์อยู่ 50 ตัว ผมขายไป 45 ตัว เอาเงินมาซื้อมอเตอร์ไซค์ ห้องอัดขายทิ้งไป แต่ตอนนี้เดินผ่านร้านกีต้าร์ โห...สวยว่ะ เข้าไปหยิบ ลองเอาจับๆ ปรากฏว่าสมองนี่ไปแล้วนะ แต่นิ้วไม่วิ่งเลย (หัวเราะ)"
กำลังโหลดความคิดเห็น