(บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)
Summer Palace ของผู้กำกับ โหลวเย่ กลายเป็นหนังจีนที่อาภัพที่สุด หลังจากเข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2006 และได้รับการคาดหมายว่าจะคว้ารางวัลใหญ่มาครอง รัฐบาลจีนก็สั่งระงับหนังเรื่องนี้ได้ทันท่วงที เสร็จสิ้นจากคานส์ ก็ไม่มีใครได้ชมหนังเรื่องนี้อีก จนกระทั่งมันเพิ่งออกฉายและจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีเมื่อต้นปี 2008 นี้เอง
กระนั้นก็นับว่า Summer Palace ได้ถูกเผยแพร่น้อยเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพของมัน นอกเหนือไปจากการแสดงถึงความพังพินาศของระบอบสังคมนิยมอย่างเปี่ยมชั้นเชิง ภาษาหนังของโหลวเย่ก็ชัดเจนและเป็นตัวของตัวเองมากพอที่จะหนีพ้นจากเงาของผู้กำกับจีนรุ่นที่ห้า - ที่กลายเป็นสไตล์อันล้าสมัยไปแล้ว
หนังร่วมสมัยจากจีนแผ่นใหญ่ พยายามจะไม่แตะต้องประวัติศาสตร์ช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมอีก แต่พล็อตเรื่องยังคงแสดงให้เห็นถึงชีวิตอันเปราะบางที่ถูกทำให้แตกร้าว เพราะความต้องการเสถียรภาพทางการเมืองและการปกครองของรัฐบาล
นอกเหนือจาก Summer Palace คนไทยเราก็ได้ชมหนังอย่าง Shanghai Dreams (หวังเสี่ยวช่วย – ได้รางวัลจูรี่ ไพรซ์จากคานส์ 2005) และเร็วๆ นี้ก็จะได้ดูหนังหลุดโลกของ เจียงเหวิน เรื่อง The Sun Also Rises – ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวพันกับประเด็นในย่อหน้าข้างต้น
หนังทั้งสามเรื่อง มีตัวละครเอกเป็นผู้หญิง พวกเธอประสพเคราะห์กรรมที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่อเลยแม้แต่น้อย ความผิดหวังซ้ำซากประเดประดังเข้ามาจนเกินจะรับมือได้
Stolen Life ของผู้กำกับหญิงชาวจีน หลี่เชาหง ก็มีตัวละครหญิงที่อาการสาหัสไม่แพ้กัน เธอทำหนังว่าด้วยผู้หญิงและความลักลั่นของสังคมที่พวกเธออาศัยอยู่มาแล้ว ทั้งใน Blush (1994) และ The Red Suit (2000) แต่ Stolen Life ตีแผ่ความเจ็บช้ำได้สมจริงที่สุด
เหตุผลก็คือ ถึงแม้โครงเรื่องจะมีส่วนที่ดูจงใจและเหลือเชื่อเกินไป แต่การเล่าเรื่องของเธอกลับกระแทกกระทั้น เฉียดใกล้ประสบการณ์การรับรู้ของผู้ชมตลอดเวลา จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สิ่งที่เห็นนั้นคือเรื่องจริง
มันจริงมากถึงขนาดที่ใครได้ชม ก็ต้องรู้สึกว่าปัญหาชีวิตที่ตนเองพบพาน เปรียบเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ หยานนี่ (โจวซุ่น - มอบการแสดงที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด) ตัวละครเอกของเรื่อง กำลังแบกรับอยู่ มันหนักราวกับว่าเธอได้แบกโลกทั้งโลกเอาไว้ จนเมื่อต้านทานไม่ไหวอีกต่อไปนั่นเอง เธอจึงยอมให้มันหล่นมาทับ
หลี่เชาหง แนะนำให้คนดูรู้จักกับ หยานนี่ ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก ปมปัญหาสำคัญที่ติดอยู่ในความทรงจำ คือ เธอถูกแม่ทิ้งเอาไว้ให้อยู่กับน้าและยาย นานทีปีหนจึงจะกลับมาเยี่ยม นั่นทำให้เธอรู้สึกห่างเหินกับผู้เป็นแม่เกินกว่าจะรักหรือผูกพัน
เมื่อหยานนี่โตเป็นสาว เธอได้พบกับพ่อเป็นครั้งแรก กล้องทำหน้าที่แทนสายตาของเด็กสาวอย่างเอาจริงเอาจัง มันสำรวจทุกกิริยาอาการของชายวัยกลางคน ที่ดูเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตัวละครเอก
และพ่อนั่นเองที่เป็นคนยืนกรานว่า หากหยานนี่ต้องการจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย ก็ต้องได้เรียน เขารวบรัดคำพูดของตนเองให้สั้นเหลือเพียง 1-2 ประโยคว่า เขาอาจจะต้องหาเงินเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อให้หยานนี่เรียนหนังสือได้คล่องขึ้น – ชายผู้นี้ช่างลึกลับ เงียบขรึมจนน่ากลัว ในความคิดของเด็กสาว
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่ทั้งหยานนี่และคนดูได้เห็น “พ่อ” เขากลายเป็นภาพที่รางเลือนเต็มทน - - น้อยเกินกว่าที่เด็กสาวจะจัดการเก็บไว้ในใจ
ช่วงเวลาถัดมาของหนัง หยานนี่ ออกจากบ้านน้าราวกับเดินออกมาจากพันธนาการที่กักขังเธอมาเนิ่นนาน ในวันแรกที่เดินทางเข้าไปในมหาวิทยาลัย เธอได้พบกับชายหนุ่มรูปหล่ออาชีพขับรถรับจ้าง ที่ชื่อ มู่ยวู่ (อู๋จุน) เขาขับรถชนแท็กซี่ที่เด็กสาวนั่งมาจากบ้าน และไถ่โทษด้วยการช่วยขนของขึ้นหอพัก แล้วพาไปเลี้ยงข้าว
ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา อัธยาศัยดี และถ่อมตัวอย่างเหลือเชื่อ หยานนี่ค่อยๆ มอบความไว้วางใจ ที่เธอไม่เคยเปิดเผยมาก่อนให้กับชายหนุ่ม นานพอดูก่อนที่เธอจะตกหลุมรักเขา และก่อนที่เธอจะรู้ว่า เขามีเมียและมีลูกแล้ว
มู่ยวู่ สารภาพว่า เมียและลูกน้อยเกิดจากความผิดพลาดของเขาเอง เขาเคยมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแค่ครั้งเดียว และหญิงใจร้ายก็ใช้ลูกน้อยในการมัดมือชก จนเขาไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากการจำใจรับผิดชอบ
ชายหนุ่มสำทับด้วยว่า ไม่อยากให้หยานนี่มาข้องเกี่ยวกับเขาอีก ถึงแม้เขาจะรักเด็กสาวมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ขอให้มันเหมือนลมที่พัดผ่านไป ต่างคนก็ต้องเดินตามทางที่โชคชะตาได้กำหนดไว้แล้ว
คำพูดที่แสดงความอ่อนแอของมู่ยวู่ ทลายกำแพงของหยานนี่จนหมดสิ้น เธอยอมกระโจนลงในสนามรักกับเขาในคืนนั้น และตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่กับชายหนุ่มที่เธอไม่รู้สึกระแคะระคายอันใดอีก
เรื่องค่อยๆ คืบหน้าไปพร้อมกับความรู้สึกไม่เห็นชอบของคนดู หยานนี่ตั้งท้อง และถูกขอให้ออกจากมหาวิทยาลัย เธอยอมรับมันได้อย่างเข้มแข็ง และหาเลี้ยงครอบครัวด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ ไม่กลับไปหาสังคมเดิมๆ และละทิ้งครอบครัวที่เธอห่างเหินไปอย่างไม่ไยดี
แต่แล้ว หยานนี่ก็ค่อยๆ เข้าใจว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด มู่ยวู่เผยให้เห็นด้านที่ไม่น่าพิสมัยออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ ความอดทนของหยานนี่พ้นขีดจำกัด เมื่อเธอทราบว่าชายหนุ่มยินยอมพร้อมใจขายลูกของพวกเขาให้กับเศรษฐี แลกกับเงินก้อนหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่าเพื่ออนาคตของเด็ก
ราวกับว่า พระเจ้ายังไม่สาแก่ใจ หยานนี่ได้ล่วงรู้ว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงรายแรกที่มู่ยวู่ทำแบบนี้ เขาใช้สูตรเดิมๆ หลอกล่อเด็กสาวให้มาติดกับ เมื่อหมดประโยชน์ก็เริ่มแผนใหม่ ชายหนุ่มไม่เหลือความปรานีใดๆ เขาบอกกับเธอว่า “อยากโง่เอง ช่วยไม่ได้”
แต่ถึงอย่างนั้น หนังก็ไม่ได้สาดโคลนความผิดให้ใครคนใดคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้มู่ยวู่เคยเล่าถึงชีวิตตนเองที่เติบโตมาโดยปราศจากพ่อแม่ เขาหาเลี้ยงตนเองจนอยู่รอดมาได้ และไม่หลงเหลือความศรัทธาใดๆ แก่สถาบันครอบครัวอีก
แม้จะรู้สึกคัดค้าน แต่หยานนี่ก็ต้องยอมรับว่า 9 เดือนที่เธออุ้มท้อง เป็นการเอาเวลามาทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ และถ้าพูดกันตรงๆ เธอไม่เคยมีศรัทธากับพ่อแม่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ฉากหนึ่งที่ดูจงใจมากๆ แต่ก็คลุ้งไปด้วยความเจ็บปวด คือฉากที่แม่แวะมาหาหยานนี่เรื่องลูกในท้อง เธอบอกกับลูกสาวว่า ไม่อยากให้ลูกต้องพบกับจุดจบที่คล้ายกับตนเอง เธอมีลูกจากความผิดพลาดตั้งแต่ยังสาว และนับจากนั้น ชีวิตก็มีแต่จะดิ่งลงหุบเหว
“ชีวิตที่ถูกขโมยไป” ตามชื่อเรื่อง เป็นได้ทั้งการขโมยลูกในไส้ ที่มู่ยวู่ทำ หรือแสดงนัยถึงชีวิตของหยานนี่เอง อาจหมายรวมถึงใครอีกหลายร้อย ที่เจอเรื่องคล้ายๆ กันนี้
ฉากหลังของหนังเกิดขึ้นที่ปักกิ่ง ในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไหน ในตอนท้ายเรื่อง หยานนี่เลียบาดแผลตนเอง พร้อมๆ กับที่เห็นเหยื่อคนใหม่ของมู่ยวู่ - กำลังจะเดินตามรอยเธอมาในถนนชีวิตสายเดียวกัน
เปล่าประโยชน์ที่จะเข้าไปช่วยเหลือ หรือจะดิ้นรนหาทางแก้ไข คำอธิบายสั้นๆ ของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นอย่างที่มู่ยวู่บอกจริงๆ นั่นก็คือ “อยากโง่เอง ช่วยไม่ได้”