xs
xsm
sm
md
lg

เปลือยใจ "พริก คลิปหลุด" เซ็กซี่รักชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"พริก กานต์ชนิต" สลัดภาพเซ็กซี่ โผล่ร่วมกู้ชาติ สมัครเป็นพยาบาลอาสาดูแลผู้ชุมนุมที่เจ็บป่วย บอกเป็นความสุขที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต เจ้าตัวยันไม่ได้มาเพื่อสร้างภาพ พร้อมเผย ควักกระเป๋าทุ่มเงินหลักหมื่นทำเข็มกลัดกู้ชาติขาย เพื่อนำเงินไปซื้อจานเอเอสทีวีบริจาคชุมชนที่ขาดแคลน หวังเปิดหูเปิดตาชาวบ้านให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร

เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่เข้าร่วมกู้ชาติกับผู้ชุมนุมพันธมิตรอย่างเปิดเผย สำหรับ "พริก กานต์ชนิต ซำมะกุล" นักแสดงสาวภาพลักษณ์เซ็กซี่จากภาพยนตร์เรื่อง จ.เจี๊ยวจ๊าว และเคยแจ้งเกิดจากการที่มีคลิปหลุดนุ่งบราโชว์เซ็กซี่เพื่อโปรโมตหนังสือ MEMO แถมล่าสุดเจ้าตัวได้ไปเป็นพยาบาลอาสา ช่วยแจกยาและดูแลผู้ชุมนุมที่เจ็บไข้ได้ป่วย อยู่ที่หน่วยพยาบาลของพันธมิตร โดยสาวพริกเปิดเผยว่า ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาตั้งแต่มีการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ครั้งแรก บอกทนไม่ได้ที่รัฐบาลทำลายชาติแล้วยังหมิ่นเบื้องสูง เป็นเหตุให้อยากเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องชาติร่วมกับพี่น้องคนไทย

ทั้งนี้เจ้าตัวยังถือโอกาสชี้แจง หลังถูกครหาใช้เวทีนี้สร้างภาพว่าไม่เป็นความจริง ยันอยากมีส่วนช่วยบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก่อนเผยถึงความรู้สึกส่วนลึกให้ฟังว่า การต้องมาทำความดีครั้งนี้ อาจจะเป็นการชดใช้ที่อดีตเคยเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของเยาวชนก็เป็นได้

"ตอนแรกหนูดูทีวี เปลี่ยนช่องมาเจอเอเอสทีวีเพราะที่บ้านติดจานเอเอสทีวีอยู่แล้ว ตอนนั้นคุณยายอารมณ์ มีชัย กำลังขึ้นพูดบนเวทีพอดี แล้วภาพที่เห็นคือเป็นคนแก่คนหนึ่งที่โพกผ้าเขียนว่ากู้ชาติ พูดเกี่ยวกับประเทศไทยและชักชวนคนให้มาเยอะๆ ความรู้สึกนั้นคืออยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย และทำไมคนแก่ขนาดนี้ต้องออกมากู้ชาติ ฟังมาเรื่อยๆ จากที่ไม่เคยรับรู้เรื่องการเมือง ไม่เคยสนใจเรื่องอะไรเลย คือมันเหมือนจะซึมไปเองว่าเป็นเสมือนหน้าที่ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรู้"

"หนูฟังเอเอสทีวีอยู่ที่บ้านประมาณหนึ่งอาทิตย์ ฟังทุกวัน ฟังจนติดไปเลย ขนาดนอนเราก็ยังเปิดฟังตื่นมาก็ฟัง ให้มันเข้าหัว พอเริ่มเข้าใจเรื่องนั้นเรื่องนี้เราก็เริ่มติดตาม แล้วคุณยายอารมณ์บอกว่า ถ้าเค้ายังไม่ตายเค้าจะกลับมาใหม่เพราะเค้าต้องทำคีโม แล้วเวลาก็ผ่านไปคุณยายก็กลับมา ทีนี้มันต้องมาแล้วล่ะ เพราะคุณยายยังมาเลย ก็เลยมาที่นี่มาฟังด้วยตัวเอง หนูมาตั้งแต่ม็อบมัฆวานฯครั้งแรก ตอนบุกไปทำเนียบเราก็ไปลุยกับเค้า แล้วก็ไปนางเลิ้ง วันที่ไปนางเลิ้งก็ไปนอนกลางถนนมาด้วย ก็อยากลองดู คุณลุงจำลองก็บอกว่าให้ลองดูที่นอนบนพื้นถนนเป็นเตียงขนาดใหญ่ มีผ้าห่มเป็นท้องฟ้าเป็นยังไง เราก็เลยลองดูได้บรรยากาศดี ก็สนุกดีนะคะ หลังจากนั้นก็มาฟังเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่นี่คะ (หน่วยพยาบาล)"

"บอกเลยว่าตอนแรกที่ฟังแกนนำฯพูด หนูก็ไม่เชื่อ คือเราคิดว่าตอนนี้สื่อมันเปิดกว้าง ทุกคนเค้ามีความคิด ตัดสินใจได้ ไม่ใช่แบบแกนนำพูดปุ๊ป เราต้องเชื่อเลย ไม่จริงนะ พอฟังแกนนำพูดแล้วเราต้องพิจารณาว่า เกิดไรขึ้น ดูช่องฟรีทีวีด้วยแล้วเปรียบเทียบ อันไหนที่ถูกต้องเราก็เลือกอันนั้นล่ะค่ะ อย่างหนูดูข่าวเป็นอาทิตย์กว่าจะออกมา จริงๆ ก็ไม่อยากยุ่ง แต่เราอยากรู้ว่าอะไรคือความจริง ฟังแล้วมีความรู้สึกอยากรู้ว่า...มันเรื่องจริงเหรอ ในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทยเรามีหน้าที่อะไรบ้าง แล้วจะช่วยอะไรได้บ้าง พอพิจารณาแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนจะต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ที่ต้องช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยเหลือพระมหากษัตริย์ของเราด้วย"

"ความรู้สึกที่ต้องออกมามันรวมไปถึงทุกเรื่อง คือทุกสิ่งทุกอย่างที่รัฐบาลทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสีย ทำให้พระมหากษัตริย์หม่นหมองคือสิ่งที่ผิด เพราะในหลวงของเราเปรียบเสมือนเทพ ท่านทำเพื่อประชาชนเพื่อประเทศชาติ ท่านไม่ใช่คนที่ไม่ดี ถ้าใครทำร้ายท่าน คนนั้นคือคนที่ผิด"

"คนที่พูดว่าเราคลั่งชาติ หนูว่ามันก็ดีกว่าขายชาตินะ คลั่งชาติมันไม่ดีตรงไหน อยากจะบอกว่าประเทศไทยขาดการคลั่งชาติมานานมากแล้ว คนไทยอะไรก็กระแสต่างชาติ อะไรก็ต่างชาติ อยากจะบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือคนไทย ทรัพยากรไทย และก็ประเทศไทย คืออยากจะให้เริ่มจากของของเรามากกว่า ดูอย่างญี่ปุ่นทุกวันนี้ที่เค้าเจริญได้เพราะเค้าคลั่งชาติ คลั่งชาติมันแยกได้ว่า คลั่งชาติไปในทางที่ดีหรือไม่ดี แต่ถามว่าเราคลั่งชาติแบบมีอารยะ ถามว่าไม่ดีหรือคะ"

"คำพูดที่บอกว่า รถติด หรือทำให้การเมืองวุ่นวาย จริงๆ ไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นคำพูดที่ต้องการให้เกิดปัญหามากกว่า มนุษย์ต้องมีสิทธิแสดงความคิดเห็น ประชาชนที่มีความเป็นประชาธิปไตยต้องมีสิทธิแสดงความคิดเห็น ต้องมีสิทธิแสดงออก เราชุมนุมโดยสงบ เป็นการชุมนุมโดยอารยะ แกนนำบอกว่าจะไม่เข้าไปเหยียบแม้แต่ต้นหญ้าของทำเนียบฯ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เราจะมีวินัย และผู้ชุมนุมก็ยึดหลักนั้นมาตลอด หนูไม่เห็นด้วยกับคำพูดพวกนี้ เราเชื่อว่าหลายๆ คน และไม่จำเป็นจะต้องเรียนสูง ทุกคนมีวิจารณญาณพอว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควร อะไรที่ไม่ควร อะไรที่ถูกต้องไม่ถูกต้อง คนที่มาไม่ใช่คนขี้เมา โอเคอาจจะไม่สามารถวัดได้ว่ามีการศึกษาหรือเป็นเจ้าของกิจการ แต่ดูสีหน้าที่มุ่งมั่น หรือที่แกนนำพยายามให้ความรู้ดีกว่า นั่นคือความจริงที่เวทีนี้มีนะคะ"

ยัน ไม่ได้มาเพื่อสร้างภาพ บอกรู้ตัวดีว่าภาพลักษณ์ในอดีตไม่สวยงามเพราะมีเรื่องคลิปภาพแนวเซ็กซี่หลุดแพร่กระจายตามอินเตอร์เน็ตจนกลายเป็นตราบาปติดตัว เจ้าตัวเชื่อ การต้องมาเป็นอาสาสมัครที่หน่วยพยาบาล อาจจะเป็นการทำความดีเพื่อชดใช้ที่ในอดีตเคยเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็เป็นได้

"อยากจะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย หนูอยู่เต้นท์พยาบาล ช่วยงานเบื้องหลัง ส่วนเวทีอยู่โน่นไม่เคยไปเฉียดใกล้เวทีเลย แล้วการอยู่เต้นท์พยาบาลหนูก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไปเดินแจกยาหนูก็ไม่รู้ว่าประชาชนที่มาเป็นใครบ้าง อย่างเมื่อกี้มีราชนิกุลมาซื้อเข็มกลัดไป 10 อัน พี่ๆ เค้าก็มาสะกิดบอกว่า เธอรู้รึเปล่าว่าคนนั้นเป็นถึงราชนิกุลเลยนะ เค้าเห็นเธอร้องเพลงบนเวทีเค้าเลยอยากช่วย หนูก็เหรอ...หนูไม่รู้ คือมันเป็นเรื่องยากนะถ้าจะมาทำๆ เพื่อให้ทุกคนเห็น มันอยู่คนละส่วน ตัวหนูเองก็มานั่งฟังแกนนำฯตั้งแต่เวทีมัฆวานฯครั้งแรก กระทั่งอาสามาช่วยแจกยาเพราะคนขาด ฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมาหวังผลประโยชน์ตรงนี้"

"ไม่ได้คิดว่าหนูจะต้องมาเปิดตัวหรือขึ้นไปยืนบนเวที คิดแค่ว่าหนูต้องมาเป็นส่วนหนึ่งต้องมาช่วย อะไรก็ได้ที่เราทำได้เราก็จะช่วยให้เยอะที่สุด จุดมุ่งหมายคือไม่ได้มาเพื่อขึ้นเวทีหรือประกาศว่าฉันมานะ มันไม่ใช่ค่ะ จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่าสิทธิความเป็นมนุษย์ มันย่อมมีความเป็นอิสระทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ จริงๆ เราแคร์คนอื่นมากจนลืมแคร์ความต้องการของตัวเอง และในตอนนี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศชาติของเรา ใครรักชาติก็จงออกมา มันเกิดจากความรู้สึกเสียใจที่คนคนนึงจะขายชาติ คนคนนึงจะทำร้ายในหลวง พูดถึงเราก็อยากจะร้องไห้ เพราะเราก็ไม่มีอำนาจพอ หรือมีพาวเวอร์พอที่จะช่วยได้ สิ่งที่ช่วยได้คือการออกมารวมตัวกันเป็นอารยะ ว่าเราไม่เห็นด้วยมันเป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์เราได้"

"หนูบอกเลยว่าหนูประวัติไม่ดี เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดพลาดในชีวิต หนูรู้ตัวว่าตัวเองประวัติไม่ดีมาก วันแรกที่มาเหยียบที่นี่หนูไม่ได้ทำตัวเป็นดารา มาฟังปราศรัยกับคนอื่นๆ ตอนเดินแจกยาก็ไม่ได้ไปอะไรกับใคร แล้ววันนึงมีพี่ที่เอเอสทีวีมาขอยา เพราะไม่สบาย เค้าก็เอ๊ะ..คุ้นๆ หน้าเรานะ แต่ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้บอกอะไร แต่คิดว่าคงพูดกันปากต่อปากมั้งคะ หลังจากนั้นพี่เค้าก็มาดึงหนูไปขึ้นเวที แต่หนูก็บอกไปว่าไม่ดีกว่า เพราะหนูมีปัญหาเรื่องคลิปไม่อยากให้พันธมิตรมัวหมอง เพราะหนูก็รู้ว่าตัวเองระดับไหน แต่แค่อยากช่วยเท่าที่หนูจะช่วยได้ดีกว่า แต่หลังๆ มันไปของมันเองเพราะตอนแรกยาบางตัวขาด พี่ๆ เค้าก็เลยให้หนูไปขอรับบริจาคบนเวทีให้หน่อย ไหนๆ ก็ช่วยแล้วก็เลยโอเคๆ"

"หลายๆ คนมองว่าการที่หนูออกมาครั้งนี้เพราะต้องการสร้างกระแส หรือสร้างภาพให้ตัวเองหรือเปล่า เพราะตัวเองก็มีภาพที่เซ็กซี่มาตลอดเลย จริงๆ มันเป็นรูปแบบงาน เป็นเรื่องการทำงานมากกว่า เป็นช่วงเวลานึงที่เราสามารถทำได้ และเราก็เลือกที่จะเป็น แต่ถ้าเรามีทางเลือกที่ดีกว่าบอกได้เลยว่าไม่อยากเป็น แต่ถ้ามีโอกาสมา ณ ตรงนี้ เค้าบอกว่าเราต้องเป็นแบบนี้ๆ เราก็ไม่อยากทิ้ง แต่ถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่าก็อาจจะไม่ทำ คือต่อจากนี้ก็จะไม่ถ่ายบิกินี จะไม่ถ่ายชุดว่ายน้ำแล้ว คือถ่ายเซ็กซี่ได้ แต่ไม่บิกินี ไม่ชุดว่ายน้ำ หนูเต็มที่กับมันไปแล้ว เราได้ลองทำและก็รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง ก็คือพอ (สีหน้าจริงจัง)"

"ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่หนูได้ไปแจ้งความที่ สน.มีนบุรี และกระจายข่าวในอินเตอร์เน็ต เพื่อขอให้ใครที่มีคลิปหรือภาพที่มาจากคลิปนั้น ช่วยเอาออกหรือลบทิ้งให้หน่อย ที่ผ่านมาหนูได้รับผลกระทบที่แย่ๆ มากพอแล้ว หนูอยากให้เรื่องนี้จบสักที คิดซะว่าหนูได้ชดใช้กรรมในสิ่งที่หนูผิดพลาดแล้ว หนูไม่อยากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีอีกต่อไปแล้ว การมาเป็นอาสาสมัครที่นี่ หนูก็ไม่ได้คิดว่ามันช่วยลบภาพที่ผ่านมาของหนูได้ เพราะคนเรามักจะจำอะไรที่เป็นภาพแรก และเป็นเรื่องเป็นราว ตัวหนูก็ไม่ได้หวังว่าใครจะมาเข้าใจ"

เข็มกลัดกู้ชาติอันละ 100 บาท ที่เจ้าตัวใช้เงินส่วนตัวสั่งทำขึ้นมาขายเพื่อหาเงินมาซื้อจานเอเอสทีวีบริจาค


"มีคำนึงที่หนูได้ยินคุณลุงจำลองพูดบนเวที คือเรามาทำหน้าที่ มาใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ ตอนนั้นหนูก็ยังไม่เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งนักหรอก จนหนูมาแจกยาก็ได้เห็นคนที่เค้าเจ็บคนที่เค้าป่วย ก็เกิดคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราต้องมาเหนื่อยตรงนี้ แต่แล้วเราก็ยังมา พอตื่นนอนเฮ้ย...วันนี้เราจะไปไหน ไปชุมนุมไปแจกยาพี่ๆ เค้าขาดคน เป็นชีวิตประจำวันไปเลย คือปกติอยู่บ้านก็ดูเอเอสทีวีอยู่แล้ว แต่มันเหมือนมีสิ่งจูงใจให้เราได้มา ทำให้เกิดความคิดว่า สงสัยหนูคงต้องมาใช้หนี้อะไรสักอย่างแน่เลย เรื่องคลิปทำให้หนูไม่กล้าขึ้นเวทีตั้งแต่แรก เพราะไม่อยากทำให้เวทีต้องเสื่อมเสียไปด้วย มันก็เกิดความคิดที่ว่า นี่ล่ะมั้งที่หนูต้องมาใช้หนี้ที่ตัวเองเคยเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมาก่อน"

"ส่วนผลกระทบตอนนี้ยังไม่มีอะไร แต่หนูเชื่อว่าการออกมาปกป้องประเทศชาติไม่ใช่สิ่งที่ผิด หนูเชื่อว่าคนในวงการทั้งหมดนะ อาจจะเห็นด้วยกับหนู เห็นด้วยกับพันธมิตร แต่เค้าอาจจะไม่มีความพร้อมที่จะมาตรงนี้ บางทีอาจจะมาแต่แค่เราไม่เห็นเขา สื่ออาจจะไม่เห็น แต่หนูเห็นเยอะนะ ดาราที่มาที่นี่ ต้องเข้าใจเพราะมันเป็นระบบทุนนิยม ซึ่งมีอำนาจแฝงอยู่ ก็ไม่ได้โทษอะไรใคร แต่หนูเชื่อว่าคนในวงการบันเทิงมีสติปัญญาพอ มีวุฒิภาวะพอที่จะแยกแยะได้ ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ"

"ตอนนี้หนูกำลังเปลี่ยนความคิดให้เป็นนายตัวเองอยู่ คือการรับจ้างก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ ณ จุดนึงเราก็ควรเป็นนายตัวเองมากกว่า ณ ตอนนี้เราก็ยังอยู่ในอาชีพดารานักแสดง ก็ต้องรอให้ผู้ใหญ่ให้โอกาสอยู่ หนูเชื่อว่าทำดีมันต้องได้ดี หนูเชื่ออย่างนั้น แต่ทีนี้หนูว่านะ ถึงแม้ว่าหนูจะมาหรือไม่มา เวลาเราทำอะไรก็แล้วแต่มันก็จะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเราอยู่แล้ว แต่เมื่อเราเลือกที่จะออกมาเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องประเทศชาติ ก็อย่าหวังผลเลยดีกว่า รอให้ผลมันออกมาจากการกระทำเองดีกว่า"

ควักกระเป๋าทำเข็มกลัดกู้ชาติ แถมยังออกแบบด้วยตัวเอง เพื่อนำมาขายเอาเงินมาซื้อจานเอเอสทีวีแจกจ่ายให้กับชุมชนที่ขาดแคลน จะได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึง
"เงินที่ได้จากการขายเข็มกลัดเราจะนำไปซื้อจานดาวเทียม แต่จะไม่มีการนำเงินไปถวาย แล้วนำไปมอบให้กับท่านจันทร์ (ผู้บริหารมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ในเครือของสันติอโศก) เพื่อให้ท่านจันทร์ช่วยสกรีนคนที่จะมีสิทธิ์ได้รับจานดาวเทียม อยากให้ติดในชุมชนประชนชนจะได้รับข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุด เรามีหน้าที่หาเงินให้ได้มากที่สุด ชุดแรกเราสั่งทำหนึ่งพันห้าร้อยอัน ตอนนี้ขายไปได้แล้วประมาณหนึ่งแสนต้นๆ ดีใจมากๆ"

"ต้นทุนหนูออกเอง เพราะมันเป็นความตั้งใจของหนู ออกแบบเข็มกลัดเอง พอคิดว่าจะทำก็ไปสั่งร้านทำไว้แล้วถึงเอามาบอกกับพี่ๆ ที่พันธมิตรว่าหนูจะทำนะ ก็ไปเรียนท่านจันทร์แล้วก็ไปขออนุญาตคุณสนธิว่าจะขอเอาเข็มกลัดมาขายเพื่อเอาเงินมาทำตรงนี้นะคะ หนูจะเอาแค่ทุนคืนเพื่อจะเอาไปสั่งทำเข็มกลัดมาเพิ่มถ้ายังขายได้อยู่ เพราะหนูอยากมีเงินไปซื้อจานฯให้ได้มากที่สุด แต่ก็รู้ว่าขายอันละหนึ่งร้อยบาทค่อนข้างแพง แต่เราจำเป็นต้องขายราคานี้เพราะจานฯราคาสูง ก็มีคนบอกเหมือนกันว่าแพงจัง หนูก็ต้องอธิบายจุดประสงค์ไป แต่ทุกคนน่ารักมากพอเข้าใจก็ช่วยซื้อ บางคนซื้ออันเดียวแต่ให้ห้าร้อย บางคนเหมาไป 20 อัน ซึ่งพี่ๆ ที่เต้นท์พยาบาลก็ช่วยเหลือดีมาก มาช่วยขายช่วยทำป้ายโฆษณามาให้ ใครมีไอเดียอะไรก็ช่วยๆ กัน"

"เท่าที่พูดคุยทุกคนช่วยซื้อเพราะความศรัทธา และอยากให้จานฯเอเอสทีวีกระจายไปได้เยอะๆ อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ไม่ต้องถูกปิดหูปิดตา มีป้าคนนึงบอกกับหนูว่าป้าไม่ได้อยากได้เข็มกลัดหรอกนะ แต่อยากให้หนูได้จานฯเยอะๆ เราฟังแล้วก็รู้สึกดีใจมาก ต่างคนต่างอยากจะช่วยกัน ลุงป้าน้าอาช่วยกันซื้อ ส่วนพี่ๆ ที่พันธมิตรก็มาช่วยกันขาย มันเป็นแรงหนุนซึ่งกันและกัน เห็นแล้วชื่นใจค่ะ ถึงแม้เราจะเหนื่อยที่ต้องพูด ต้องอธิบายว่าจะเอาไปทำอะไร เป้าหมายคืออะไร แต่พอเค้าควักเงินซื้อมันก็คือการทำบุญ ชุดแรกหนูคิดว่าน่าจะได้ 30 จานฯขึ้นนะ เราอยากแจกจ่ายไปทั่วประเทศเลย"

เผยเกิดความศรัทธาถึงขั้นอยากร่วมงานกับเอเอสทีวี โดยไม่สนใจเรื่องเงินค่าตอบแทน...
"หนูได้รู้จักกับพี่คนนึงที่นี่ (ชุมนุมพันธมิตร) ตอนมาช่วยงานที่เต้นท์พยาบาล แต่ตอนแรกที่คุยกันพี่เค้าก็ไม่รู้ว่าหนูเป็นดารา หนูก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าทำงานที่เอเอสทีวี พอเจอหน้ากันบ่อยๆ ได้พูดคุยกันก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น หมายถึงคนอื่นๆ ด้วยนะคะ แล้วพี่คนนี้เค้าก็ถามว่าอยากทำงานที่เอเอสทีวีมั้ย ส่วนตัวหนูก็ชอบงานพิธีกรอยู่แล้ว เราไม่อยากทิ้งโอกาส ก็เลยส่งโพรไฟลไปให้พี่เค้า มารู้ว่าใครเป็นใครตอนหลังนี้เอง เพราะพี่ๆ ที่เป็นอาสาสมัครต่างก็มีงานประจำ และมาจากหลากหลายอาชีพ แต่ทุกคนมาช่วยด้วยใจ คือถ้าไม่ได้พูดคุยกันจริงๆ เราก็จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร"

"พอถึงจุดๆ นึงเราอยากทำงานที่มีคุณภาพมากกว่าเรื่องเงิน อีกอย่าง หนูเป็นนักแสดงอิสระมันไม่มีความมั่นคง แต่ถ้ามาอยู่ตรงนี้ก็จะมีผู้ใหญ่คอยเช็คความประพฤติ (หัวเราะ) คอยสกรีนงานก็น่าจะดีกว่า แล้วยังได้ทำงานที่ถูกต้อง แล้วเป็นงานที่ได้ช่วยเหลือบ้านเมืองด้วย ตรงนี้มันมีค่ามากกว่าเงินค่ะ หนูเคยอ่านบทความนึงที่บอกว่า อย่าให้อัตรามาบดบังความสามารถของตัวเอง หนูไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดารา แต่หนูทำงานแลกเงิน ใช้ความสามารถที่มีอยู่ทำงาน ส่วนผลตอบรับจะเป็นยังไง ก็ให้ว่าไปตามความสามารถที่หนูมี"

"ส่วนหนึ่งคือรู้สึกศรัทธาองค์กรนี้ เพราะบอกเลยว่าหนูดูข่าวสารทั้งจากฟรีทีวีและเอเอสทีวี เพื่ออยากรู้ว่าใครโกหก เราจำเป็นต้องดูหลายๆ สื่อเพื่อตัดสินใจ แต่สุดท้ายก็ดูเอเอสทีวีอยู่นั่นแหละ เราได้รู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้จากการนำเสนอข่าวของที่นี่ และเป็นเรื่องจริงที่เปิดหูเปิดตาประชาชน ยิ่งทำให้เราเกิดความเชื่อแล้วก็ศรัทธา ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่ง คือเรื่องเงินหนูก็รู้ว่าเงินเดือนออกไม่ตรง แล้วคุณสนธิก็ยังประกาศบนเวทีว่าเป็นหนี้เป็นสิน แต่มันไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ (ยิ้ม)"

พร้อมกับให้กำลังใจผู้ชุมนุมทุกคนว่าจงสู้ต่อไป จงศรัทธาในความดีแล้วปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเอง
"หนูจะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต หรือในประวัติศาสตร์ ที่กลายมาเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังได้ระลึกถึง และยึดเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ล้วนเกิดจากศรัทธาทั้งสิ้น เมื่อเรามีศรัทธาแล้วมันจะมีปาฏิหาริย์ตามมาเอง ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าทำดีแล้วได้ดีเป็นเรื่องจริงที่สุด แต่หลายคนจะบอกว่าทำดีมันทำยากนะ หนูอยากจะบอกว่ามันยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้นะคะ"

"ได้มาที่นี่หนูมีความสุขมาก เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ ได้เห็นคนที่เค้าอยากให้ประเทศชาติดีขึ้น ช่วยกันทุกวิถีทาง บางคนบริจาคเงิน บางคนช่วยเก็บขยะ ช่วยกันแจกข้าว เวลารับของก็ต่อคิวเป็นระเบียบ เวลาเราขอว่าอย่าไปทะเลาะกับเค้าอย่าใช้ความรุนแรง ทุกคนก็ทำตาม อย่างที่หน่วยพยาบาลยาหมด เราก็ช่วยกันหาเงินมาซื้อยาหรือไม่ก็ขอรับบริจาค ก็จะมีคนช่วยเหลือเราทันที หนูคิดนะว่าคงเป็นอย่างที่คุณสนธิบอก ว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็คิดดูสิว่าทุกคนที่มาอยู่กันคนละจังหวัด ต่างอาชีพต่างเพศต่างวัย บางคนไม่เคยเห็นหน้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เรามาอยู่ที่นี่ มากันด้วยใจเพื่อทำความดีมาทำบุญเพื่อประเทศชาติ"

"คนที่ยังคิดว่าการชุมนุมทำให้รถติด ก่อความเดือดร้อน ทำให้เศรษฐกิจแย่ ทำให้ภาพรวมประเทศดูไม่สวยงาม หนูจะบอกว่าก่อนหน้านี้เศรษฐกิจมันก็แย่อยู่แล้ว รถก็ติดอยู่แล้วเป็นปกติ ไม่รู้สิการรบมันเป็นธรรมดาที่ต้องมีการสูญเสีย ถ้าไม่มีเวทีนี้หลายๆ เรื่องเราก็จะไม่มีทางได้รู้ อย่างเรื่องเขาพระวิหารที่เราสูญเสียดินแดน อย่างเรื่องนายกฯไปรับจ้างเป็นพิธีกร เราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันทำไม่ได้ เรื่องที่รัฐใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เราก็ได้รู้จากเวทีนี้ มันเป็นเวทีแห่งความจริง"

"จริงๆ หนูก็ไม่ได้เข้าข้างพันธมิตร และไม่ได้เข้าข้างอีกฝ่ายนึง แต่อะไรที่มันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ อะไรที่มันเป็นผลดีต่อประเทศชาติเราควรจะช่วยกันทำก่อน ที่ผ่านมาคนอาจจะบอกว่าแบ่งพรรคแบ่งพวก มันเป็นเรื่องของคนสองคนทะเลาะกัน ในอดีตแกนนำคนนั้นคนนี้มีปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้ แต่หนูอยากจะบอกว่าอยู่กับปัจจุบันดีกว่า อะไรที่ทำแล้วเกิดผลดีกับประเทศชาติ อะไรที่ทำแล้วเกิดผลดีกับประชาชนนั่นก็คือตัวเรา อยู่ฝ่ายนั้นค่ะ เพราะพวกเราประชาชนนี่แหละจะได้ประโยชน์"

"ส่วนจุดจบจะเป็นยังไง อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับอำนาจศาล ณ วันนี้คงต้องวิงวอนให้ระบบศาลระบบความถูกต้องในบ้านเมืองเป็นคนตัดสิน อย่างประชาชนเรารู้ว่าอันไหนคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เราไม่มีอำนาจอะไรไปตัดสินได้ สิ่งที่จะลบล้างความชั่วหรือความไม่ดีได้ก็คือความดี ฉะนั้นคงต้องพึ่งอำนาจศาลตัดสิน เพื่อแสดงให้ประชาชนได้รู้ว่าอะไรคือความไม่ถูกต้อง เพราะบางทีฟังจากที่เราพูดเค้าอาจจะไม่เชื่อก็ได้ จะหาว่าเราไปยุอีก แต่หนูเชื่อว่าถ้าเป็นคำตัดสินของศาล คงไม่มีใครปฏิเสธคำตัดสินของศาลค่ะ"

ถึงจะเหน็ดเหนื่อยแต่เจ้าตัวบอกสู้ตาย!!
กำลังโหลดความคิดเห็น