"ตั้ว ศรัณยู" เดือด! จวก "ศรราม" บนเวทีพันธมิตร ถ้าไม่รู้ความจริงอย่าเ_ ือกพูดออกมา สัจจะลูกผู้ชาย หากการขึ้นเวทีพันธมิตรทำให้ในหลวงบรรทมไม่หลับ ให้เอาตนไปตัดหัวได้เลย สวนกลับ มาในฐานะพลเมืองไทยที่เทิดทูนคุณแผ่นดิน ไม่เคยใช้ความเป็นดาราหากิน เจ้าตัวย้ำ เคารพในความคิดต่าง เพียงแต่ผิดหวังที่พระเอกรุ่นน้องโยนบาปให้คนอื่น โดยที่ไม่รู้ความจริง
ทำเอา "ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง" ถึงกับควันออกหูทันทีที่ได้ยิน "หนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์" พระเอกรุ่นน้อง ให้สัมภาษณ์โจมตีดาราที่ขึ้นเวทีพันธมิตร ว่าคงคิดต่างจากตน และคงอยากทำให้ในหลวงบรรทมไม่หลับ เจ้าตัวสวนกลับทันควัน หากรู้ไม่จริงอย่าพูดซะดีกว่า บอก เคารพในการตัดสินใจและความจำเป็นของคนอื่นมาโดยตลอด เพียงแต่ครั้งนี้ทนไม่ไหวที่พระเอกรุ่นน้องทำตัวโยนบาปให้คนอื่น แต่ยังใจกว้าง ออกปากวอนผู้ชุมนุมหยุดซ้ำเติม บอกใครทำอะไรสังคมจะเป็นคนพิพากษาเอง
“ความรู้สึกจริงๆ คือผิดหวัง มันมีความรู้สึกที่แยกแยะในรายละเอียดได้หลายๆ ความรู้สึกนะครับ แต่ถ้าจับมารวมๆ กันมันก็คงใช้คำว่าผิดหวังน่าจะครอบคลุมทุกอย่าง เพราะว่ามันหลายแง่มุม ในแง่มุมที่คิดอย่างนั้นคือ ถ้าคนที่เป็นคนในสังคม คนที่จะไม่เห็นด้วยแล้วก็โจมตีกันอย่างรุนแรงเนี่ย มันมักจะเป็นซีกของผู้มีส่วนได้เสียทางการเมือง ถึงจะทำได้ขนาดนี้ แต่ในฐานะน้องที่อยู่ในวงการบันเทิง จะแสดงความรู้สึกที่ไม่เห็นด้วย แล้วก็จากความรู้สึกตรงข้ามอย่างรุนแรง โดยล่วงล้ำไปถึงขนาดใช้ค่าว่า สิ่งที่ดาราในความหมายของเขาพูดนั้นทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนอนไม่หลับ คือคนเรามันคิดต่างกันได้ แต่ความคิดต่างกัน เมื่อเราไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ แค่นั้นก็น่าจะเข้าใจนะครับ”
“อย่างที่ผมมาที่นี่ หลายๆ คนบอกว่าน่าจะชวนนักแสดงดาราคนโน้นคนนี้มา ผมก็บอกกับทุกคนว่าของอย่างนี้มันชวนกันไม่ได้ มันต้องเป็นความศรัทธา ไม่เคยชวนใคร แล้วก็เวลามีการสัมภาษณ์ จะเห็นว่าหลายๆ ที่ก็เรียกร้องทำไมดารานักแสดงไม่มากันบ้าง ผมไม่เคยพูดอย่างนั้นเลย ผมพูดด้วยความเข้าใจตลอดว่า อาชีพนักแสดง แต่ละคนอยู่ในเงื่อนไขที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นผมเคารพ แล้วก็เข้าใจในความรู้สึก และเหตุผลการตัดสินใจของแต่ละคน ทุกคนมีปัจจัยที่ต่างกัน และผมไม่เคยละเมิดล่วงเกิน ฉะนั้นพอเป็นหนุ่ม ซึ่งเป็นคนในวงการบันเทิง พูดด้วยความรู้สึกนี้ด้วย แล้วยิ่งเห็นในคลิปด้วยหน้าตาอย่างนี้ มันก็เลยผิดหวัง”
“คือถ้าหนุ่มบอกว่าไม่เห็นด้วยแล้วไม่มาก็ไม่มีใครว่า สามารถทำอย่างนั้นได้ เหมือนที่ผมมาผมก็ไม่ได้ว่าคนที่ไม่มา มันก็น่าจะจบได้แค่นั้น แต่นี่พอใส่อารมณ์ขนาดนั้น มุ่งไปที่คำว่าดาราก็เลยรู้สึกว่าทำไมมองกันอย่างนี้ ซึ่งเหมือนกับที่ผมพูดบนเวที ว่าที่ผมมานี้ไม่ได้ใช้ความเป็นดารานี้เลย แล้วผมก็ไม่เคย คือถ้าจะพูดเหมือนที่นักการเมืองพูดกัน ที่หนุ่มพูดว่าหนุ่มทำงานให้ในหลวง หลายๆ คนที่นี่ก็ทำอย่างนี้ โดยไม่เอาตรงนั้นมาเป็นข้ออ้างอะไรทั้งสิ้น ฉะนั้นมันก็คือความผิดหวังว่าทำไมพูดอย่างนี้”
“ก็พยายามคุมความรู้สึกตัวเองว่าไม่อยากให้เลยเถิดไปกว่านี้ เพราะว่าเป็นน้องเป็นนุ่งในวงการบันเทิงเหมือนกัน คือถ้าสื่อสารตรงนี้ไปถึงหนุ่มก็จะบอกว่า ให้หนุ่มเข้าใจเสียใหม่ เราคิดต่างกันได้แต่ว่ามันไม่น่าจะซัดทอดกันขนาดนี้ ในมุมผมคิดว่าข้อมูลที่หนุ่มได้รับมาอาจจะไม่เพียงพอ อาจจะมีข้อมูลไม่ชัดเจนนะครับ เข้าใจอะไรไปเอง คือถ้าจะชี้ในแง่เป็นพี่เป็นน้องก็คือ หนุ่มไม่ต้องเชื่อพี่ ไม่ต้องเห็นดีด้วยก็ได้ ลองเปิดตัวเองหาข้อมูลเยอะๆ เมื่อได้ข้อมูลเยอะๆ แล้วตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่ เมื่อตัดสินใจแล้วก็เป็นสิทธิ์ เป็นปัจเจกที่หนุ่มจะคิดยังไงก็ได้ แต่ว่าซัดทอดอย่างนี้ไม่ดี ถ้าหนุ่มพูดทั้งมวลผมยังจะไม่รู้สึก คือการไม่เห็นด้วยแล้วมองภาพรวม แต่นี่มุ่งไปที่ดารา รู้สึกว่าหนุ่มคิดยังไงกับอาชีพดาราที่หนุ่มเลือก ผมผิดหวังตรงนี้มากกว่า”
“มันมีอารมณ์เพราะอย่างที่บอกว่ามันรู้สึกจริงๆ และก็พยายามคุมตัวเองไม่ให้โกรธ แต่ว่ามันยากที่จะอธิบายแล้ว คือไม่รู้สิ ก็อยากให้เข้าใจ หลังจากนี้ผมก็ไม่เอามาเป็นสาระมาเป็นความสำคัญ ก็ไม่ให้ค่าตรงนี้ ก็ผ่านไปก็เท่านั้นเอง สังคมก็ตัดสินกันไป คือบทสุดท้ายในการต่อสู้ทางความคิดมันจะมีแพ้หรือชนะ ในซีกที่ผมเห็นดีด้วยอาจจะแพ้หรือชนะก็แล้วแต่ แต่ผมอยากให้เข้าใจว่า การที่ความคิดเห็นต่างกัน ความจริงสังคมจะเดินหน้าได้เมื่อมันมีคำตอบว่าจะไปทางไหน มันไปทางไหนเราก็เคารพตรงนั้น เพียงแต่วันที่มันมีความเห็นต่าง แล้วก็เอาความเห็นกับความรู้สึกมาตีแผ่ มันไม่ควรล่วงเกินกัน คือไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร แค่นั้นเอง แล้วก็รอดูว่าสุดท้ายเป็นยังไง”
“ผมแค่อยากจะบอกว่าการแสดงความคิดอย่างนี้ แล้วมุ่งมาที่อาชีพดารา ผมว่าไม่ถูก ที่สำคัญคืออย่าคิดว่าผมมาที่นี่เพราะผมเป็นดารา ไม่ใช่นะ โปรดเข้าใจซะใหม่ ผมอยู่กับคนมาตั้งเท่าไหร่กว่าจะขึ้นมาบนเวทีนี้ มันคือมวลชนที่คิดเห็นตรงกันเท่านั้นเอง เมื่อใครคิดต่างก็อยู่ในมุมคิดต่าง แต่ผมก็อยู่กับคนที่คิดเหมือนกันเท่านั้นก็จบ แล้วรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าคุณเลือกอยู่เงียบก็ได้ แต่ผมไม่ขออยู่เงียบ ขอแสดงความรู้สึกร่วมกับคนอื่นด้วย ก็คอยดูบั้นปลายว่าจะไปทางไหนแค่นั้นจบ”
“ยังไงก็ยังอยู่ในวงการเดียวกัน เจอกันผมก็ทำงานได้ ก็รู้ว่าหนุ่มคิดอย่างนี้ ผมคิดอย่างนี้ ก็แยกกันไว้ ผมทำงานหลายๆ คนก็คิดต่าง ผมก็แยกออกไปก่อน แค่นั้นเอง แต่วันนี้ส่วนหนึ่งคือบรรยากาศความรู้สึกที่ทุกคนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ รู้สึกว่าผมควรพูดแทนสักนิด อย่างน้อยแสดงให้เห็นว่า การที่คุณพูดอย่างนี้ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึก เฮ้ยแย่แล้วหรืออะไร แต่แค่รู้สึกผิดหวังในความคิดของน้องชายครับ”
“อย่างกับจอยก็เหมือนกัน ผมรู้เรื่องนี้จากจอย จอยมาถึงก่อนแล้ว พอผมรู้ผมก็ปรี๊ดขึ้นมา ซึ่งจอยก็คงจะคิดแนวๆ เดียวกัน เพราะพอผมพูดมาทุกคนที่ฟังผมพูดก็รู้สึก ก็พอแล้วล่ะ อันนี้วิงวอนเลยว่าอย่าไปซ้ำเติมเขามากกว่านี้เลย วันนี้เหมือนเป็นวันทันทีทันใดที่ได้ยินข้อความนี้ ช่วยไม่ได้ที่จะมีปฏิกิริยาออกมาทันทีทันควัน แต่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป (เหตุการณ์ที่ เสก โลโซ โดนแฟนเพลงปาแก้วน้ำก็เพราะพูดโจมตี?) นั่นคือปฏิกิริยาที่เขาต้องยอมรับเพราะนั่นเป็นปฏิกิริยาทางสังคม จะเรียนรู้เองว่าเพราะอะไร ผมจะไปตอบแทนไม่ได้ เดี๋ยวสังคมมันจะบอกเองว่าอะไรเป็นยังไง เดี๋ยวเสกก็จะเรียนรู้เองว่าในสถานที่แบบนั้น เขาจะพูดอย่างนี้ไม่ได้ ทุกอย่างมันจะเดินหน้าไปด้วยกระบวนการจัดการของผู้คนในสังคมตามปกติเองครับ”
บอกเข้าใจศิลปิน-ดาราทุกคนเป็นอย่างดี ว่าต้องเคารพกฎปฏิบัติของต้นสังกัด เพื่อรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองไม่ให้เกิดความเสียหาย พร้อมชี้ จงมั่นใจในสิ่งที่เชื่อแล้วทำให้เต็มที่ เผยหากแม้อนาคตจะโดนคุกคาม ก็จะไม่เสียใจที่ออกมาสู้กับกลุ่มพันธมิตร
“ตรงนี้ผมจะบอกว่าอาชีพที่มันทำงานสนองตอบต่อนายทุน มันก็จะมีระดับความรับผิดชอบระดับเงื่อนไขที่ผูกพันกับนายทุนต่างกัน ผมเป็นนักแสดงอิสระ ผมสร้าง ผลิตละคร ภาพยนตร์ ผมไม่มีความเสี่ยงที่ทำงานกับนายทุน แต่ผมไม่มีความผูกพันในลักษณะที่นายทุนมาสั่งมาบีบได้ ผมก็ทำในสิ่งที่ผมต้องการได้ แต่ว่าบางคนอยู่ในเงื่อนไขที่ต่างกัน สิ่งที่เขาต้องยอมรับเมื่อคุณอยู่ในเงื่อนไขที่ต่างกันก็เลือกไง ผมบอกตลอดว่าไม่ผิดเลย ผมจะเอามาตรฐานผมให้ทุกคนต้องเดินออกมา ไม่ได้ เพราะเงื่อนไขแต่ละคนต่างกัน”
“คือผมคิดง่ายๆ ว่า ผมจะชั่งน้ำหนักว่าอะไรสำคัญที่สุด ผมทำในสิ่งที่ผมจัดลำดับความสำคัญ อะไรสำคัญที่สุด มีค่าที่สุด ผมจะเลือกทำอย่างนั้น นี่คือกว้างๆ เพราะจริงๆ แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่ต้องอยู่ในเงื่อนไข ถ้าผมต้องทำงานในเงื่อนไขที่ผมรู้สึกว่ามันเอาชีวิตผมมากเกินไป ผมจะไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด หลังจากนี้ในทุกการตัดสินใจของผม ผมก็จะดูว่าอะไรสำคัญ อะไรมีผลกระทบต่ออะไรมากกว่ากัน และอะไรสำคัญเป็นอันดับหนึ่งก็ต้องทำสิ่งนั้นเป็นสิ่งแรก โดยที่การทำงานกับนายทุนมันต้องมีความรับผิดชอบในระดับหนึ่งที่เราไม่ทำให้เขาเสียหายอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะเอาตัวเองไปผูกมัดกับนายทุน ผมเลือกได้ว่าผมจะเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องผูกมัดแค่ไหน เพื่อที่มันจะได้ไม่เสียความรับผิดชอบต่อการผูกมัดกับนายทุน เพราะฉะนั้นเมื่อผมมาเวทีนี้ ตำแหน่งตัวเองชัดเจน ผมทำงานบนถนนสายนี้ด้วยวิธีการนี้ ผมจึงไม่ค่อยมีปัญหาเวลาที่ต้องตัดสินใจอย่างนี้”
“ไม่มีใครบอกเขาได้ เจ้าตัวจะรู้เองว่าจุดยืนตัวเองอยู่ตรงไหน และทำอะไรได้แค่ไหน ให้มั่นใจในสิ่งที่เชื่อว่าเราทำได้ แล้วทำแค่นั้นพอ ผมไม่เห็นด้วยกับการลุกขึ้นมาทำอะไรแล้วเกิดผลกระทบกันในวงกว้าง เพราะคนอื่นไปทดแทนไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเขาต้องผูกพันกับอะไรบ้าง มีอะไรที่ต้องรับผิดชอบบ้าง คนที่รู้ดีคือเจ้าตัว ฉะนั้นคิดให้ดีว่าทำได้แค่ไหนแล้วทำให้เต็มที่ ผมเชื่อว่าสังคมเข้าใจ ส่วนผลกระทบกับตัวเองที่ผ่านๆ มา ผมไม่ค่อยรู้ครับ อย่างที่บอก ผมไม่เอาตัวไปอยู่ในเงื่อนไขใดๆ เพราะฉะนั้นถึงมีพี่ก็ไม่รู้ กับคนที่เป็นห่วงขอขอบคุณมาก ผมก็ไม่อยากให้มีผลกระทบ แต่ตอนนี้ยังไม่มีแต่ก็อาจจะมีอ้อมๆ แต่ยังไม่รู้ตัว แต่ถึงจะเกิดอะไรขึ้นกับผม ก็สาบานจะไม่เสียใจ (ยิ้ม)”
อยากให้พลเมืองไทยที่เชื่อมั่นในการทำสิ่งที่ถูกต้องจงเข้มแข็ง ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร จงร่วมกันต่อสู้ต่อไปเพื่อก่อให้เกิดสิ่งดีๆ กับแผ่นดินไทยในภายภาคหน้า
“ผมให้กำลังใจทุกวันนะครับ มันไม่มีการต่อสู้อะไรที่จะได้ชัยชนะมาง่ายๆ นอกจากเส้นทางการต่อสู้ที่ยาวนานมันวัดพลังใจ วัดความศรัทธาว่าเรามีความจริงใจแค่ไหน ว่าเรามีความเชื่อมั่นแค่ไหน ถ้าเรามีความศรัทธาไม่ท้อ ถึงมันจะนาวนานแค่ไหนเราก็สู้ได้ ถึงจะยาวนานแค่ไหนเราก็ให้กำลังใจกันและกันได้ แต่ถ้าเวลาที่ยาวนานมันทำลายศรัทธาเรา มันทำลายความเชื่อเรามันแสดงว่าคงมีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาด แต่ถ้าเรามั่นใจว่าทำในสิ่งที่ถูกว่าจะเกิดผลดีกับแผ่นดินเกิด ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จงเดินหน้าต่อไป อีกอย่างเราสู้อย่างสงบอย่างอหิงสาไม่ทำร้ายใคร ต่อให้ยาวนานแค่ไหนก็ต้องทำนะครับ แม้กระทั่งบทสุดท้าย ถึงมันจะจบยังไงเราก็ต้องยอมรับกับบทสุดท้ายนั้น”
“อย่างที่เคยบอก ผมไม่รู้หรอกว่าชัยชนะหรือจุดจบสุดท้ายจะอยู่ตรงไหน เพราะว่าความซับซ้อนของการเมือง ของระบบสังคมมันมีมากเกินกว่าที่จะสามารถล่วงรู้ได้ และเกินความคาดเดา รู้แค่ว่าผมรู้สึกเหมือนคนแก่คนเฒ่าที่อยู่แถวนี้ และไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลทำมากมายหลายอย่าง ทั้งการขายชาติ ทั้งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การช่วยพวกพ้องให้หลุดรอดจาดคดีความ การไม่นำพาทักษิณขึ้นสู้กระบวนการยุติธรรม สิ่งเหล่านี้ผมรับไม่ได้ และอยากให้มันเป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็น ต้องไม่มีการโกงคอรัปชั่น ต้องไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทักษิณต้องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว”
“แต่สุดท้ายมันจะจบยังไงนั่นมันเป็นเรื่องของรูปแบบของสังคมที่จะเดินหน้าไป คนในระดับแกนนำหรือคนในระดับสูงๆ มาช่วยกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นมันมาจากเรื่องที่ซับซ้อน ประเทศนี้ไม่เคยมีคนอย่างทักษิณ ชินวัตร แล้วคนฉลาดคนเก่งอย่างเขาคิดคดโกง มันเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ยาก แต่ถ้าเมื่อไหร่มันแก้ได้นั่นคือความสำเร็จ แต่ผมก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าหากวันไหนที่ยังมีความคลางแคลงใจ มีปัญหาให้เห็นอยู่ และมีการรวมกลุ่มเพื่อแสดงทัศนะต่อสิ่งเหล่านั้น ผมจะอยู่ตรงนั้นด้วยแน่”
...
“ศรราม” ฉุนข่าวไปพันธมิตรฯ บอกดาราที่ไปม็อบ อยากทำให้ในหลวงไม่สบายใจมั้ง
"ศรราม" เละ! "ตั้ว" สวน อย่าเ_ ือกพูดถ้าไม่รู้จริง