xs
xsm
sm
md
lg

"ตั้ว ศรัณยู" สับแหลก "ทักษิณ" พร้อมไล่พวกล้มระบบกษัตริย์ไปตายซะ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ตั๊ว ศรัณยู” ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ทนไม่ไหวรัฐโกงกินทุจริต แก้รัฐธรรมนูญฟอกตัว จวก “ทักษิณ” ตอแหล ซัด “สมัคร” ทำเฉยปล่อยให้ “จักรภพ” จาบจ้วงเบื้องสูง บอกถึงจงรักภักดีก็ไม่สามารถทำอะไร เพราะเป็นแค่หุ่นเชิด ลั่นใครคิดจะล้มกษัตริย์ไปตายซะเหอะ

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ปราศรัย 

“ตั๊ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง” เป็นหนึ่งในบุคคลที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯเมื่อสองปีก่อนเพื่อร่วมกันขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนเป็นเหตุให้อดีตนายกฯต้องไประเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศเกือบสองปี แต่พอวันที่พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้กลับเข้ามาประเทศอีกครั้ง บอกว่า จะมาต่อสู้กับคดีที่ถูกกล่าวหา

แต่หลังจากที่รัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” เข้ามาบริหารประเทศได้ไม่นาน แทนที่จะรีบแก้ไขปัญหาบ้านเมือง กลับมีการประกาศแก้รัฐธรรมนูญ ล้มล้าง คตส. และกฎหมายอีกหลายมาตรา ทำให้ถูกจับตามองว่า เป็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิด ประกอบกับเรื่องที่ “จักรภพ เพ็ญแข” ไปพูดที่อเมริกาจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าจาบจ้วงเบื้องสูงนั้น เป็นเหตุให้ตั้ว ศรัณยูต้องกระโดดขึ้นเวทีพันธมิตรฯอีกครั้ง พร้อมกับแสดงทัศนคติอย่างถึงลูกถึงคน

“สาเหตุที่ผมต้องออกมาวันนี้ ก็เพราะเหตุผลเดิมเหมือนเมื่อสองปีก่อน มันเกิดความไม่ถูกต้องในบ้านเมือง ข้าราชการผู้บริหารภาครัฐเป็นผู้กระทำซะเอง มีการย่ำยีประชาชนไม่เห็นกับประชาชน มีการโกงกินทุจริต ซึ่งมันไม่มีเวทีไหนที่เราจะสามารถส่งเสียงความไม่พอใจดังๆ ไปยังภาครัฐได้ เมื่อพันธมิตรฯรวมตัวกันแบบนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะมาที่นี่ เพื่อเอาเสียงของเรามารวมกับเสียงของคนอื่นที่คิดเห็นเหมือนกัน เพื่อเสียงของเราจะได้ดังขึ้น มันคือเรื่องเดียวครับ ถ้าไม่มีตรงนี้แล้วมันไม่มีเวทีไหนเลยที่จะไปแสดงพลังแสดงความรู้สึกตรงนี้ให้ดังไปถึงพวกเหล่านั้นได้ เพราะพวกนั้นก็มีแต่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมใช้แง่มุมทางกฎหมายตอหลบตอแหลกันไป”

“เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องมา ผมมาโดยไม่รู้หรอกว่า ใช่ชนะมันคืออะไร เมื่อไหร่จะถึงวันที่มีชัยชนะ ไม่รู้ด้วยว่าบทสุดท้ายจะเป็นยังไง แต่ผมรู้แค่ว่า วันนี้ความรู้สึกของผมที่มีต่อผู้บริหารบ้านเมืองเป็นแบบนี้ คนที่นี่ก็รู้สึกแบบนี้ รู้เท่าทันแบบนี้ ผมจึงต้องมาเติมเต็มให้ความรู้สึกเหล่านี้มันโตขึ้นมันใหญ่ขึ้น”

“มันอยู่กันไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะทำยังไง บ้านเมืองมันเละเทะไปหมดแล้ว ไม่รู้จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับคนที่ถูกขับไล่ไป เรื่องการละเมิดเบื้องสูงมันสุดที่จะพูดแล้วแหละ คราวนี้มันแจ่มชัดกว่าคราวที่แล้วเยอะ คราวที่แล้วเราไล่ทักษิณ ซึ่งทักษิณมีกลโกงที่แยบยลที่ต้องใช้เวลาการอธิบายการพูดคุยกันนานกว่าหลายๆ คนจะเข้าใจ เพราะว่าวิธีการโกงกินมันซับซ้อนมากมาย”

แต่คราวนี้มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย มันเห็นอย่างโจ้งๆ ว่าทักษิณยังอยู่เบื้องหลังยังไง เห็นอยู่ชัดๆ ว่ารัฐบาลชุดนี้เกิดขึ้นยังไง เห็นอยู่ชัดๆ ว่า พวกเขาทำเพื่ออะไร เห็นแล้วมันทนไม่ได้ มันยอมไม่ได้ก็เลยต้องออกมา”

“ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมันสำคัญหมด มันเป็นการจุดชนวนให้เราออกมาเรียกร้องหมายความว่า ก่อนที่จะหมายถึงตรงนี้สื่อมวลชนนักการเมืองหลายๆ คนก็ชี้ทางที่รัฐบาลควรจะทำ ชี้ทางที่รัฐบาลควรจะถอยมาซักก้าวหนึ่ง ชี้ทางที่รัฐบาลควรจะประนีประนอมหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ฉะนั้น เราจะไปก้มหน้าก้มตาดักดานให้นำพาประเทศชาติเราไปแบบนี้ไม่ได้ มันก็ต้องมาครับ ถามว่าเรื่องไหนสำคัญมากที่สุดมันสำคัญหมด แล้วแต่ว่าพี่น้องที่มาจะให้สำคัญกับเรื่องไหน แต่ทุกเรื่องเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมทนไม่ได้ อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอกครับ”

“การที่เขาจะแก้รัฐธรรมนูญ ถามว่า ผมรับไม่ได้ตรงไหน มันรับไม่ได้ทั้งหมดเหมือนกับทุกคนนั่นแหละ คราวนี้ความเข้าใจมันถูกเผยแพร่ไม่ใช่เพราะนักวิชาการที่ขึ้นไฮปาร์คตรงนี้เท่านั้น นักวิชาการที่อื่นคอลัมน์อื่นก็พูดเหมือนกันหมด อย่างเรื่องคุณจักรภพก็พูดเหมือนกันหมด มันไม่ยากเลยที่จะเข้าใจ ทุกคนที่มาที่นี่ก็รู้เหมือนกันหมด ซึ่งพอเรารู้แล้วเราก็ต้องมา”

“ความรู้สึกของผมในวันนี้ไม่เหมือนความรู้สึกที่มาเมื่อสองปีก่อน ครั้งนั้นผมมีความรู้สึกร่วมประมาณหนึ่ง ก็มาร่วมฟังข้อมูลที่มีอยู่ แต่คราวนี้ไม่ต้องเพราะมันชัดเจนมากเลย ชัดเจนทุกมุมเลย เด็กแค่ไหนก็เข้าใจได้ แล้วใครจะไปทนได้ไง เราจะก้มหน้าก้มตาดูได้ไง อ้างความสมานฉันฑ์แล้วอยู่เฉยๆ มันไม่ใช่ และการที่เรามาเราก็มาอย่างสงบด้วย ไม่ใช่ทนไม่ได้แล้วก็ไปอาละวาดตีใคร ตรงนี้มันคือช่องทางเดียวที่ทำได้ เป็นช่องทางที่สันติมันผิดตรงไหน ถ้าไม่มาตรงนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว”

“ภาพมันชัดเจนขึ้น ไม่ใช่ว่าเวทีนี้จุดเชื้อปะทุขึ้นมา ซึ่งที่มันเกิดขึ้นคือสิ่งที่รัฐบาลทำทั้งนั้นเลย และเผยออกมาทีละนิดๆ และเขาก็เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมืองในทุกๆ เรื่อง มันไม่ได้ยากอะไร คือ ทุกคนเห็นหมดว่าจักรภพพูดอะไรทำอะไร พูดถึงรัฐธรรมนูญทุกคนก็รู้หมดจนจะท่องได้อยู่แล้วอยู่แล้วว่า เขาจะแก้กฎหมายมาตราอะไร เพื่อที่จะปลดคตส. ทุกคนรู้เท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือนักวิชาการก็พูดเรื่องนี้กันไปหมดว่า แก้รัฐธรรมนูญเพื่อล้มคตส. พอล้ม คตส.แล้วคดีต่างๆ ที่กำลังจะขึ้นศาลจะยุติ ทุกคนรู้กันหมดท่องกันได้หมด”

“ถามว่า ในเมื่อรู้เท่าทันอย่างนี้หมดแล้วจะให้ทำยังไงล่ะ จะให้ก้มหน้าเฉยๆ กินข้าวแพง เติมน้ำมันแพงๆ แล้วก็อยู่ไปวันๆ มันไม่ได้อะไร มันเป็นทางเดียวที่เราจะต้องมาที่นี่”

“ผมเองมีโอกาสได้อ่านที่คุณจักรภาพพูดในครั้งแรกๆ อ่านแค่ผ่านๆ ไม่อยากจะอ่านมันทนไม่ได้เพราะมันหยาบและเลวร้ายมาก ผมอ่านทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่เขาแปลมา อ่านแล้วก็เข้าใจ อ่านแล้วแปลได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ และผมก็ฟังๆ กระแสบ้านเมืองว่าคิดยังอะไรอยู่”

“ส่วนล่าสุดที่คุณจักรภพแปลอออกมาฉบับของเขา ผมก็เปิดดูหยาบๆ ก็เห็นว่ามันคนละเรื่องกันเลย และมีการไปบิดเบือนบางคำที่มันแรงๆ ก็ไปให้มันแบบ น่าจะ อาจจะ ให้มันดูเบาๆ ลง แค่นี้มันปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ”

“ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองเรา ผมคิดว่ามันสมเหตุสมผลที่ผมจะลุกขึ้นมาแสดงความไม่พอใจต่อภาครัฐ แต่ถ้าแยกเป็นเรื่องๆ มันจะมีความสำคัญต่างกัน ประเด็นสำคัญของคุณจักรภพคือมีการจาบจ้วงและละเมิดเบื้องสูง มันส่อให้เราเข้าใจถึงคนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด แล้วมันจะไปทนได้ยังไง”

“แว๊บแรกที่ผมอ่านสิ่งที่คุณจักรภพพูด ความรู้สึกมันหยาบคายพูดไม่ได้ ผมรู้สึกอย่างนี้เลย ผมต้องด่ามันเลย ไม่สามารถจะรู้สึกอะไรที่ดีกว่านี้ได้ อย่าให้ผมพูดเลยเราไม่ควรจะพูดคำหยาบกัน ผมรับไม่ได้ ถ้าจะให้พูดมันจะคือคำที่หยาบคายมาก”

“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณจักรภพรัฐบาลนิ่งเฉย สื่อมวลชนก็บอกว่ามันมีทางลงตั้งเยอะตั้งแยะ ปลดออกหรืออะไรก็ได้ให้มันเบาลง แต่ไม่ทำไง ซึ่งนั่นเป็นเหตุให้เราถึงมารวมตัวกันที่นี่(การที่รัฐนิ่งเฉยสะท้อนถึงความไม่จงรักภักดีหรือเปล่า) คือ มันอาจจะไม่ทั้งหมด แต่มันสะท้อนถึงมุมอื่นเช่น นายกคนนี้ไม่มีอำนาจจะทำอะไรได้ อย่างเช่น นายกสมัครผมเชื่อมั่นในความจงรักภักดี แต่ว่าท่าทีของเขาที่เกิดขึ้นก็ชี้ชัดได้ว่า ไม่ว่าเขาจะจงรักภักดียังไง เขาก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันก็สะท้อนว่าเขาไม่มีอำนาจใดๆ เขาเป็นแค่หุ่นเชิด”

“ผมไม่รู้ว่าเรื่องมันจะจบยังไง ผมก็เป็นแค่ประชาชนคนหนึ่งที่มีความอยากได้ใคร่มี อยากให้เรื่องบางเรื่องเกิดกับคนแบบนั้นมันก็มีคงมี มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่โกรธแค้นมันก็คงอาจจะมี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะว่า อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งผมก็เชื่อว่าทุกคนก็ยังมีความรู้สึกชิงชังแบบนี้อยู่ แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นต่อไปมันก็เป็นเรื่องของอนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่ถ้าจะให้ไปถึงเป้าหมายชัยชนะมันก็ต้องเริ่มต้นจากตรงนี้”

“ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราศรัทธาและเชื่อมั่นต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็จะนำพาเราไปสู่จุดจบที่ดีงามผมเชื่ออย่างนั้น และก็ผมก็เชื่อว่าคนเหล่านี้ที่ล่วงเกินชาติกษัตริย์ก็คงไม่ตายดีต้องมีอันเป็นไป ผมเชื่ออย่างนั้น”

ไม่หวั่นหากเหตุการณ์จะบานปลายจนเกิดเหตุแบบพฤษภาทมิฬ....
“ความกลัวมันมีอยู่แล้ว ผมก็มีครอบครัวมีลูก ถามว่ากลัวไหมถ้าเกิดเหตุการณ์รุนแรง ก็กลัวไม่อยากให้มี แต่ความกลัวตรงนี้มันไม่มากพอที่จะหยุดยั๊งการแสดงความคิดที่เรามีเท่านั้นเอง”

ถ้าเจอ “จักรภพ เพ็ญแข” กับ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อยู่ตรงหน้า อยากจะพูดอะไรกับเขาบ้าง ?
“ผมคงไม่พูดด้วย เพราะเขาคงไม่มีค่าพอที่ผมจะพูดด้วย ผมคงไม่ไปพูดหรอกว่าหยุดเหอะ เพราะคนเขาก็พูดกันทั้งประเทศแล้วมันยังไม่ฟังเลย แล้วผมจะไปพูดอะไร ฉะนั้นไม่มีความจำเป็นที่ผมจะเสียเวลาไปพูดด้วย”

พูดออกมาตรงๆ แบบนี้รู้สึกหวั่นๆ บ้างหรือเปล่า.....
“ผมจะไปกลัวอะไรล่ะ ผมไม่ชอบเขาผมทำอะไรผิด ผมไม่ชอบเขาแล้วเขาจะมาทำอะไรผมก็ทำไป ก็ให้มันรู้ไป คนอยู่ที่นี่ก็ต้องเยอะแยะ ถ้าเขาจะมาทำอะไรก็คงพอจะเรียกร้องอะไรขึ้นมาได้ แต่ผมว่าเขาไม่กล้าทำหรอก ผมก็ไม่ได้ขึ้นไปด่าให้เขาไปตายหรือไปทำร้ายอะไรเขา ผมก็แค่พูดในสิ่งที่ผมรู้สึก ในเมื่อเขาทำสิ่งที่ผมเห็นว่าไม่ถูก ผมก็มีสิทธิ์ที่จะพูดว่าไม่ชอบ”

หลังจากที่ขึ้นเวทีร่วมกับพันธมิตรขับไล่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนเป็นเหตุให้อดีตผู้นำต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเมื่อสองปีก่อน ในวันที่พรรคพลังประชาชนได้รับการเลือกตั้ง และวันที่พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาประเทศไทย ก้มลงกราบแผ่นดินไทย จึงเป็นอะไรที่บาดหัวใจคนรักชาติอย่าง “ตั้ว ศรัณยู”

“ก็เหมือนที่หลายๆ คนรู้สึกแหละครับ ตอแหลเล่นละคร พอกล้องมาพร้อมก็ก้มลงกราบ พี่เขาเล่นละครเก่งนะครับ”

ในครั้งนี้นอกจาก “ตั้ว ศรัณยู” จะออกมาเพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว การยังออกมาต่อต้านคนที่คิดจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เริ่มก่อตัวคุกคามไปทั่ว ไม่ว่าการที่ไม่ลุกยืนตรงในโรงหนัง ไปจนถึงเรื่องที่ “จักรภพ เพ็ญแข” ถูกจับตามองว่าหมิ่นเบื้องสูง

“ผมอ่านข่าวที่มีคนไม่ยืนเคารพในโรงหนังเหมือนกัน มันไม่มีเหตุผลอื่นเลยนะที่ต้องทำแบบนั้น นี่คือการท้าทายอย่างมาก ก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลหรือตำรวจจะไปทำอะไรมันเลย ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ผมไม่ไหวแล้ว ถ้าผมเข้าโรงหนังแล้วไปเจอคนแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง มันอยู่ที่ว่าวันนั้นผมพกอารมณ์อะไรเข้าไป ไม่รู้แหละอย่าให้เจอไม่ไหว”

“สังคมไทยเราให้ความเคารพกับระบบกษัตริย์ ท่านทรงปกครองโดยอุปถัมภ์ ท่านทรงช่วยเหลือประชาชนมากแค่ไหน มันเกินกว่าความสำนึกและต้องเทิดทูนไว้เหนือสิ่งอื่นใดเลย มันทำแบบนี้ไม่ได้ ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องแสดงแบบนี้ออกมาเลย”

สำหรับใครที่อยากจะเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้เป็นระบบ “สาธารณรัฐ” ตั้ว ศรัณยู ฝากบอกมาว่า.....
“ไปตายซะเถอะ....หรือไม่ก็ต้องรอให้คนแถวนี้ตายหมดก่อน มันเป็นไปไม่ได้ คิดก็คิดไม่ได้แล้ว คือต้องถามว่า เอาสมองซีกไหน เอาชีวิตเท่าไหนของคุณที่คุณจะคิดแบบนี้ ตลอดชั่วอายุของคุณที่ลืมตาดูผืนแผ่นดินนี้ คุณอยู่ภายใต้ของบารมีพระมหากษัตริย์ขนาดไหน คิดยังงี้ได้ไงไม่ได้

“ตราบใดที่ผมยังอยู่และมีคนคิดแบบนี้ผมก็จะออกมาแบบนี้แหละครับ แต่ผมก็จะออกมาในสแตนดาร์ดที่ผมสามารถทำได้ ยังไงก็ต้องคาราวะแกนนำพันธมิตรเลยจริงๆ เพราะถ้าไม่มีเวทีตรงนี้ผมก็ไม่รู้จะไปแสดงออกตรงไหน ก็คงจะพูดแบบนี้ที่ไหนไม่ได้ ก็คงจะพูดกับลูกเต้า หรือลูกน้องที่บ้าน เป็นความเข้าใจกันแคบๆ แต่ถ้ามีเวทีแบบนี้และชุมนุมกันแบบสันติ ผมจะออกมาทันที นี่คือจุดยืนของผมเท่านั้นเอง”












กำลังโหลดความคิดเห็น