ศรี ศิขเรศวร.....ผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขา
โดย นพวรรณ สิริเวชกุล
คลิกที่ไอคอนด้านบนเพื่อ ชม และ ฟัง ในรูปแบบ MULTIMEDIA
บนผาสูงชันของเทือกเขาพนมดงรัก เหนือจากระดับน้ำทะเล 657 เมตร คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏชื่อตามศิลาจารึกที่ค้นพบในบริเวณนั้น ว่า ‘ภวาลัย’ ปัจจุบันรู้จันกันในนามปราสาทเขาพระวิหาร ชาวเขมรเรียก เปรี๊ยะวิเฮียร์ อันเป็นศาสนสถานโบราณที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของทั้งชาวไทยอีสานและชาวเขมรกัมพูชา....
ในฝั่งแผ่นดินไทย ปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่ที่บ้านภูมิซร๊อล ตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ หากเราขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของยอดปราสาท เบื้องล่างที่ทอดไกลออกไป คือ เจียมกะสานหรือซำปาก้าง จังหวัดกำปงทม ประเทศกัมพูชา มองไกลไปจนสุดขอบฟ้าทางใต้คือ พนมกุเลน เมืองพระนคร และทะเลสาบเขมร นั่นคือ แผ่นดินที่เราเรียกกันว่า ถิ่นเขมรต่ำ...ที่ทำให้มองเห็นปราสาทหลังนี้ดั่ง วิหารสวรรค์....
กรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร ยังเดินมาไม่ถึงจุดสิ้นสุด...ดูราวกับว่าสถานที่แห่งนี้มิต้องการให้ใครครอบครอง.....ดั่งความเชื่อแต่เก่าก่อน...สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ มีไว้เพื่อชนทุกเผ่าพันธุ์....
เนื่องเพราะครั้งหนึ่งสถานที่แห่งนี้ เคยเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญของคนหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ เปรียบดั่งขอมเป็นผู้สร้างปราสาทแต่ปราสาทนั้นมีความสัมพันธ์กับคนหลายกลุ่ม หลากคติความเชื่อและนั่นคือความหมายและความสำคัญอันเป็นสากลของเขาพระวิหาร....
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาหลากยุคหลายสมัย แต่ที่สำคัญคือช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ในสมัยของพระเจ้ายโศวรรมัน โปรดให้สถาปนาศิวลึงค์อันศักดิ์สิทธิ์ ศิขเรศวร ณ เทวาลัยแห่งเขาพระวิหาร ที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ได้ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่สักการะของคนหลายกลุ่มที่นับถือลัทธิภูเขา เขาพระวิหารจึงกลายเป็นที่จาริกแสวงบุญเช่นเดียวกับที่ปราสาทวัดภูซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตตอนใต้ของประเทศลาว
นับจากพระเจ้ายโศวรมันแล้ว เทวาลัยพระวิหารแห่งนี้ก็ถูกต่อเติมเรื่อยมา และถือเสมือนเป็นที่สถิตแห่งพระราชอำนาจของกษัตริย์ขอมทุกพระองค์ กษัตริย์สมัยต่อมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 และ 2 นั้น ได้ทำให้เขาพระวิหารกลายเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อของผู้คนยิ่งกว่าเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ทรงโปรดให้ปราสาทแห่งนี้ เป็นเสมือนหอประวัติที่เก็บเอกสารของชาวกัมพุชในสมัยของพระองค์ และยังทำให้เขาพระวิหารแห่งนี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อที่คนหลายกลุ่มหลายเหล่ารับนับถือพร้อมกับเป็นแหล่งสถิตอำนาจของเทพกษัตริย์บรรพบุรุษของพระองค์และเป็นที่รวมของความเชื่อลัทธิเทวะราชาในสมัยนั้นอีกด้วย
ปราสาทเขาพระวิหารสร้างด้วยศิลาทราย ซึ่งสกัดจากบริเวณเทือกเขานี้ ยังเห็นร่องรอยอยู่บางที่บางแห่ง ที่พวกขอมสกัดหินไปใช้ก่อสร้าง เช่นบริเวณขอบสระตราว และบริเวณใกล้กับมออีแดง นอกจากจะก่อสร้างด้วยศิลาทรายแล้วปราสาทพระวิหารยังสร้างด้วยอิฐเผา และดินเหนียวอีกด้วย
ลักษณะเด่นที่ทำให้เขาพระวิหารเป็นที่รู้จักทั่วไปคือ ตั้งอยู่บนที่สูงกว่าปราสาทหินอื่นๆในเมืองไทย อ.มานิต วัลลิโภดมนักโบราณคดี ได้บันทึกไว้ในเอกสารของกรมศิลปากรว่า สิ่งก่อสร้างที่รวมกันเป็นปราสาทเขาพระวิหารนั้น เริ่มตั้งแต่ที่ลาดต่ำเชิงเขาจนถึงผาชันสุด ห่างกันเป็นสี่ชั้น ทางเดินเขาพระวิหารทางใหญ่อยู่ทางด้านเหนือ ในดินแดนประเทศไทย.....
นอกจากนั้นอ.มานิตยังเคยสันนิษฐานว่า อาคารด้านตะวันออก อาจเป็นที่อยู่ของช่างฟ้อนหรือนางรำที่ประจำอยู่ณ ภวาลัยแห่งนี้ ส่วนทางด้านตะวันตกนั้นอาจเป็นที่สำหรับศาสนิกชนมาอาบน้ำมนต์ เนื่องจากตามมุขทั้ง 4 ของห้องตรงกลางจะมีลักษณะคล้ายอ่างน้ำ และในส่วนของภวาลัยนั้นคือมณฑปและปรางค์ศีขรหลังคาโค้ง ตรงช่องประตูทุกช่อง จะมีทางขึ้นลงเป็นบันได 5 ขั้น
เนื้อความในจารึกหลักหนึ่งที่ค้นพบในบริเวณเขาพระวิหารได้กล่าวว่า บริเวณแถบเขาพระวิหารแห่งนี้มีนางเทวีองค์หนึ่งปกครองอยู่ นามว่า นางพิณสวัณครามวดี ซึ่งเป็นมารดาของพระนางกัมโพชลักษมีมเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 แห่งอาณาจักรขอมในอดีต
คล้ายกับว่าปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้ คือสิ่งที่คนโบราณพยายามจะสร้างสมานฉันท์ทางวัฒนธรรมและการเมือง ระหว่างคนสองกลุ่มใหญ่เสมอมา กลุ่มหนึ่งคือเขมรต่ำ ส่วนอีกกลุ่มนั้นคือบรรดาผู้อาศัยอยู่แถบเชิงเขาพนมดงรักฝั่งใต้ของแม่น้ำมูล ซึ่งพระราชพงศาวดารเขมรสมัยหลัง เรียกบริเวณนั้นว่า เขตดงรัก...
หลายปีที่ผ่านมาเรื่องราวพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา กรณีเขาพระวิหารนั้นบางเวลาก็เงียบสงบ บางเวลาก็เกิดเป็นข่าว หลายครั้งที่ชาวไทยไม่สามารถขึ้นไปบนสถานที่แห่งนั้นได้ด้วยการปิดเขตแดนของกัมพูชา...
จากคำสัมภาษณ์ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ผู้เป็นทนายในคดีพิพาทเรื่องเขาพระวิหารระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์ ได้ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันที่ 9 มกราคม ปี 2535 ว่า....” เรื่องนี้ยังเข้าใจกันผิดว่าเขาพระวิหารเป็นของเขมรทั้งหมด ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น ศาลโลกไม่ได้ตัดสินอย่างนั้น ศาลโลกตัดสินว่าให้คืนการครอบครองวิหารปราสาทกับบริเวณ ไม่ใช่ทั้งเขา....”
ตามรายงานในช่วงเวลาดังกล่าวเมื่อครั้งพ.ศ.2505 รัฐบาลไทยได้ขนย้ายพระพุทธรูปจำนวน 30 องค์ ซึ่งได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ บริเวณปราสาทกลับคืนมา เหลือแต่พระพุทธรูปอีก 20 องค์ ซึ่งเป็นของที่ตั้งอยู่ติดกับปราสาทพระวิหารมาก่อน
ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งศรีศิขเรศวรนี้...นำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาเสมอมา ด้วยการเรียกร้องอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ขณะที่แผ่นดินนั้นเป็นของไทย...หากเรามองอีกมุมหนึ่งของเรื่องราว ที่ กระทั่งปัจจุบันก็ยังหาข้อยุติไม่ได้นั้น....
และหากเรามองย้อนกลับไปในอดีต ที่ปราสาทพระวิหารแห่งนี้คือสถานที่สำหรับทุกผู้คนที่ดั้นด้นเพื่อไปจาริกแสวงบุญ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า...จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ...ที่บรรพบุรุษของผู้คนในถิ่นแถบนี้ได้สร้างมรดกทางวัฒนธรรมแห่งนี้ไว้เพื่อให้ “เรา” ได้รักษาไว้ร่วมกัน....
**ข้อมูลอ้างอิง
เมืองประวัติศาสตร์เมืองพิมาย เขาพระวิการ เมืองอุยบ เมืองศรีสัชชนาลัย ; รศ.ดร.ธิดา สาระยา
ประวัติศาสตร์เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ; ธิดา สาระยา
พบกับรายการ ต่างสมัย รอยไทย โดย นพวรรณ สิริเวชกุล
ได้ทุกคืนวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 00.00 - 01.00 น.
ทางคลื่นยามเฝ้าแผ่นดิน FM 97.75 MHz
หรือรับฟังรายการย้อนหลังได้ทาง www.managerradio.com