"เมื่อไหร่ที่ผมเอาธุรกิจนำหน้ามันไม่ค่อยรอดหอรก แต่ถ้าเอาว่าผมอยากจะทำ อยากจะทำค่ายเพลง อย่างท่องเที่ยวก็ทำ แล้วอย่างอื่นมันจะตามมาเอง..." เสียงคำบอกเล่าจาก "สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์" ถึงที่มาของการทำรายการ "ดรีมเชสเซอร์ : ซิ่งล่าฝัน" (ทุกๆ วันจันทร์ ทางช่อง 3 เวลาเที่ยงคืน) ซึ่งในปีนี้นับได้ว่าเป็นปีที่สองแล้ว
โดยเจ้าตัวได้บอกถึงจุดเริ่มต้นว่า...
"คือตอนที่ผมออกมาจากวงการเพลงแล้วอยากหาอะไรใหม่ๆ ทำ แต่ไม่รู้จะทำอะไร แล้วบังเอิญวันนั้นมีเวลาว่างไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยขับมอเตอร์ไซค์ไปภูเก็ต แล้วตอนที่ขับไปภูเก็ตเนี่ยผมเองก็ได้เห็นภูเก็ตเพราะว่าผมไม่เคยเที่ยวเมืองไทยมาก่อน ตอนไปมันมีอะไรเยอะเต็มไปหมด เลยตัดสินใจเที่ยว 3 เดือนให้รอบประเทศไทย แต่ในเวลาเดียวกันมันก็คือเวลาทำงาน เลยรู้สึกผิด เลยคิดว่าไปเที่ยวแล้วหาเงินด้วยมันควรทำอย่างไรดีก็เลยคิดทำรายการทีวี"
"โปรเจ็กต์ที่หนึ่งที่ออกมาเมื่อปีก่อนก็ทำออกไปไม่ได้ตั้งความหวัง แต่พอทำไปฟีดแบคมันออกมาดีกว่าที่ผมคิดไว้ แล้วก็คนหลายคนก็เชียร์ให้ทำ ปีที่ 2 เนี่ยจะแตกต่างก็คือปีที่หนึ่งเราอยู่ประเทศไทย 95% ในปีที่2 เราไปอยู่เมืองนอกเสียส่วนใหญ่ อีกอย่างคือตอนที่เราประชุม ปีที่ 1 มันง่ายเกินไป มาปีนี้เราจะให้มันเป็นถนนลูกรังมากกว่านี้ วิบากมากขึ้น"
"ถ้าท่านผู้ชมอยากได้ทางเลือกใหม่ ผมรับประกันว่าไม่มีอย่างเราในทีวี ใครอยากมาดูลิงขี่มอเตอร์ไซค์ ตอนคนถามว่ารายการเราคืออะไร ผมบอกว่ารายการผมคือสารคดีการนำเสนอในรูปแบบเรียลิตี้ เราพยามยามนำเสนอให้สนุกเพราะผมรู้ว่าถ้าเรานำเสนอเป็นสารคดีมันจะน่าเบื่อ แต่ถ้าเกิดเราไปเรียลิตี้เกินไปมันจะไม่มีเนื้อหา"
"เราก็เลยนำ 2 อย่างมาผสมกันแล้วผมก็เชื่อว่าสิ่งที่เราไปเจอมา ผมว่าเราสามารถถ่ายทอดออนร์ได้ครับ แล้วก็ไม่ดึกไป เดี๋ยวนี้น้ำมันแพงนอนดูทีวีอยู่บ้านดีกว่า"
นอกไปจากถนนหนทางจะวิบากขึ้นแล้วในส่วนของคู่หูที่จะเดินทางก็เปลี่ยนไปด้วยจากดารามาเป็นคนธรรมดานั่นก็คือหนุ่ม "หุ่ย ภาณุวัฒน์ ทองปั้น" โดยคุณสุกี้ให้เหตุผลว่าที่เลือกหนุ่มเลยคนนี้ก็เพราะความตรง รวมถึงความแตกต่างในหลายๆ ด้านของการดำเนินชีวิต
"มีสมัครเข้ามา 160 เราก็มีทีมงานคัดเลือกเหลือ 12 คนแล้วผมก็ลงไปคุยเอง ที่เลือกมาคือเขาตรงแบบซื่อๆ คนส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าเคยไปประเทศนั้นประเทศนี้ มีเงินไงครับ หุ่ยเขาคนจังหวัดเลย ผมก็ถามเขาว่าเคยไปต่างประเทศมั้ย เขาก็บอกว่าเคย ผมรอให้น้ำในแม่น้ำโขงมันลงแล้วผมก็ค่อยเดินข้ามไปลาว"
"ผมฟังแล้วผมชอบ..(หัวเราะ) มันตอบแบบซื่อๆ น่ะ ผมถามเขาว่าเคยขับบนลูกรังมั้ย เขาก็บอกว่า บ้านผมมีแต่ลูกรังพี่ ประเด็นคือไม่มีฟอร์ม ไม่มีอะไร เราเลยเลือกเขามาในซีซั่นสองนี้ความผจญภัยมากขึ้น สถานที่ๆ ไกลขึ้น แล้วเราไม่ได้ไปกันแบบนักท่องเที่ยว เราไปกันแบบนักเดินทาง มันไม่เหมือนกัน"
"อย่างตอนที่ผมตัดสินใจทำซีซั่น 1 ผมศึกษา ผมเริ่มดูแล้วก็สังเกตว่ารายการท่องเที่ยวมันเยอะ แล้วผมมองว่าคนอื่นเขาทำกันเหมือนนักท่องเที่ยว สวัสดีครับท่านผู้ชมวันนี้เรามากาญจนบุรีกันนะครับ เราจะมาดู...ผมคิดว่าเราจะมาดูอย่างนี้กันอีกกี่รอบ"
"สิ่งที่ผมกล้าพูดคือไม่มีรายการใครเหมือนเราบนทีวี ณ เวลานี้ ผมรู้เลยว่ามีเราอยู่คนเดียวที่เป็นรายการแบบนี้ มันเป็นการเดินทางอีกแบบหนึ่ง แล้วในหมู่ของพวกเรียลิตี้ ผมกล้าพูดว่าของเราดิบสุด ผมรู้ว่าของคนอื่นจะไม่ดิบเท่าของเรา ผู้กำกับบอกว่าเฮ้ยสุ ล้มให้อีกทีสิ ผมบอกว่าจะบ้าเหรอมันทำไม่ได้หรอก"
"ก็คือว่าถ้าคุณอยากเห็นอะไรที่มันจริง อยากเห็นอะไรที่ถูกนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่ง ผมไม่ได้บอกว่าเราดีกว่าเขาหรือเราแย่กว่าเขา แต่มันเป็นอีกมุมมองหนึ่งแน่นอน อันนี้ผมรู้ชัวร์ๆ ตรงนั้น"
มองผิวเผินดรีมเชสเซอร์อาจจะเป็นเพียงรายการทีวีรายการหนึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่ แต่หากถามความรู้สึกลึกๆ ลงไปในใจของผู้ชายที่เคยเป็นทั้งบริหารค่ายเพลง โปรดิวเซอร์ นักดนตรีคนนี้แล้ว การเอาชีวิตไปเสี่ยงบนพาหนะสองล้อแล่นท่องไปทั่วไทยรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว เขมร เวียดนามนั้น มันทำให้เขาได้รับประสบการณ์อีกมากมายทีเดียว
"บางคนบอกว่ามันอันตรายไปคนเดียว ผมว่าไม่นะ ไปที่ไหนก็มีคนช่วยตลอด ไม่เคยไม่มีคนช่วย ก็เลยทำให้เราศรัทธาคนมากขึ้น ผมเคยทำนานะ เหนื่อยมาก ทำไป10นาที มองหน้าคนกำกับเลย เก็บภาพพอยัง ผมเจ็บผมเหนื่อยน่ะ ผมทำไปผมคิดคือผมโกรธผู้กำกับ อีกอย่างคือสมัยตอนผมอยู่เบเกอร์รี่ เดินสายเล่นดนตรี เหนื่อย ศิลปินบ่นอย่ามาบ่นเลยว่าเหนื่อยลองไปทำนาดิ เขาทำงานทั้งวันเขาได้กี่บาทกัน ไม่มีสิทธิ์บ่น ลองมาทำนาดูมั้ย"
"คือมันต่างกันมันเทียบกันไม่ได้ พอลงมาทำ ผมทำแค่ 50 เมตร ร้อนมากน่ะ แต่ชาวนาเขาทำกันเป็นสิบๆ ไร่น่ะมันก็ต้องไปสัมผัสเอง คนหลายคนไม่มีสิทธิ์เห็น อย่างหนึ่งก็คือว่าตลอดเวลาที่อยู่ประเทศเขา รู้สึกเลยว่าเราโชคดี เพราะประเทศพวกนั้นเขาผ่านศึกสงครามมาเยอะ แล้วยิ่งเขมรยิ่งแบบตายไป 3 ล้านคน ทุกคนที่คุยด้วยคือครอบครัวตายไปครึ่งหนึ่ง ที่ประทับใจคือการที่เขาผ่านสงครามแล้วมาตั้งชีวิตใหม่เนี่ย ผมว่ามันโหดนะ"
ถามถึงอุปสรรค สุกี้บอกว่าโดยทั่วไปจะเป็นเรื่องของการข้ามแดนรวมถึงทางที่วิบากมากขึ้น..."ปีนี้เราข้ามชายแดนกัน 6 ที จริงๆ เราเป็นห่วงเรื่องข้ามชายแดนมากที่สุด เรามีรถ 3 คัน มอเตอร์ไซค์ อุปกรณ์ ผมเลยตัดสินใจจ้างทีมนอก ทีมมืออาชีพให้เขามาดูแลตรงนี้ให้ ซึ่งเขาก็ดูแลได้อย่างไม่มีปัญหา อุปสรรคน่าจะเป็นเส้นเดินทาง เส้นวิบากที่ผมไม่เคยขี่วิบากมาก่อน ผมต้องไปเรียน 1 วันก่อนจะมาถ่ายทำ"
"อย่างมันมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งผมขึ้นไม่ได้ ขับอย่างไรก็ไม่ขึ้น ในที่สุดต้องดันขึ้น เขามันชันมากแล้วมันก็เป็นทราย ล้อมันก็จมๆ แล้วมันเป็นเหว ถ้าตกลงไปก็ตาย ในที่สุดผมเอาขึ้นไม่ไหว ต้องดัน ปกติผมขับลงใต้ขึ้นเชียงใหม่ตลอดวันเดียว 800 กม.เป็นเรื่องปกติ แต่พอผมไปขับวิบาก วันนึงผมขับได้แค่ 80 กม. มันยากกว่าเยอะ มันเทียบกันไม่ได้ ความปลอดภัยมันก็ต่างกัน"
"แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่งมันก็ปลอดภัยกว่า เพราะถ้าคุณขับบนถนนคุณอาจเหยียบกัน 200 แต่ว่าในเวลาเดียวกันเส้นทางมันยากกว่า ผมเคยตกเหวไปครั้งหนึ่งคือผมขับๆ แล้วเริ่มมัน มันก็เริ่มเร็วขึ้นๆๆ แล้วพอเข้าโค้ง มีอันหนึ่งโค้งลงมาจากเขาแล้วเลี้ยว แล้วตอนเลี้ยวผมไปตีรถไม่พอแล้วมันไปเจอทรายอีก ผมก็ล้ม"
"ทุกทีที่ล้มอย่างแรกที่ทำคือเช็คร่างกายก่อน พอลุกขึ้นมาก็โอเคไม่เป็นไรแต่พอผมหันไปดูว่ามอเตอร์ไซค์เราหายไปไหน โอ้โหมันตกลงไปในเหว แต่มันโชคดีตรงที่มันมีกิ่งไม้ไผ่ แล้วรถมันไปติดอยู่ตรงนั้นพอดี ซึ่งถือว่าโชคดีมากเลย"
ในส่วนของเรื่องงานเพลง อดีตมือกีต้าร์ "วงพรู" เผยว่าตอนนี้ยังไม่มีโครงการที่จะทำเลย แต่ถ้าหากจะทำ ก็คงจะเป็นการทำให้กับตัวเองมากกว่า
"ทุกคนถามคำถามนี้หมด ก็ช่วงนี้เลิก ช่วงนี้ผมไม่ได้แตะเพลงเลย 2 ปีที่ผ่านมาไม่ได้หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นเลย คือจะบอกว่าเราจะเลิกไปตลอดกาลอันนี้ตอบไม่ได้หรอก แต่ว่า ณ เวลานี้ไม่ได้ยุ่ง ไม่ได้สัมผัสมันเลย ได้แต่สัมผัสกับมันในฐานะผู้ฟังอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องดี คือสมัยผมทำเพลง พอผมฟังเพลงผมก็ต้องวิเคราะห์มันตลอด ว่ามันเขียนยังไง คอร์ดยังไง เดี๋ยวนี้แนวอะไรฮิต"
"มันไม่สนุกกับการที่เราจะไปวิเคราะห์มัน แต่ตอนนี้เราฟังในฐานะผู้เสพ ผมซิ่งมอเตอร์ไซค์ใส่ไอพ็อด มีความสุขมาก ซึ่งผมว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น มันทำให้เรากลับมาหาเพลงใหม่ คือเราไม่มีจุดประสงค์อะไรกับมัน เราต้องการเสพมันเพื่อความสุขอย่างเดียว แล้วผมว่าบางทีเราต้องกลับไป แบ็ค ทู เบสิค ตั้งแต่ออกจากวงการผมก็ไม่ได้ไปยุ่งกับวงการเพลงเลย"
"ถ้าผมจะกลับมาทำเพลงอีกครั้ง ผมบอกตัวเองอยู่เสมอว่าต่อจากนี้ไปผมจะทำให้ตัวเอง ผมจะไม่ทำให้คนอื่น ผมจะสนองตัวเองไม่สนองตลาด ไม่สนองคนอื่น ถ้าเกิดว่าให้กลับมาทำแล้วคนโน้นอยากได้อย่างนี้ตลาดเป็นอย่างนี้ผมไม่เอา มันผ่านตรงนั้นมาเยอะแล้ว และก็ไม่รู้จะทำไปทำไมถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น"
"ผมเคยดูคุณแม่ผม ผมรู้สึกว่าท่านโชคดีมากเพราะเขาร้องแจ๊ส แล้วเป็นแจ๊สบิ๊กแบนด์ สมัย 70 ปีก่อน แล้วเขาก็ร้องแบบนี้ ให้เขาไปทำอย่างอื่นเขาก็ไม่เอา มันไม่ใช่ธุรกิจของเขา เพราะเงินเขาก็มาจากโรงแรม เพราะผมรู้สึกว่าท่านโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วก็มีคนดู ถึงกลุ่มคนดูจะไม่ถึงกับเยอะเขาก็พอใจแล้ว"
"นักดนตรีที่โชคดีที่สุดคือนักดนตรีที่สามารถเป็นตัวตนได้แล้วยังมีคนดู ผมมองเขาแล้วรู้สึกดี และคิดว่าถ้าผมจะกลับมาทำเพลงอีก ถ้ามันมาเป็นธุรกิจเรามันไม่ง่ายขนาดนั้นยิ่งตลาดบ้านเราเดี๋ยวนี้ผมก็เดาเด็กไม่ออกแล้ว"
การเดินทางไม่ช่วยสร้างจินตนาการเกี่ยวกับการทำงานเพลงเลยหรือ?
"กับงานเพลงนี้ผมไม่รู้นะ แต่ผมเชื่อว่าเมื่อไหร่คุณเดินทางแล้วไปอยู่สถานที่อื่นๆ มันสร้างแรงบันดาลใจให้เรา คือผมไปปี 1 และ 2 ผมรู้สึกมีความสุขมาก เพราะทุกวันมันเปลี่ยน สถานที่มันเปลี่ยนไปทุกวัน สำหรับผมแล้วสมองมันหล่อลื่นมากขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่งสำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นกายภาพบำบัดทางสมอง ผมเชื่อจริงๆ นะ"
"บางคนไปนั่งวิปัสสนาแต่นั่นผมรู้สึกว่าผมทำไม่ได้ แต่ถ้าเกิดให้ผมใส่วอล์คแมนขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับไปไม่รู้จะไปจบตรงไหน มันทำให้สมองผมคิดออกมากขึ้น ปัจจุบันผมก็เป็นนะ ผมกลับไปอยู่กรุงเทพ ตอนนี้ผมกำลังปรับตัวอยู่ บางวันสมองมันไม่วิ่ง บางทีมันคิดไม่ออก บางวันขับไปเขาใหญ่แล้ว 2 ชั่วโมงไป-กลับ แล้วพอมีไอเดียแล้วก็กลับมา"
อนาคตวงพรู จะเป็นอย่างไร?
"ไม่รู้(หัวเราะ) ตอนนี้ไม่มีโครงการ แต่ว่าวงพรูโชคดีนะ เพราะว่าทุกคนในวงมีที่ไปหมด คือบางวงถ้านอกจากทำวงแล้วไม่รู้จะทำอะไร เมื่อนานมาแล้วผมคุยกับน้องว่าวงพรูโชคดีมากเพราะทุกคนมีความสนใจอื่นแล้วมีความสามารถอื่น อย่างน้อย (น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์)ก็ไปเล่นหนัง ไปช่วยคุณแม่ออกแบบโรงแรม ผมก็มาทำตรงนี้"
"หรืออย่างมือกลอง(คณิณญาณ จันทรสมา)ปัจจุบันเขาก็ไปเป็นผู้กำกับอันดับท็อปๆ แล้วอย่างยอด(ยอดเถา ยอดยิ่ง-เบส) เขาก็ไปทำพวกคอมพิวเตอร์ทรานสเลต วงเราเป็นวงที่โชคดี คือไปทางอื่นก็ประสบความสำเร็จเหมือกัน ดีไม่ดีประสบความสำเร็จมากกว่าพรูอีก(หัวเราะ)"
งานเพลงยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับการทำรายการทีวีที่เจ้าตัวบอกว่าขอดูกระแสตอบรับก่อนว่าจะมีซีซั่น 3-4 ต่อไปหรือไม่
"ปี่ที่ 1 เราทำประเทศไทย ปีที่ 2 เราทำลาว เวียดนาม เขมร ปีที่ 3 เราก็ต้องไปไกลขึ้นกลับมาเป็นเมืองไทยไม่ได้ มันจะจ๋อยเลย แต่ถ้าเกิดว่าคุณไปไกลขึ้นมันก็แพงขึ้น ค่าใช้จ่ายมันก็ต้องมากขึ้นโดยปริยาย ผมอยากไปรัสเซีย ถ้าเกิดกระแสนี้ดี ทางช่องเขาแฮปปี้ ผู้สนับสนุนแฮปปี้ เรามีทุนก็คงทำต่อ มันมีอีกหลายประเทศที่ผมอยากไป"
"ที่อยากไปรัสเซียเพราะว่ามันเป็นเส้นที่เป็นไปได้ จริงๆ ที่ๆ ผมอยากไปมากที่สุดคือรอบโลก แต่วันนั้นผมลองคำนวณตัวเลขเล่นๆ ในหัวแล้วประมาณ 40 ล้าน มันเยอะนะ นี่แค่คำนวณในหัวนะยังไม่ได้ลงตัวเลขจริงๆ และมี 2 เหตุผลที่ผมอยากไปรัสเซียฝั่งตะวันออก เพราะมันมีเส้นหนึ่งที่ผมสนใจ ที่เราผ่านประเทศจีนผ่านไปถึงมองโกเลีย ผมสนใจมองโกเลีย"
"หลังจากมองโกเลียแล้วมันจะมีประเทศอุซเบกิสถาน คาซัคสถาน ผมไปดูรูปภาพแล้วมันสวย แล้วพอดูความเป็นไปได้มันก็น่าจะเป็นไปได้ ผมสนใจตรงนั้น แล้วอีกเหตุผลหนึ่งก็คือว่าเดี๋ยวนี้พอผมโตขึ้น พวกประเทศเจริญผมไม่สนใจ อย่างอเมริกาผมไม่อยากไปผมไม่ชอบ เดี๋ยวนี้ผมหันมาสนใจพวกแอฟริกา อินเดีย ประเทศอาหรับ ความสนใจผมอยู่ตรงนั้น ผมอยากไปดูตรงนั้นมากกว่า"
"คือถ้าเกิดมีซีซั่น 3 สองเส้นที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ก็คืออันนี้ อีกอันหนึ่งก็คือผ่าจีนเข้าทิเบต เนปาล อินเดีย อันนั้นคืออีกเส้นหนึ่งที่สนใจ..."
โดยเจ้าตัวได้บอกถึงจุดเริ่มต้นว่า...
"คือตอนที่ผมออกมาจากวงการเพลงแล้วอยากหาอะไรใหม่ๆ ทำ แต่ไม่รู้จะทำอะไร แล้วบังเอิญวันนั้นมีเวลาว่างไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยขับมอเตอร์ไซค์ไปภูเก็ต แล้วตอนที่ขับไปภูเก็ตเนี่ยผมเองก็ได้เห็นภูเก็ตเพราะว่าผมไม่เคยเที่ยวเมืองไทยมาก่อน ตอนไปมันมีอะไรเยอะเต็มไปหมด เลยตัดสินใจเที่ยว 3 เดือนให้รอบประเทศไทย แต่ในเวลาเดียวกันมันก็คือเวลาทำงาน เลยรู้สึกผิด เลยคิดว่าไปเที่ยวแล้วหาเงินด้วยมันควรทำอย่างไรดีก็เลยคิดทำรายการทีวี"
"โปรเจ็กต์ที่หนึ่งที่ออกมาเมื่อปีก่อนก็ทำออกไปไม่ได้ตั้งความหวัง แต่พอทำไปฟีดแบคมันออกมาดีกว่าที่ผมคิดไว้ แล้วก็คนหลายคนก็เชียร์ให้ทำ ปีที่ 2 เนี่ยจะแตกต่างก็คือปีที่หนึ่งเราอยู่ประเทศไทย 95% ในปีที่2 เราไปอยู่เมืองนอกเสียส่วนใหญ่ อีกอย่างคือตอนที่เราประชุม ปีที่ 1 มันง่ายเกินไป มาปีนี้เราจะให้มันเป็นถนนลูกรังมากกว่านี้ วิบากมากขึ้น"
"ถ้าท่านผู้ชมอยากได้ทางเลือกใหม่ ผมรับประกันว่าไม่มีอย่างเราในทีวี ใครอยากมาดูลิงขี่มอเตอร์ไซค์ ตอนคนถามว่ารายการเราคืออะไร ผมบอกว่ารายการผมคือสารคดีการนำเสนอในรูปแบบเรียลิตี้ เราพยามยามนำเสนอให้สนุกเพราะผมรู้ว่าถ้าเรานำเสนอเป็นสารคดีมันจะน่าเบื่อ แต่ถ้าเกิดเราไปเรียลิตี้เกินไปมันจะไม่มีเนื้อหา"
"เราก็เลยนำ 2 อย่างมาผสมกันแล้วผมก็เชื่อว่าสิ่งที่เราไปเจอมา ผมว่าเราสามารถถ่ายทอดออนร์ได้ครับ แล้วก็ไม่ดึกไป เดี๋ยวนี้น้ำมันแพงนอนดูทีวีอยู่บ้านดีกว่า"
นอกไปจากถนนหนทางจะวิบากขึ้นแล้วในส่วนของคู่หูที่จะเดินทางก็เปลี่ยนไปด้วยจากดารามาเป็นคนธรรมดานั่นก็คือหนุ่ม "หุ่ย ภาณุวัฒน์ ทองปั้น" โดยคุณสุกี้ให้เหตุผลว่าที่เลือกหนุ่มเลยคนนี้ก็เพราะความตรง รวมถึงความแตกต่างในหลายๆ ด้านของการดำเนินชีวิต
"มีสมัครเข้ามา 160 เราก็มีทีมงานคัดเลือกเหลือ 12 คนแล้วผมก็ลงไปคุยเอง ที่เลือกมาคือเขาตรงแบบซื่อๆ คนส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าเคยไปประเทศนั้นประเทศนี้ มีเงินไงครับ หุ่ยเขาคนจังหวัดเลย ผมก็ถามเขาว่าเคยไปต่างประเทศมั้ย เขาก็บอกว่าเคย ผมรอให้น้ำในแม่น้ำโขงมันลงแล้วผมก็ค่อยเดินข้ามไปลาว"
"ผมฟังแล้วผมชอบ..(หัวเราะ) มันตอบแบบซื่อๆ น่ะ ผมถามเขาว่าเคยขับบนลูกรังมั้ย เขาก็บอกว่า บ้านผมมีแต่ลูกรังพี่ ประเด็นคือไม่มีฟอร์ม ไม่มีอะไร เราเลยเลือกเขามาในซีซั่นสองนี้ความผจญภัยมากขึ้น สถานที่ๆ ไกลขึ้น แล้วเราไม่ได้ไปกันแบบนักท่องเที่ยว เราไปกันแบบนักเดินทาง มันไม่เหมือนกัน"
"อย่างตอนที่ผมตัดสินใจทำซีซั่น 1 ผมศึกษา ผมเริ่มดูแล้วก็สังเกตว่ารายการท่องเที่ยวมันเยอะ แล้วผมมองว่าคนอื่นเขาทำกันเหมือนนักท่องเที่ยว สวัสดีครับท่านผู้ชมวันนี้เรามากาญจนบุรีกันนะครับ เราจะมาดู...ผมคิดว่าเราจะมาดูอย่างนี้กันอีกกี่รอบ"
"สิ่งที่ผมกล้าพูดคือไม่มีรายการใครเหมือนเราบนทีวี ณ เวลานี้ ผมรู้เลยว่ามีเราอยู่คนเดียวที่เป็นรายการแบบนี้ มันเป็นการเดินทางอีกแบบหนึ่ง แล้วในหมู่ของพวกเรียลิตี้ ผมกล้าพูดว่าของเราดิบสุด ผมรู้ว่าของคนอื่นจะไม่ดิบเท่าของเรา ผู้กำกับบอกว่าเฮ้ยสุ ล้มให้อีกทีสิ ผมบอกว่าจะบ้าเหรอมันทำไม่ได้หรอก"
"ก็คือว่าถ้าคุณอยากเห็นอะไรที่มันจริง อยากเห็นอะไรที่ถูกนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่ง ผมไม่ได้บอกว่าเราดีกว่าเขาหรือเราแย่กว่าเขา แต่มันเป็นอีกมุมมองหนึ่งแน่นอน อันนี้ผมรู้ชัวร์ๆ ตรงนั้น"
มองผิวเผินดรีมเชสเซอร์อาจจะเป็นเพียงรายการทีวีรายการหนึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่ แต่หากถามความรู้สึกลึกๆ ลงไปในใจของผู้ชายที่เคยเป็นทั้งบริหารค่ายเพลง โปรดิวเซอร์ นักดนตรีคนนี้แล้ว การเอาชีวิตไปเสี่ยงบนพาหนะสองล้อแล่นท่องไปทั่วไทยรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว เขมร เวียดนามนั้น มันทำให้เขาได้รับประสบการณ์อีกมากมายทีเดียว
"บางคนบอกว่ามันอันตรายไปคนเดียว ผมว่าไม่นะ ไปที่ไหนก็มีคนช่วยตลอด ไม่เคยไม่มีคนช่วย ก็เลยทำให้เราศรัทธาคนมากขึ้น ผมเคยทำนานะ เหนื่อยมาก ทำไป10นาที มองหน้าคนกำกับเลย เก็บภาพพอยัง ผมเจ็บผมเหนื่อยน่ะ ผมทำไปผมคิดคือผมโกรธผู้กำกับ อีกอย่างคือสมัยตอนผมอยู่เบเกอร์รี่ เดินสายเล่นดนตรี เหนื่อย ศิลปินบ่นอย่ามาบ่นเลยว่าเหนื่อยลองไปทำนาดิ เขาทำงานทั้งวันเขาได้กี่บาทกัน ไม่มีสิทธิ์บ่น ลองมาทำนาดูมั้ย"
"คือมันต่างกันมันเทียบกันไม่ได้ พอลงมาทำ ผมทำแค่ 50 เมตร ร้อนมากน่ะ แต่ชาวนาเขาทำกันเป็นสิบๆ ไร่น่ะมันก็ต้องไปสัมผัสเอง คนหลายคนไม่มีสิทธิ์เห็น อย่างหนึ่งก็คือว่าตลอดเวลาที่อยู่ประเทศเขา รู้สึกเลยว่าเราโชคดี เพราะประเทศพวกนั้นเขาผ่านศึกสงครามมาเยอะ แล้วยิ่งเขมรยิ่งแบบตายไป 3 ล้านคน ทุกคนที่คุยด้วยคือครอบครัวตายไปครึ่งหนึ่ง ที่ประทับใจคือการที่เขาผ่านสงครามแล้วมาตั้งชีวิตใหม่เนี่ย ผมว่ามันโหดนะ"
ถามถึงอุปสรรค สุกี้บอกว่าโดยทั่วไปจะเป็นเรื่องของการข้ามแดนรวมถึงทางที่วิบากมากขึ้น..."ปีนี้เราข้ามชายแดนกัน 6 ที จริงๆ เราเป็นห่วงเรื่องข้ามชายแดนมากที่สุด เรามีรถ 3 คัน มอเตอร์ไซค์ อุปกรณ์ ผมเลยตัดสินใจจ้างทีมนอก ทีมมืออาชีพให้เขามาดูแลตรงนี้ให้ ซึ่งเขาก็ดูแลได้อย่างไม่มีปัญหา อุปสรรคน่าจะเป็นเส้นเดินทาง เส้นวิบากที่ผมไม่เคยขี่วิบากมาก่อน ผมต้องไปเรียน 1 วันก่อนจะมาถ่ายทำ"
"อย่างมันมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งผมขึ้นไม่ได้ ขับอย่างไรก็ไม่ขึ้น ในที่สุดต้องดันขึ้น เขามันชันมากแล้วมันก็เป็นทราย ล้อมันก็จมๆ แล้วมันเป็นเหว ถ้าตกลงไปก็ตาย ในที่สุดผมเอาขึ้นไม่ไหว ต้องดัน ปกติผมขับลงใต้ขึ้นเชียงใหม่ตลอดวันเดียว 800 กม.เป็นเรื่องปกติ แต่พอผมไปขับวิบาก วันนึงผมขับได้แค่ 80 กม. มันยากกว่าเยอะ มันเทียบกันไม่ได้ ความปลอดภัยมันก็ต่างกัน"
"แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่งมันก็ปลอดภัยกว่า เพราะถ้าคุณขับบนถนนคุณอาจเหยียบกัน 200 แต่ว่าในเวลาเดียวกันเส้นทางมันยากกว่า ผมเคยตกเหวไปครั้งหนึ่งคือผมขับๆ แล้วเริ่มมัน มันก็เริ่มเร็วขึ้นๆๆ แล้วพอเข้าโค้ง มีอันหนึ่งโค้งลงมาจากเขาแล้วเลี้ยว แล้วตอนเลี้ยวผมไปตีรถไม่พอแล้วมันไปเจอทรายอีก ผมก็ล้ม"
"ทุกทีที่ล้มอย่างแรกที่ทำคือเช็คร่างกายก่อน พอลุกขึ้นมาก็โอเคไม่เป็นไรแต่พอผมหันไปดูว่ามอเตอร์ไซค์เราหายไปไหน โอ้โหมันตกลงไปในเหว แต่มันโชคดีตรงที่มันมีกิ่งไม้ไผ่ แล้วรถมันไปติดอยู่ตรงนั้นพอดี ซึ่งถือว่าโชคดีมากเลย"
ในส่วนของเรื่องงานเพลง อดีตมือกีต้าร์ "วงพรู" เผยว่าตอนนี้ยังไม่มีโครงการที่จะทำเลย แต่ถ้าหากจะทำ ก็คงจะเป็นการทำให้กับตัวเองมากกว่า
"ทุกคนถามคำถามนี้หมด ก็ช่วงนี้เลิก ช่วงนี้ผมไม่ได้แตะเพลงเลย 2 ปีที่ผ่านมาไม่ได้หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นเลย คือจะบอกว่าเราจะเลิกไปตลอดกาลอันนี้ตอบไม่ได้หรอก แต่ว่า ณ เวลานี้ไม่ได้ยุ่ง ไม่ได้สัมผัสมันเลย ได้แต่สัมผัสกับมันในฐานะผู้ฟังอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องดี คือสมัยผมทำเพลง พอผมฟังเพลงผมก็ต้องวิเคราะห์มันตลอด ว่ามันเขียนยังไง คอร์ดยังไง เดี๋ยวนี้แนวอะไรฮิต"
"มันไม่สนุกกับการที่เราจะไปวิเคราะห์มัน แต่ตอนนี้เราฟังในฐานะผู้เสพ ผมซิ่งมอเตอร์ไซค์ใส่ไอพ็อด มีความสุขมาก ซึ่งผมว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น มันทำให้เรากลับมาหาเพลงใหม่ คือเราไม่มีจุดประสงค์อะไรกับมัน เราต้องการเสพมันเพื่อความสุขอย่างเดียว แล้วผมว่าบางทีเราต้องกลับไป แบ็ค ทู เบสิค ตั้งแต่ออกจากวงการผมก็ไม่ได้ไปยุ่งกับวงการเพลงเลย"
"ถ้าผมจะกลับมาทำเพลงอีกครั้ง ผมบอกตัวเองอยู่เสมอว่าต่อจากนี้ไปผมจะทำให้ตัวเอง ผมจะไม่ทำให้คนอื่น ผมจะสนองตัวเองไม่สนองตลาด ไม่สนองคนอื่น ถ้าเกิดว่าให้กลับมาทำแล้วคนโน้นอยากได้อย่างนี้ตลาดเป็นอย่างนี้ผมไม่เอา มันผ่านตรงนั้นมาเยอะแล้ว และก็ไม่รู้จะทำไปทำไมถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น"
"ผมเคยดูคุณแม่ผม ผมรู้สึกว่าท่านโชคดีมากเพราะเขาร้องแจ๊ส แล้วเป็นแจ๊สบิ๊กแบนด์ สมัย 70 ปีก่อน แล้วเขาก็ร้องแบบนี้ ให้เขาไปทำอย่างอื่นเขาก็ไม่เอา มันไม่ใช่ธุรกิจของเขา เพราะเงินเขาก็มาจากโรงแรม เพราะผมรู้สึกว่าท่านโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วก็มีคนดู ถึงกลุ่มคนดูจะไม่ถึงกับเยอะเขาก็พอใจแล้ว"
"นักดนตรีที่โชคดีที่สุดคือนักดนตรีที่สามารถเป็นตัวตนได้แล้วยังมีคนดู ผมมองเขาแล้วรู้สึกดี และคิดว่าถ้าผมจะกลับมาทำเพลงอีก ถ้ามันมาเป็นธุรกิจเรามันไม่ง่ายขนาดนั้นยิ่งตลาดบ้านเราเดี๋ยวนี้ผมก็เดาเด็กไม่ออกแล้ว"
การเดินทางไม่ช่วยสร้างจินตนาการเกี่ยวกับการทำงานเพลงเลยหรือ?
"กับงานเพลงนี้ผมไม่รู้นะ แต่ผมเชื่อว่าเมื่อไหร่คุณเดินทางแล้วไปอยู่สถานที่อื่นๆ มันสร้างแรงบันดาลใจให้เรา คือผมไปปี 1 และ 2 ผมรู้สึกมีความสุขมาก เพราะทุกวันมันเปลี่ยน สถานที่มันเปลี่ยนไปทุกวัน สำหรับผมแล้วสมองมันหล่อลื่นมากขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่งสำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นกายภาพบำบัดทางสมอง ผมเชื่อจริงๆ นะ"
"บางคนไปนั่งวิปัสสนาแต่นั่นผมรู้สึกว่าผมทำไม่ได้ แต่ถ้าเกิดให้ผมใส่วอล์คแมนขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับไปไม่รู้จะไปจบตรงไหน มันทำให้สมองผมคิดออกมากขึ้น ปัจจุบันผมก็เป็นนะ ผมกลับไปอยู่กรุงเทพ ตอนนี้ผมกำลังปรับตัวอยู่ บางวันสมองมันไม่วิ่ง บางทีมันคิดไม่ออก บางวันขับไปเขาใหญ่แล้ว 2 ชั่วโมงไป-กลับ แล้วพอมีไอเดียแล้วก็กลับมา"
อนาคตวงพรู จะเป็นอย่างไร?
"ไม่รู้(หัวเราะ) ตอนนี้ไม่มีโครงการ แต่ว่าวงพรูโชคดีนะ เพราะว่าทุกคนในวงมีที่ไปหมด คือบางวงถ้านอกจากทำวงแล้วไม่รู้จะทำอะไร เมื่อนานมาแล้วผมคุยกับน้องว่าวงพรูโชคดีมากเพราะทุกคนมีความสนใจอื่นแล้วมีความสามารถอื่น อย่างน้อย (น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์)ก็ไปเล่นหนัง ไปช่วยคุณแม่ออกแบบโรงแรม ผมก็มาทำตรงนี้"
"หรืออย่างมือกลอง(คณิณญาณ จันทรสมา)ปัจจุบันเขาก็ไปเป็นผู้กำกับอันดับท็อปๆ แล้วอย่างยอด(ยอดเถา ยอดยิ่ง-เบส) เขาก็ไปทำพวกคอมพิวเตอร์ทรานสเลต วงเราเป็นวงที่โชคดี คือไปทางอื่นก็ประสบความสำเร็จเหมือกัน ดีไม่ดีประสบความสำเร็จมากกว่าพรูอีก(หัวเราะ)"
งานเพลงยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับการทำรายการทีวีที่เจ้าตัวบอกว่าขอดูกระแสตอบรับก่อนว่าจะมีซีซั่น 3-4 ต่อไปหรือไม่
"ปี่ที่ 1 เราทำประเทศไทย ปีที่ 2 เราทำลาว เวียดนาม เขมร ปีที่ 3 เราก็ต้องไปไกลขึ้นกลับมาเป็นเมืองไทยไม่ได้ มันจะจ๋อยเลย แต่ถ้าเกิดว่าคุณไปไกลขึ้นมันก็แพงขึ้น ค่าใช้จ่ายมันก็ต้องมากขึ้นโดยปริยาย ผมอยากไปรัสเซีย ถ้าเกิดกระแสนี้ดี ทางช่องเขาแฮปปี้ ผู้สนับสนุนแฮปปี้ เรามีทุนก็คงทำต่อ มันมีอีกหลายประเทศที่ผมอยากไป"
"ที่อยากไปรัสเซียเพราะว่ามันเป็นเส้นที่เป็นไปได้ จริงๆ ที่ๆ ผมอยากไปมากที่สุดคือรอบโลก แต่วันนั้นผมลองคำนวณตัวเลขเล่นๆ ในหัวแล้วประมาณ 40 ล้าน มันเยอะนะ นี่แค่คำนวณในหัวนะยังไม่ได้ลงตัวเลขจริงๆ และมี 2 เหตุผลที่ผมอยากไปรัสเซียฝั่งตะวันออก เพราะมันมีเส้นหนึ่งที่ผมสนใจ ที่เราผ่านประเทศจีนผ่านไปถึงมองโกเลีย ผมสนใจมองโกเลีย"
"หลังจากมองโกเลียแล้วมันจะมีประเทศอุซเบกิสถาน คาซัคสถาน ผมไปดูรูปภาพแล้วมันสวย แล้วพอดูความเป็นไปได้มันก็น่าจะเป็นไปได้ ผมสนใจตรงนั้น แล้วอีกเหตุผลหนึ่งก็คือว่าเดี๋ยวนี้พอผมโตขึ้น พวกประเทศเจริญผมไม่สนใจ อย่างอเมริกาผมไม่อยากไปผมไม่ชอบ เดี๋ยวนี้ผมหันมาสนใจพวกแอฟริกา อินเดีย ประเทศอาหรับ ความสนใจผมอยู่ตรงนั้น ผมอยากไปดูตรงนั้นมากกว่า"
"คือถ้าเกิดมีซีซั่น 3 สองเส้นที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ก็คืออันนี้ อีกอันหนึ่งก็คือผ่าจีนเข้าทิเบต เนปาล อินเดีย อันนั้นคืออีกเส้นหนึ่งที่สนใจ..."