"อ๊อด คีรีบูน" ตาสว่าง หันหนุนพันธมิตร พร้อมเผย อดีตเคยเป็นแกนนำช่วย "ทักษิณ" หาเสียง แฉเหตุกลับใจเพราะอดีตนายกฯขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ แนะคนไทยอย่ายึดติดตัวบุคคล ให้ยึดความถูกต้องเป็นที่ตั้ง แจงขึ้นเวทีพันธมิตรเพราะคารวะความกล้าหาญ ของ "สนธิ" ยกเป็นนักเลงในหัวใจ กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซัด "จักรภพ" จวบจ้วงหลวงตามหาบัวฯ ใส่ร้ายอยากเป็นพระสังฆราชทางลัด
เป็นอีกหนึ่งศิลปิน ที่ตัดสินใจก้าวขึ้นเวทีร่วมกู้ชาติกับกลุ่มพันธมิตรอย่างเปิดเผย สำหรับ "อ๊อด คีรีบูน" หรือ "รณชัย ถมยาปริวัฒน์" นักร้องชื่อดังในอดีตที่ใครหลายคนยังจำกันได้ดี โดยเจ้าตัวเผยว่า รู้สึกคารวะในความกล้าหาญของ "สนธิ ลิ้มทองกุล" หนึ่งในแกนนำฯ ที่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อชาติบ้านเมือง อย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ อีกทั้งทนไม่ไหวที่ "จักรภพ เพ็ญแข" กล่าวหาว่าหลวงตามหาบัวฯอยากเป็นพระสังฆราชทางลัด เป็นเหตุให้ต้องกระโดดขึ้นเวทีพันธมิตรในครั้งนี้ เพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง
นอกจากนี้เจ้าตัวยังยอมรับอีกว่า ในอดีตเคยอยู่ฝั่ง "ทักษิณ ชินวัตร" ซ้ำยังเป็นแกนนำช่วยพรรคไทยรักไทยหาเสียงจนทักษิณได้เป็นนายกฯมาแล้ว พร้อมฝากถึงคนไทย จงอย่ายึดติดในตัวบุคคล เพราะคนดีก็อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นคนเลวได้ ให้ดูที่ความถูกต้องเป็นหลัก ก่อนแนะกลุ่มคนที่ต่อต้านพันธมิตรอย่าปิดหูปิดตา จะได้ตาสว่างเสียทีว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง
“ขึ้นเวทีนี้เป็นครั้งแรกครับ อันดับแรกเลยคือการกล่าวพาดพิงหลวงตาฯของคุณจักรภพ ส่วนตัวผมก็ติดตามพันธมิตรมาเป็นเวลานานแล้วนะครับ โดยเฉพาะพี่สนธิ ครั้งแรกที่เขาจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ แล้วได้พูดถึงสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งผมถือว่าเขากล้ามากเลย"
"ปกติผมเป็นคนที่เก็บตัวแล้วไม่ค่อยเจอใครง่ายๆ สักเท่าไหร่ แต่ครั้งนั้นก็บอกกับเลขาว่า เฮ้ย ผมอยู่ไม่ได้แล้วล่ะ ผมต้องไปขอแสดงความคารวะในหัวจิตหัวใจของพี่สนธิหน่อย ทั้งๆ ที่เขาจะให้ผมพบหรือเขาจะมองผมเป็นแค่นักร้องธรรมดาคนหนึ่ง แต่ช่างมันเถอะ แต่ผมต้องแสดงออก และส่งสัญญาณให้เขารับรู้ว่า พี่กล้ามากครับ นี่คือนักเลงในหัวใจของผม คนอย่างนี้สิที่เราต้องมีอยู่ในแผ่นดิน มีธรรมด้วย และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ยึดถือในสิ่งที่ถูกต้อง ผมว่านี่แหละคือคนที่เราต้องช่วยเหลือเขาด้วย”
“จริงๆ มันก็รวมเรื่องอื่นด้วย ผมไม่เห็นด้วยอยู่แล้วครับ คือทั้งนี้ทั้งนั้นผมว่าคุณทักษิณไม่ต้องไปกลัวอะไร ก็ในเมื่อถูกต้องก็ให้มันดำเนินไป มันสวยกว่า เพราะฉะนั้นการที่จะแก้กฎหมายอย่างนี้ โดยที่เหตุบ้านการเมืองอื่นๆ ข้าวของแพงอื่นๆ ไม่หันมาดู ไม่หันมาให้ความใส่ใจกับมัน ผมคิดว่าคุณไม่มีเหตุผลที่จะรีบไปแก้ เพราะว่าคนที่ได้ประโยชน์ก็คือว่ามันทำให้นักการเมืองทำงานยากหรือมันทำให้โกงยากขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีกับประชาชนนี่ ผมว่าเป็นเรื่องดีออก เพราะฉะนั้นจะไปแก้มันทำไม ทำไมไม่แก้เรื่องปากท้องของประชาชนก่อน ผมเห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรครับ จะแก้มันทำไมมันไม่เห็นเป็นไรเลย คุณทำงานยากขึ้นเท่านั้นเอง มันโกงยากขึ้นไง”
“คือจริงๆ แล้วคนรอบข้างก็ไม่เห็นด้วยทั้งหมด แต่ผมเป็นคนที่ต้องด้วยเหตุและด้วยผลว่าสิ่งที่พันธมิตรเขาพูดมา โดยเฉพาะสิ่งที่พี่สนธิพูดมาโดยตลอด ทางกลุ่มอดีตท่านนายกทักษิณสร้างความชอบธรรมให้พี่สนธิและพันธมิตร โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าเขาสร้างความชอบธรรมให้ ผมยกตัวอย่างเช่น 40 คำถามที่พันธมิตรตั้งไป อดีตท่านนายกทักษิณท่านไม่ตอบ เพราะฉะนั้นมันทำให้ปัญญาชน วิญญูชนอย่างเรามันรู้สึกได้ว่า ต่อไปจะเป็นอะไร เราพูดกันแบบตรงๆ เอาแบบเด็กๆ เลยว่า ถ้าเขาถามมา ตอบไปก็จบ แต่นี่อดีตนายกและคณะรัฐบาลเก่า กลับเฉไฉ”
“แต่มันเป็นการตอบที่ว่า ผมยกตัวอย่างว่าพี่สนธิอุปมาอุปไมย เฮ้...ตะโกนโหวกเหวกโวยวายในหมู่บ้านที่ชื่อว่าประเทศไทย แล้วหลายบ้านหลายช่องก็ตื่นขึ้นมา แล้วรวมถึงตัวพี่สนธิด้วยนะ อะไรคนจะหลับจะนอน มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอะไร นี่คือสิ่งที่คนไทยไม่ชอบการใช้วิวาทะที่รุนแรงว่างั้นเถอะ แต่ต้องแยกแยะ เมื่อเขาตะโกนขึ้นมาแล้วเมื่อเราตื่นขึ้นมา พี่สนธิเขาก็ชี้ให้ดูว่าเนี่ย คนนี้ปีนเข้าไปขโมยของบ้านนะ บ้านหลังนี้ๆๆ นั่นไงไม่เชื่อเหรอ มีรอยเท้าอยู่ด้วยที่ติดอยู่ตามพื้น ฝาผนัง รอยมือก็มี”
“แต่สิ่งที่ท่านทักษิณรวมถึงสิ่งที่คณะรัฐบาลเดิมทำนั่นก็คือว่า ถ้าไม่ใช่ รอยรองเท้านั้นใช่ของผมที่ไหน คุณก็แหงนเท้าให้ดูสิ เอามือให้ดูกันเลย พิสูจน์กันไปเลยก็แค่นั้นเอง ผมว่ามันไม่ยาก แต่เมื่อเขาตั้งคำถามอย่างนั้นกับอดีตนายกและคณะรัฐบาลเก่า กลับเฉไฉไปว่าเนี่ยเขามาดู มาเดินตระเวน ดูแลความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้าน เขาถามว่าคุณขโมยไง แล้วรอยเท้าก็เป็นรอยของคุณ รอยลายมือนั้นเป็นรอยของคุณ ก็ตอบเขาไปเท่านั้นเอง แต่เป็นแบบนี้เท่ากับว่า รัฐบาลกำลังสร้างความชอบธรรมให้กลุ่มพันธมิตรที่ก่อตัวและขยายตัวมากยิ่งขึ้น”
“ฝั่งพันธมิตรเขาชุมนุมด้วยความสงบสันติ เขาตั้งใจจะไปอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เราไปกั้นเขา เมื่อกั้นเขา เขาก็ได้แค่ปักหลักอยู่ตรงนี้ มันก็จะทำอย่างไรได้ล่ะ อันนี้เราต้องเข้าใจที่มาที่ไป ก่อนที่จะมาถึงเลข 10 มันมาเลข 1 ก่อนแล้วมาเลข 2 ถึงมาเลข 3 และลำดับต่อไป เพราะฉะนั้นตรงนี้ผู้ใหญ่ต้องมีสติ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เป็นพลังของภูมิปัญญา ซึ่งมันรู้สึกว่า มีความเหนียวแน่น แน่นแฟ้น แล้วก็มีความสงบสันติอหิงสาด้วยความน่ารักนะครับ แล้วบุคคลที่มาก็โอ้โห อาซ้อ อาซิ้ม เยอะแยะไปหมด บางคนต้องหิ้วปีกกันเข้ามา มันคือการชุมนุมที่เต็มไปด้วยความน่ารัก มันคือภาพของความน่ารัก”
ยอมรับว่ารู้สึกกลัว แต่ก็เลือกที่จะออกมายืนฝั่งพันธมิตร เพราะอยากทำในสิ่งที่ถูกต้อง...
“ถามว่ากลัวมั้ย ผมว่าใครก็ต้องกลัว เพราะว่าผมมีพนักงานที่ผมต้องดูแลเขาอยู่นะครับ เงินทองเราก็ต้องทำมาหากินด้วยความสุจริต แต่พวกเราตอบตัวเราเองได้ว่าวันนี้ ก็เป็นครู เมื่อเราเป็นครูเราจะสอนเด็ก เรายังสอนให้เขาคิดดีทำดีไม่ได้ แล้วเรายังกลัวอย่างนี้แล้วเราจะเป็นครูอยู่ได้อย่างไร ผมคิดอย่างนั้นครับ วันนี้ผมเป็นครู ผมสอนตั้งแต่เด็กวัยอนุบาลขึ้นมา ถึงแม้ผมจะสอนในเรื่องของดนตรีก็เถอะ แต่มันเป็นดนตรีเพื่อพัฒนาอัจฉริยภาพ กระบวนความคิด ความมีเหตุผลลงสู่ตัวเด็ก เพราะฉะนั้นในเมื่อเหตุผลมันเป็นอย่างนี้ ถามว่ากลัวไหม ใครก็ต้องกลัว แต่ไม่รู้สินั่นคือความถูกต้อง”
“สำหรับผม ผมคิดว่าคนเรายุคใหม่ต้องกล้านะครับ อะไรที่ถูกต้องทำเถอะครับ เพราะคนในอดีต บรรพบุรุษเราทำยิ่งกว่าพวกเราอีกครับ นั่นหมายความว่าทุกคนเดินออกจากบ้าน ทุกคนเดินออกจากครอบครัว นั่นหมายถึงว่าจะได้กลับบ้านหรือเปล่ายังไม่รู้ ต้องไปรบราฆ่าฟันกัน เขาหนักกว่าเราไม่รู้กี่เท่า เพราะฉะนั้นวันนี้เราง่ายกว่ายุคนั้นไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า เพราะฉะนั้นผมอยากจะให้ทุกคนอย่าเก็บองค์ความรู้ที่ตัวเองเข้าใจแล้ว แล้วเก็บมันอยู่อย่างนั้น นอนอยู่ในบ้าน นอนดูทีวีเงียบๆ ความรู้นั้นเมื่อรู้แล้วไม่เอาออกมาเผื่อแผ่ ไม่เอามาขยายถามว่าความรู้นั้นถามว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างไร”
“ทางออกน่าจะไปในแนวทางไหนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะว่าผู้ที่ทำผิดได้กระทำผิดแล้ว แล้วมีอำนาจ ถ้าเขายอม นั่นก็หมายความว่าชีวิตเขาต้องลำบากอย่างแสนเข็ญแน่ เพราะฉะนั้นเขาจึงหัวชนฝาก็ยอมไม่ได้ แต่ฝ่ายพันธมิตรซึ่งเอาธรรมนำหน้าก็มองเห็นอยู่ว่าความถูกต้องถ้ามองโดยสายตาที่เป็นธรรม มองด้วยธรรมแล้วเนี่ยมันควรจะกระทำหรือปฏิบัติอย่างไรในการปกครองประเทศ เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นการที่ ต้องบอกว่าเป็นการประกาศที่ค่อนข้างดุเดือดพอสมควรแต่ก็ขอให้กลุ่มพี่น้องพันธมิตรชุมนุมกันด้วยความน่ารักอย่างนี้โดยตลอดไป เป็นความสงบอหิงสาอย่างนี้ตลอดไป นี่คือเวทีแห่งปัญญาครับ”
“การที่มีบางคนบอกว่าพันธมิตรสร้างความวุ่นวาย ผมว่าอันนี้เราต้องเสียสละนะครับ ถามว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นใคร ทำคุณูปการแก่ประเทศชาติขนาดไหน แล้วทำไมวันนี้พระเจ้าอยู่หัวเราโดนกระทำขนาดนี้ หลวงตามหาบัวเป็นใครยังมีคนบอกว่าท่านทำคุณูปการอย่างมหาศาล อย่างนี้ก็สึกออกมาเลยดีกว่า มาเล่นการเมืองในยุคนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วถามว่าผมเป็นใคร เพราะฉะนั้นการที่ผมมาขึ้นเวทีพันธมิตรแห่งนี้ ผมรู้สภาพดีแล้วว่าผมคงต้องเจออะไรบ้างนะครับ แต่ก็อยากจะให้กำลังใจเขา ตอนนี้คิดอยากแต่งเพลงให้กับ 5 พันธมิตรด้วยซ้ำ ผมว่าเขาเป็นบุคคลที่เสียสละอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศชาติครับ”
“คิดว่าจะพยายามมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตอนนี้งานสอนดนตรีของผมกำลังเดินหน้า ถ้าทิ้งมาอาจจะทำงานกันลำบาก แต่จริงๆ แล้วบอกได้เลยว่า หัวจิตและหัวใจที่ให้กำลังใจพันธมิตรมีมาโดยตลอดเลย และก็คอยสอบถามครูบาอาจารย์ พระกรรมฐานมาโดยตลอดว่าเป็นยังไง แล้วพี่สนธิใครดูแลเขายังไง พี่สนธิปลอดภัยนะ หรืออะไรอย่างนี้นะครับ ก็จะสอบถามกันโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นสรุปก็คือว่าอยากมานะครับ อยากมาอยู่เรื่อยๆ”
บอกอยากให้คนไทยอย่าปิดหูปิดตา แล้วจะรู้ว่าใครผิดใครถูก ให้ดูตัวอย่างของตน ที่อดีตก็เคยเกณฑ์ญาติพี่น้องไปลงคะแนนเสียงเลือกพรรคไทยรักไทย จน “ทักษิณ” ได้เป็นนายกฯ แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะอดีตรัฐบาลบริหารประเทศโดยขาดความชอบธรรม
“ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนที่อาจจะยังไม่เคยได้เห็นข้อมูลของกลุ่มพันธมิตร ผมมีวิธีคิดอย่างนี้ครับว่า การที่เราจะสรุปว่าใครถูกใครผิด เราต้องใช้ปัจจัยเท่าๆ กัน นั่นหมายความว่าคุณฟังความฟากไหน คุณมีโอกาสฟังความอีกฟากหนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าคุณฟังแล้ว ตรงนั้นมันจะทำให้คุณเกิดการพิจารณาตรึกตรองด้วยความสำนึกของคุณ”
“แต่หลายคนมักจะติดยึดในตัวบุคคล ซึ่งผมเรียนได้เลยว่า อดีตผมก็เช่นเดียวกัน ไทยรักไทยผมก็เป็นหนึ่งในแกนนำ ที่พยายามระดมเพื่อหาคะแนนเสียงไปให้กับไทยรักไทย นั่นหมายถึงว่าญาติพี่น้องเพื่อนฝูงหรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นในสมัยที่หนึ่งนะครับ แต่สมัยที่สองผมเริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่ามันมีบางอย่างที่มันไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นผมเปลี่ยนได้ เราต้องเปลี่ยนได้ ไม่ใช่ติดยึดอยู่ในตัวบุคคล แต่เราต้องติดยึดอยู่ในความถูกต้องต่างหาก”
“ผมเคยสนับสนุนเขามาก่อน เพราะครั้งนั้นพรรคประชาธิปัตย์พยายามที่จะรวมบัญชี ซึ่งองค์หลวงตาท่านปรามว่าอย่าแตะ มันอันตราย พระ ญาณท่านไม่ธรรมดาครับ หลวงตาท่านเป็นพระอริยเจ้า เพราะฉะนั้นเรายังไม่เข้าใจในวิถีปัญญาของท่าน แต่ผมรับใช้ครูบาอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ผมเข้าใจปฏิปทา ทำให้ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าประชาธิปัตย์ยังดื้อขนาดนี้ การเลือกตั้งครั้งใหม่เราต้องช่วยไทยรักไทยให้มากที่สุด นั่นคือที่มาที่ไปในการที่เราไปช่วยไทยรักไทย เพราะเขารับปากหลวงตาว่าเขาจะไม่แตะต้องเงินคลังหลวง แต่พอครั้งที่สองไม่ไงครับ"
"ผมอยากให้พี่น้องคนไทยของเราไม่ว่าคุณเป็นแฟนใคร อย่าไปยึดตรงนั้น ดูเหตุและผลเฉพาะหน้า มองเหตุการณ์ในอดีตเป็นองค์ประกอบ และดูเหตุและผลตรงหน้าด้วย และพิจารณาไตร่ตรองดูว่าอะไรมันสมควร"
“ผมไม่ได้รู้สึกผิดหวังที่เคยเลือกเขา ผมว่าอดีตนายกทักษิณ ก็อาจจะโดนคนรอบข้างทำให้ท่านเกิดมิจฉาทิฐิทางการเมืองขึ้นมาหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ เอาอย่างนี้ถ้าพูดให้เป็นธรรม แม้แต่คนที่ขึ้นเวทีพันธมิตรในครั้งนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรถ้าวันหนึ่งเขามีอำนาจในการที่จะปกครองบ้านเมือง คนที่เป็นพันธมิตรในวันนี้ก็อาจจะเป็นอื่นก็ได้ เพราะอะไร เพราะกิเลส ถ้าคนเราเอาชนะกิเลสตัวเองได้นั่นแหละถึงจะเป็นคนที่มีธรรม”
“เพราะฉะนั้นผมก็ตอบเฉพาะหน้าพันธมิตรตรงนี้ว่า ทำในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลอยู่แล้วครับ ผมว่ามันถูกต้อง จะบอกว่าพันธมิตรในวันนี้ถูกต้องทั้งหมด แล้วคนเหล่านี้เป็นคนดีเหลือเกิน แล้ววันนึงมีโอกาสเข้าสู่ในเส้นสายทางการเมือง และเขาจะไม่เปลี่ยน มันไม่ใช่ เอาอะไรมายืนยัน เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราทุกคน คนที่ยืนอยู่คนละฝั่งกับพันธมิตรก็ดีหรือคนในฝั่งพันธมิตรก็ดี เรายึดอยู่ในเหตุและผลเป็นหลัก ผมว่าตรงนี้จะทำให้เรามีจุดยืน”
“การต่อสู้ครั้งนี้จะชนะไหม คนที่จะตัดสินผมว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ต้องเอาธรรมนำหน้าไปพร้อมๆ กับพันธมิตรด้วยเช่นกัน แล้วผมคิดว่าชัยชนะตรงนั้นมันจะเป็นชัยชนะไม่ใช่ของพันธมิตร แต่มันจะเป็นชัยชนะของประชาชนทุกๆ คน มันจะเป็นสังคมที่กลับมาน่าอยู่อีกครั้ง จะมีความเสนอภาคและเท่าเทียม ในการที่จะอยู่ร่วมกัน ในการที่จะทำมาหากินจะแบ่งการทำมาหากินร่วมกันผมว่าถ้าเราใช้ธรรมนำอย่างที่พี่สนธิว่า ผมว่าสำเร็จ”