“เมียเก่ากัปตันหนิง” ในละคร “สงครามนางฟ้า” โวย “แอร์กี่” เจ้าของบทประพันธ์ อ้างเนื้อหาในนิยายบิดเบือน ฉะโกหกเขียนเรื่องให้ตัวเองดูดีป้ายสีคนอื่น แฉแอร์กี่เคยไปกรีดข้อมือประชดกัปตันหนิงถึงหน้าบ้าน เปิดปากเล่าเรื่องราวชิงรักหักสวาทแบบหมดเปลือก
ถึงแม้ละคร “สงครามนางฟ้า” จะลาจอไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่า “สงครามนอกจอ” นั้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อจู่ๆ “พันโททันตแพทย์หญิงอังศิกา กุศลาสัย” ก็ออกมาเปิดเผยว่า ตนเองคือ “คุณอร” ภรรยาคนแรกของ “กัปตันหนิง” หนึ่งในตัวละครเรื่องดังกล่าว
พร้อมทั้งเปิดโปงว่า นิยายชื่อดังที่ “แอร์กี่” เขียนและให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเรื่องจริงนั้น แท้จริงแล้วมีความจริงแค่บางส่วน ซ้ำยังแฉแหลกว่าตัวละครที่ชื่อ “ริน” ที่แอร์กี่เขียนขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของตัวเอง และโดนทำร้ายราวีตลอดเวลานั้น เป็นคนแย่งสามีทันตแพทย์หญิงอังศิกา แถมยังมีพฤติกรรมรุนแรงบุกเข้ามาถึงหน้าบ้าน เพื่อกรีดข้อมือเรียกร้องความสนใจจากสามีของทันตแพทย์หญิงอังศิกา
เท่านั้นไม่พอ ยังจับผิดข้อเขียนของแอร์กี่ ชนิดเรื่องไหน “จริง” เรื่องไหน “โกหก” แบบ “ช็อต” ต่อ “ช็อต” เกทับบลัฟแหลกขนาดนี้ ขอบอกว่ามันยกร่อง
“ที่ต้องออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ เป็นเพราะว่าตอนนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องจากนิยายเรื่องนี้ ซึ่งมีตัวละครหลายคนอย่าง ลูกสาว(น้องหนอน) กับอดีตสามี(กัปตัน หนิง) และภรรยาใหม่ (เชอรี่) รวมทั้งตัวเราเองก็ด้วยเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากนิยายเรื่องนี้อย่างมาก เนื่องจากแอร์กี่ออกมาเปิดเผยตัวและให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอยู่ตลอดว่านิยายเรื่องนี้มาจากชีวิตจริงเรื่องจริง ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย แต่กลายเป็นเขานั่นล่ะที่เดินเข้ามาในชีวิตเราทำให้ครอบครัวเราพังทลาย แล้วยังพยายามสร้างเรื่องให้ตัวเขาเป็นนางเอ๊กนางเอกไม่เคยทำผิด มีแต่คนรอบข้างทำร้ายทำให้เขามีชีวิตรันทด”
“เพียงแค่เริ่มต้นเรื่องที่เขาเขียนก็ไม่เป็นความจริงแล้ว ทางแอร์กี่ได้เขียนไว้ว่ากัปตันหนิงเป็นพ่อหม้ายลูกติดหนึ่งคน แต่งงานกับคุณอรภรรยาเก่าเพราะถูกคลุมถุงชนไม่ได้รักกัน ซึ่งความจริงแล้วเรารักกันมาก และไม่ได้ถูกคลุมถุงชน เรารักกันมาสิบกว่าปีตั้งแต่สมัยเรียน พอเรียนจบก็ได้แต่งงานกัน และไม่ได้มีลูกด้วยกันแค่คนเดียวเหมือนที่แอร์กี่เขียน หากแต่มีสองคน”
“แต่แต่งงานกันได้เพียงแค่ 5 ปี ชีวิตสมรสก็พังทลาย เนื่องจากเขานั่นล่ะที่พยายามเข้ามาในชีวิต ซึ่งตอนแรกๆ จะมาในลักษณะเป็นเพื่อนพร้อมกับอีกหลายคน ไปมาหาสู่กันเป็นปี รู้จักกับลูกของเรา ตอนลูกคนเล็กก็มีของขวัญมาอวยพร แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความสัมพันธ์ลับๆ กับสามีเราไปด้วย โดยที่เราไม่รู้เลยในตอนแรก”
“จนกระทั่งมันเริ่มมีอะไรที่น่าสงสัยหลายอย่าง เช่น กัปตันลงมาจากบินแล้วไม่กลับบ้าน ผิดนัดกับครอบครัวบ่อยครั้ง ที่สำคัญมีเพื่อนมาเตือนว่าให้ระวังความสัมพันธ์เขาสองคนมันไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างที่คิดแล้ว เพราะเห็นสองคนนี้บินไปต่างประเทศด้วยกันบ่อยๆ ทั้งภารกิจในอาชีพและนอกเหนือจากเวลาบิน เราเองก็เคยเป็นแอร์โฮสเตสรุ่นพี่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บินแล้ว แต่ก็พอมีคนรู้จักมาเล่าให้ฟัง นึกไม่ออกว่ามาทำกับเราแบบนี้ได้ยังไง”
“มีอยู่ครั้งหนึ่งสืบทราบมาว่าเขาย้ายสเก็ตการบินตามกันไป เลยไปดักรอรับมาทั้งคู่เพื่อมาเจรจาหาข้อตกลงกันที่บ้าน ก็บอกกับริน(แอร์กี่)ว่าที่เรียกเธอมาในวันนี้ เพราะอยากให้มาฟังผู้ชายคนนี้พูดต่อหน้าเราทั้งสองคน ที่ผ่านมาพอเขาอยู่กับเราจะพูดว่า เธอให้ท่าเป็นฝ่ายมาตามตื้อ แต่พอมาอยู่กับรินเขาก็คงจะพูดอีกอย่างหนึ่ง นี่คือสันดานผู้ชายฉะนั้นวันนี้มาฟังให้พร้อมกันว่า เขาจะอยู่กับใคร”
“ถ้าเขาเลือกเธอพี่จะยอมเลิก จากนั้นหันไปถามกัปตันหนิงตกลงว่าไง เขาเงียบไปสักพักแล้วบอกว่า รินต้องเข้าใจพี่นะยังไงพี่ต้องเลือกอร เพราะเรามีลูกด้วยกันและเขาไม่มีความผิดอะไร พอกัปตันหนิงพูดจบเราบอกว่าได้ยินแล้วนะริน เธอยังสาวยังสวยมีอนาคตที่ดีอย่ามาฝากอนาคตไว้กับผู้ชายที่มีลูกมีเมียแล้วมันไม่ดีหรอก ไปหาสามีที่เป็นหนุ่มโสดไม่มีพันธะจะดีกว่า”
“จากนั้นมาไม่รู้ว่าเขาไปง้องอนกันยังไงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังคงเหมือนเดิมไม่ได้เลิกรากัน เรารู้สึกเสียใจรับสภาพนี้ไม่ไหวมันเหมือนเป็นโรคเรื้อรัง ทางตัวรินก็เริ่มเข้ามาแทรกแซงชีวิตครอบครัวเราตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่กัปตันเขาเริ่มคิดได้ และพยามตีตัวออกห่างไม่ไปมาหาสู่ริน จนกระทั่งรินเป็นฝ่ายมาหาเขาที่หน้าบ้าน กัปตันก็ออกไปพบ สักพักหนึ่งเขาก็วิ่งเข้ามาในบ้านพร้อมกับเสื้อเปื้อนเลือด และบอกว่าให้ไปช่วยกันหน่อยรินมากรีดข้อมืออยู่ที่หน้าบ้าน”
“ภาพที่เราเห็นคือ เขากอดสามีเราแล้วร้องห่มร้องไห้ร้องไห้ เรารู้สึกว่ามันทุเรศทุรังทำไมต้องเป็นแบบนี้ จากนั้นมารู้สึกแย่และกลัวผู้หญิงคนนี้ เขาเป็นคนรุนแรง นอกจากนี้เขายังเคยขู่มาทางกัปตันบอกว่า ถ้าทิ้งเขาจะทำให้ชีวิตกัปตันมีแต่ความไม่ดี รวมทั้งจะทำร้ายเราด้วย ถ้าเขาไม่ได้อย่าหวังว่าใครจะเป็นสุข ช่วงนั้นก็จะมีโทรศัพท์แปลกๆ โทรมาที่บ้านแล้วไม่พูด ทำให้รู้สึกกลัวมาก บางทีมีผู้ชายโทรศัพท์มาบอกว่า ระวังให้ดีนะทั้งแม่ทั้งลูก”
“กัปตันเองก็เป็นคนใจอ่อนแก้ปัญหาชีวิตอะไรไม่ได้ ทำให้เรารู้สึกเบื่อไม่อยากจะทน ถ้าหย่ากันก็ไม่เดือดร้อนเราเองก็พอมีอาชีพที่จะหาเลี้ยงตัวเองได้ ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็มีทรัพย์สินที่เป็นหลักเป็นฐานพอควร สุดท้ายก็เลยตัดสินใจขอหย่า”
“แรกๆ เขาก็ไม่ยอมหย่าต้องใช้วิธีขอร้องอ้อนวอนอยู่นาน ในการหย่าเขามีข้อตกลงขอแบ่งลูกไปเลี้ยงหนึ่งคน ส่วนบ้านที่เป็นเรือนหอที่คุณแม่กัปตันหนิงให้ที่ดินมา แต่เราเป็นคนสร้างบ้านกัปตันหนิงยกให้โดยใส่ชื่อร่วมกับลูกสาวเป็นเจ้าของ แต่บ้านหลังนี้ยังเหลือหนี้อยู่สามแสน เราผ่อนจ่ายคนเดียว โดยที่ไม่ได้เรียกร้องค่าเลี้ยงดู เพราะก็รู้ว่ากัปตันไม่ได้มีเงินมากมาย เพิ่งเข้าสายการบินได้ไม่นานตำแหน่งยังไม่ใหญ่โต”
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการธรรมาภิวัตน์
( 56 k ) | ( 256 K )
“ทางด้านกัปตันเองก็ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรให้ แค่รับผิดชอบลูกสาวอีกคน(น้องหนอน)ที่อยู่กับเขาก็พอ เพราะเราไม่อยากที่จะไปอ้าแขนรอรับเงินเขา ตั้งใจว่าจะตัดขาดจากผู้ชายคนนี้ไปเลย เหลือแค่การเจอหน้าทักทายก็พอ”
“แต่ในนิยายแอร์กี่กลับเอาไปเขียนว่า เราทิ้งลูกไว้ให้เขาเลี้ยง ซึ่งความจริงเราไม่ได้ทิ้งลูก มันเป็นข้อตกลงในเรื่องการหย่า เราเองก็เห็นว่าบ้านเราและบ้านเขาอยู่ใกล้กัน ห่างกันแค่ถนนซอยกั้น โดยหลักแล้วคุณแม่ของกัปตันเป็นคนเลี้ยงหลาน เวลาที่เขาไปบินลูกก็สามารถมาอยู่มาค้างกับเราได้ จึงยอมตกลง ขอยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งลูกอย่างที่แอร์กี่เขียน”
“หลังจากหย่ากันกัปตันหนิงก็ใช้ชีวิตโสดประมาณ 3-4 ปี เขาก็มีแฟนอีกหลายคนในบริษัทการบินเดียวกันนั่นแหละ รวมทั้งเชอรี่และรินที่คบควบคู่กันมา จนกระทั่งรินท้องเขาก็เลยต้องจดทะเบียนกับริน แต่ไม่มีการแต่งงานหรือหมั้นเหมือนที่เขาเขียนในนิยาย”
“เท่านั้นไม่พอในนิยายเขายังบอกอีกว่า น้องหนอนลูกสาวเรามีบุคลิกเป็นคนเกเรหน้าตาแปลกๆ ประหลาด คือเขาใส่ร้ายถ้าหน้าตาประหลาดจะเป็นแอโฮสเตสได้ยังไง การบินเขาคัดหน้าตาอยู่แล้ว บอกว่าลูกเราไปเต้นอาละวาดฉีกหน้าเขากลางงาน เขาได้แต่งงานกันที่ไหน มันไม่มีงานแต่งแล้วลูกเราจะไปเต้นอย่างนั้นได้อย่างไร “
“ฉะนั้นเมื่อไม่มีงานแต่งงานก็ย่อมแปลว่า เรื่องที่เขาเขียนถึงความไม่ดีของคุณแม่กัปตันในนิยาย ย่อมไม่เป็นความจริงด้วย เช่นการทวงแหวนหมั้นคืน และการที่รินต้องให้แม่ของตัวเองมาออกเงินเองก็ไม่เป็นความจริง ถ้าเกิดแต่งกันจริงก็ให้เอารูปมาโชว์สิ”
“พอจดทะเบียนเสร็จรินก็ย้ายเข้าไปอยู่บ้านกับกัปตันอยู่ได้ไม่นานได้ข่าวว่าเขาวิวาทกันระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกัน แต่รู้ว่ากัปตันและรินออกไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆ คู่นี้เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนั้นกัปตันหนิงก็ไม่ได้คบรินคนเดียว เขามีผู้หญิงอีกหลายคน และหนึ่งในนั้นคือ เชอรี่ ซึ่งเรารู้จักกับเขาทั้งสองคน”
“ไม่ว่าสามีเก่าไปคบใครแต่งงานกับใครเราก็เป็นเพื่อนได้ตลอด แม้แต่รินตอนที่ยังเป็นภรรยากัปตันหนิงอยู่ตอนนั้น เวลาที่ลูกสาวคนเล็กที่อยู่กับเรากลับมาจากเมืองนอกก็จะพาไปเจอพ่อเขาทุกครั้ง เราก็จะไปทานข้าวพร้อมๆ กันทั้งกัปตันหนิง ริน และลูกๆ เราเองก็ไม่เคยไปคิดโกรธแค้น รู้สึกสงสารเขาด้วยซ้ำ เพราะรู้อยู่ว่าสามีเก่าเป็นคนใจอ่อน”
“ส่วนรินกับเชอรี่ น่าจะเป็นแบบว่าชิงรักหักสวาท มันเหมือนเขาคบซ้อนกันมาตลอด มีตอนหนึ่งที่แอร์กี่เขียนว่า มีกระดาษโน้ตด่าด้วยคำหยาบคายในบ็อกซ์ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ สุดท้ายก็มารู้ว่าเชอรี่เป็นคนทำนั้น ตรงนี้ได้มีโอกาสไปคุยกับเชอรี่ พยายามเอาข้อมูลในนิยายไปถาม เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายทำ กลับกันตัวรินนั่นแหละที่เป็นคนมาเขียนด่าเขา แต่เรื่องนี้มันเกิดมานานมากแล้ว และเป็นจดหมายที่เขียนด่า เชอรี่เลยไม่ได้เก็บหลักฐานเอาไว้”
“นอกจากนี้แอร์กี่ยังเขียนไว้ในหนังสืออีกว่า เชอรี่มักชอบขับรถสะกดรอยตามกัปตันหนิงและตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่เรื่องจริงทางฝ่ายกัปตันหนิงและเชอรี่ยืนยันว่า เป็นรินต่างหากที่ชอบขับรถตามเขาสองคน พร้อมทั้งอาละวาดอีกด้วย เรื่องทั้งหมดมันตรงกันข้ามเหมือนกับว่า ในหนังสือเขาเขียนโยนพฤติกรรมไม่ดีที่เขาเคยทำให้เป็นคนอื่นทำซะ”
“อย่างกรณีของเราก็เหมือนกัน เขาเอาไปเขียนในนิยายว่า ในระยะที่มีปัญหากับเชอรี่นั้น มีคอลัมน์คัทลียาซุบซิบ เอาข่าวไปลงว่า เชอรี่ทำให้ครอบครัวเขาแตกร้าว แต่เรื่องจริงๆ ก็คือคอลัมน์คัทลียาเขียนถึงเรา โดยเขาได้เขียนว่า หลังจากที่รินกำลังจะทำให้ครอบครัวของกัปตันอินและภรรยามีปัญหาไปแล้วครั้งหนึ่ง รินกำลังจะเริ่มมาทำกับครอบครัวของกัปตันหนิง เรื่องนี้จำได้แม่นเลย เพราะเคยตัดข่าวเก็บไว้ด้วย เหตุการณ์นี้เขาก็ขโมยซีนเอาไปเป็นเรื่องของเขา พฤติกรรมที่เขาเคยทำกับเชอรี่หรือทำกับเรา พอเขาเอาไปเขียนเป็นนิยายกลับกลายเป็นว่าคนอื่นไปทำเขา”
“ทำไมเขากล้าที่จะสร้างเรื่องโกหกได้ขนาดนี้ นี่ขนาดยังมีบุคคลที่รู้เรื่องนี้อยู่เป็นพยานหลักฐานยังกล้าที่จะทำ แล้วกับเรื่องอื่นที่ไม่มีหลักฐานล่ะทำไมจะไม่กล้า ลูกสาว (น้องหนอน) เล่าให้ฟังว่ารินเคยมาอาละวาดโยนหินใส่กระจกบ้านคุณย่าและทำแจกันแตก เพราะโกรธที่พ่อ(กัปตันหนิง) หลบมาอยู่ที่นี่”
“นอกจากนี้ยังมีหลานในบ้านเห็นว่า รินเป็นคนเอาหินมาทุ่มกระจกรถของเชอรี่ถึงในบ้านของคุณแม่กัปตันด้วย แต่ในหนังสือเขากลับเอาไปเขียนว่า เชอรี่เป็นคนทำรถริน แถมยังบอกอีกว่า แจ้งความแจ้งประกันไว้ด้วย ซึ่งถ้าเรื่องที่เขาเขียนเป็นเรื่องจริงก็น่าจะมีหลักฐานมายืนยัน แต่สำหรับเชอรี่เขามีพยานบุคคลที่จะมายืนยันอยู่แล้ว”
“ดังนั้นเราถึงต้องออกมาปรากฏตัวเปิดเผยความจริงกับสื่อบ้าง ถ้ามันเป็นนิยายเราไม่แคร์หรอกเพราะนิยายมันก็คือนิยาย ถึงแม้ว่าเขาจะหมายถึงพวกเราก็ตาม แต่นี่มันไม่ใช่ เขาพยายามออกมายืนยันและให้สัมภาษณ์ทุกวันว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด คนก็เริ่มสนใจและอยากที่จะสืบค้นแล้วว่า พวกเลวๆ นี่เป็นใครกันบ้างที่มารังแกริน เมื่อเป็นอย่างนี้มันไม่ใช่ละครแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าสงสารสำหรับคนที่เขาถูกใส่ร้ายป้ายสี มันเป็นความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง”
“ฉะนั้นเราต้องออกมาพูดว่านิยายเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าเขาไม่ยอมรับก็คงต้องเอาหลักฐานมายืนยันกันว่า เธอโกหกตรงไหนบ้าง จุดสำคัญจะชี้เป็นชี้ตายได้ว่า บุคลิกจริงๆ ของเขาเป็นคนแบบไหนคือ เขามักจะไปบอกคนอื่นเสมอๆ ว่าไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักภรรยาเก่ากัปตันหนิง ถามหน่อยถ้าไม่รู้จัก แล้วทำไมมีรูปเขาไปร่วมงานวันเกิดของเราล่ะ”
“แค่เขาเริ่มต้นงานเขียนเขาก็บิดเบือนจากความจริงอย่างมาก ถ้าใครๆ รู้ว่าเขาเคยทำอะไรไว้กับเรา ชีวิตรันทดทุกวันนี้ที่เขาได้รับ มันก็คงเป็นเรื่องของเวรกรรมที่เขาสมควรจะได้รับมัน”
“ถ้าให้วิเคราะห์ที่เขาต้องออกมาเขียนหนังสือใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นแบบนี้ คงเป็นเพราะความคับแค้นใจ รินเข้ามาในชีวิตกัปตันหนิงพร้อมๆ กับ เชอรี่ เหมือนแข่งขันกันมาตลอด แต่ตัวรินไม่เคยผ่านการแต่งงาน เหมือนอย่างที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันให้เป็นเกียรติแก่ครอบครัว แต่กับเชอรี่กัปตันจัดงานแต่งงานให้อย่างออกนอกหน้า”
“รินกับกัปตันหนิงจดทะเบียนใหม่และหย่ากันสามรอบ เป็นเพราะว่ารินเขามาอ้อนวอนให้เห็นแก่ลูก แต่ในละครเขากลับเอาไปเขียนว่ากัปตันมาอ้อนวอนเขา รูปการมันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะหย่ากันจริงๆ ในขั้นสุดท้ายกัปตันหนิงมีข้อผูกพันกับรินมากที่จะต้องส่งเสียเลี้ยงดูให้เดือนละแสน และส่งให้ลูกๆอีกคนละสองหมื่นกว่าบาท ไม่นับค่าเล่าเรียนด้วยเพราะถูกเรียกร้อง อ่านแค่นี้ก็รู้แล้วว่าใครขอหย่ากับใคร”
“กัปตันหนิงเล่าให้ฟังถึงเรื่องจุดแตกหักที่ต้องหย่ากับรินจริงๆ แบบไม่มีรอบที่ 4 เพราะว่า มีครั้งหนึ่งรินโมโหบวกกับอารมณ์หึงเลยยิงกัปตัน แต่ยังไม่โดนอะไรเพราะเขาเซฟกระสุนปืนไว้หนึ่งนัดตามธรรมเนียมของทหาร พอยิงลูกแรกดังแชะลูกที่สองกัปตันโดดหลบทันกระสุนถากไปโดนประตูเศษไม้กระเด็นมาโดนหน้ากัปตันหนิงเลือดออกเป็นรอยแผล เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขากลัวและโกรธมาก และบอกกับรินว่า จำไว้นะให้ถือว่าเธอยิงฉันตายไปจากชีวิตเธอแล้ว และมีการเรียกร้องขอหย่า”
“ปัจจุบันกัปตันหนิงกับรินหย่ากันมา 10 ปีแล้ว และกัปตันหนิงพึ่งจะมาแต่งงานใหม่กับเชอรี่เมื่อ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ก็มีลูกชายด้วยกันอายุขวบกว่าๆ”
“ในฐานะที่รู้จักกับทั้ง 3 คน ถ้าถามว่าตัวตนจริงๆ เขาเป็นอย่างไรบอกได้เลยว่า กัปตันเป็นคนใจอ่อนไม่มีวินัยถูกตามใจจากครอบครัวตั้งแต่เล็ก ทำให้เขานึกถึงจิตใจคนอื่นน้อย เขาจะเอาจิตใจผู้ชายไปวัดกับผู้หญิงไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบส่งเสียในการเลี้ยงดูลูกๆ ได้ดีมาก”
“ส่วนเรื่องเจ้าชู้ก็คงเจ้าชู้บ้าง แต่อาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมและหน้าที่การทำงานมากกว่า การที่ได้พบกับสาวๆ สวยๆ เปลี่ยนรุ่นมาใหม่ๆ มาตลอด ถ้าคนที่ไม่มีวินัยจิตใจไม่เข้มแข็งก็จะฝ่าไปได้ยาก”
“สำหรับรินถ้าเขาไม่เขียนนิยายเรื่องนี้คงสงสารเขามาก เพราะเขาเป็นผู้หญิงที่ยึดความรักเป็นสรณะ ทำใจไม่ได้ชอบเอาชนะไม่ว่าจะผิดหรือถูก เคยอโหสิให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนกันได้ แต่พอเขามาเขียนหนังสือทำให้เรารู้สึกว่า เขาไม่ได้รู้สึกถึงบาปบุญคุณโทษเลย ทั้งที่เขาเคยพูดกับเพื่อนเราที่ยังบินอยู่ว่า เขาอยากเจอเราจังเลยอยากมาขออโหสิที่เขาได้ทำกับเราไว้”
“ส่วนเชอรี่เขาจะเป็นคนตรงๆ ไม่ค่อยกลัวใคร ครั้งหนึ่งตอนที่บินมาจากยุโรปเป็นเราผู้โดยสาร ลูกเรือที่บินอยู่จะรู้จักเรา คงมีใครไปบอกเขาว่าเป็นภรรยาเก่าของกัปตันหนิง เขาก็มาแนะนำตัวกับเราว่าเขาชื่อเชอรี่มีเรื่องอยู่กับริน เขาร้ายจริงๆ เราฟังหูไว้หูไม่รู้ว่าใครร้ายใครดี”
ในละคร “ริน” สวมบทนางเอกที่น่าสงสาร แต่ในชีวิตจริงนั้นทันตแพทย์หญิงอังศิกาบอกว่า.......
“เขาไม่ใช่นางเอก เป็นนางร้ายที่ร้ายสุดๆ การที่คนๆ หนึ่งสามารถแต่งเรื่องโกหกพลิกดำให้เป็นขาวเอาความดีเข้าแต่ตัวเอง อยากบอกกับคนที่เขียนนิยายเรื่องนี้ว่า ทำไมถึงโกหกตัวเองได้ ทำไมถึงไม่ยอมรับว่า มันเป็นกฎแห่งกรรมที่ตัวเองควรจะได้รับ ยังมาสร้างกรรมอย่างต่อเนื่องไม่คิดเหรอว่าวันหนึ่งมันจะสนองมากกว่านี้”
“ก็อยากฝากถึงคนอ่านนิยายหรือคนดูละครเรื่องนี้ว่า ทำไมถึงคิดไปได้ว่า จะมีคนร้ายๆ อยู่รอบข้างนางเอกแล้วเชื่อเขาไปซะสนิท สานกรรมต่อเนื่องจากคนเขียน ใฝ่หาอยากรู้ว่าเขาเป็นใครในเรื่องจริง เมื่อรู้แล้วก็ยังไม่พอมีการฟอร์เวิร์ดต่อๆ กันไปอีก หรือนำมาล้อเลียนเขาเวลาไปเจอ พยายามทำให้เขาอับอาย ตัวเองอาจสนุกแต่คนที่เขาโดนกระทำนั้นไม่สนุกด้วย”
“ทุกคนได้รับผลกระทบหมด กับเราเองเพื่อนๆ ก็จะมาถามว่าเฮ้ย...แกทิ้งลูกจริงเหรอ ซึ่งเวลาที่ถูกถามแบบนี้เรารู้สึกสะเทือนใจมาก ครอบครัวเราต้องแตกแยกก็เพราะแอร์กี่ เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจทำไมแม่กับลูกต้องแยกกัน ทำไมพี่กับน้องต้องแยกกัน ไม่ใช่เพราะเขาเหรอ แยกกับลูกมันก็ขมขื่นอยู่แล้วยังมาเจ็บซ้ำสองถูกกล่าวหาว่าทิ้งลูก ทำไมเขาถึงสร้างเรื่องโกหกได้ขนาดนี้ มันเป็นบาปมากนะการพรากลูกพรากแม่”
“น้องหนอนก็ได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้ เพราะเขาก็ทำงานบิน บางทีถูกเรียกชื่อล้อเลียนบ้าง ทางด้านเชอรี่ก็ยังทำงานอยู่กับสามีกัปตันหนิงสายการบินเดิมก็โดนผลกระทบเยอะมาก บางทีขณะที่นั่งรถขนส่งพนักงานจะไปบินก็มีเพื่อนแอร์ที่ไม่รู้จักหัวเราะแล้วพูดว่า เมื่อคืนดูละครสงครามนางฟ้ามันส์มากเลยตบตีกันใหญ่ ซึ่งเชอรี่ก็นั่งอยู่ตรงนั้นมันเกิดความเป็นปมด้อยทำให้จิตใจขุ่นมัวอยู่บ่อยๆ ทุกคนต่างได้รับความเดือนร้อนจากนิยายเรื่องนี้”