xs
xsm
sm
md
lg

‘คลุมถุงชน’วิถีแห่งรักแบบจีนๆ ผ่านแม่สื่อแม่ชัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.839 นักบุญวาเลนไทน์ผู้แหกกฎของกษัตริย์คลอดิอุสที่ 2 แห่งกรุงโรม ด้วยการรับเป็นบาทหลวงในงานแต่งงานให้กับหนุ่มสาวอย่างลับๆ ถูกประหารชีวิต นับจากวันนั้น 14 กุมภาพันธ์ก็กลายเป็นวันวาเลนไทน์-วันแห่งความรัก เพื่อเชิดชูความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์

14 กุมภาพันธ์ปีนี้ นอกจากเป็นวันวาเลนไทน์แล้ว ยังตรงกับวันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่จีน วันแรกของการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยจะมีการไหว้เพื่อต้อนรับเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ซิงเอี๊ย และพี่น้องชาวจีนทั่วโลกต่างเฉลิมฉลองกันอย่างรื่นเริง บันเทิงใจ

ไม่ต่างจากชาติอื่น ความรักของคนจีนแดนมังกรมีหลากรส

'คลุมถุงชน' คือประเพณีการแต่งงานที่พ่อแม่จัดแจงให้หนุ่มสาวลูกหลานได้มาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันกับคนที่บุพการีเลือกสรรให้ โดยหนุ่มสาวอาจไม่เคยรู้จักหรือรักใคร่ชอบพอกันมาก่อน
ปฐมบทคลุมถุงชน

ประเพณีคลุมถุงชนเกิดขึ้นครั้งแรกพร้อมกับการก่อตั้งประเทศจีนเมื่อ 4,700 ปีก่อน จิตรา ก่อนันทเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมจีน เล่าว่า ในอดีตกาลคนจีนยังอยู่รวมกันเป็นเผ่า อึ๊งตี่ ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ของประเทศจีนจะเข้าตีเผ่าต่างๆ แล้วเข้าปกครอง อึ๊งตี่เป็นเผ่าแซ่กี (หรือจี ในเสียงจีนกลาง) มีบันทึกไว้ว่า ครั้งที่อึ๊งตี่ตีเผ่าเถาถัง ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ก็ได้ลูกสาวของหัวหน้าเผ่าเป็นภรรยา โดยก่อนหน้านั้น อึ๊งตี่ก็ได้ลูกสาวของเผ่าที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ชื่อว่าเผ่าเกียง (หรือเจียง ในเสียงจีนกลาง) เป็นภรรยาเช่นกัน

“การแต่งงานทั้ง 2 ครั้งของอึ๊งตี่ น่าจะเป็นไปได้ว่าอึ๊งตี่และลูกสาวของทั้ง 2 เผ่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน โดยเหตุผลของการแต่งงานเพื่อเป็นการผูกไมตรี ให้เกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะจะทำให้ปกครองง่ายขึ้น ตลอดจนไปมาหาสู่และเกิดประโยชน์ต่อทุกเผ่า มากกว่าการเป็นศัตรูแล้วส่งคนไปโจมตีหรือปล้นกันเหมือนที่ผ่านมา”

การแต่งงานแบบคลุมถุงชนมีทั้งแบบที่พ่อแม่จัดแจงให้หนุ่มสาวได้ดูตัวเห็นหน้าค่าตากันก่อน และแบบที่ทั้งว่าที่สามีภรรยาไม่ได้แม้เพียงจะเห็นหน้าตากันก่อนร่วมหอลงโรง

การคลุมถุงชนแบบได้ดูตัวกัน จิตรายกตัวอย่างพี่สาว 2 คนจากเมืองจีนที่ได้เดินทางมาอยู่เมืองไทยกับเธอ

“พี่สาวรุ่นใหญ่ 2 คนนี้ ได้แต่งงานด้วยระบบแม่สื่อที่ดูกันจากรูปถ่ายและรู้ประวัติของกันและกันจากแม่สื่อ จึงจะได้ดูตัวกัน ได้พูดคุย หรือเห็นกันในระดับหนึ่งก่อนจะแต่งงานกัน”

นอกจากพี่สาวของจิตรา การคลุมถุงชนแบบได้ดูตัวกันเป็นหนึ่งในความทรงจำของ เจ๊สาว ที่แม่สื่อได้ชักนำให้เธอได้รู้จักและสานสัมพันธ์กับชายหนุ่ม, สามีที่อยู่กินกันในปัจจุบัน

“แม่สื่อคนนั้นเป็นญาติกับฝ่ายชายและรู้จักกับครอบครัวของเรา แม่ให้เราคิดและตัดสินใจเองว่าจะเอาอย่างไร แต่งงานกันไหม โดยที่ขอใช้เวลาคบหาดูใจกันระยะหนึ่งก่อนที่จะหมั้น และเว้นระยะเพื่อศึกษาให้แน่ใจว่าเข้ากันได้ไหมประมาณ 1 ปี ก่อนที่จะเข้าพิธีแต่งงานกันในที่สุด ซึ่งตอนนี้อยู่กันมา 27 ปีแล้วค่ะ ...อยู่ด้วยความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน”

เช่นเดียวกันกับชีวิตรักของ กิ๊ก (นามสมมติ) หญิงสาวไทยเชื้อสายจีน เจ้าสาวป้ายแดงที่เพิ่งเข้าพิธีแต่งงานกับหนุ่มเชื้อสายจีนที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายนำพาให้รู้จักกัน

อย่าเหมารวมว่า ครอบครัวคนจีนนิยมเขยหรือสะใภ้ที่เป็นคนจีนด้วยกันเท่านั้น กิ๊กให้เหตุผลว่า การที่คนจีนอยากให้ลูกหลานของตนแต่งงานกับคนสายเลือดมังกรด้วยกัน อาจเป็นเพราะทั้งคู่มีความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรมและการใช้ชีวิต ทำให้ไม่ต้องปรับตัวมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น ชาติพันธุ์เป็นเพียงปัจจัยเสริม ปัจจัยหลักที่จะอยู่ด้วยกันยืดยาวหรือไม่นั้น ขึ้นกับปัจจัยหลักคือคน 2 คน

กิ๊กสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับประเพณีการดูตัวว่า ในกรณีที่หนุ่มสาวยังไม่มีใครในหัวใจ การดูตัวถือเป็นการแนะนำให้ได้รู้จักกัน ซึ่งความสัมพันธ์อาจพัฒนาเป็นเพื่อนหรือแฟนก็ได้ แต่ในกรณีที่เป็นการบังคับให้แต่งงานกันเลย เธอไม่เห็นดีเห็นงามด้วย และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องถูกต้องดีงาม

“เรารู้จักกันผ่านผู้ใหญ่ก็จริง แต่ได้มีเวลาคบกันและตัดสินใจกันเองว่า ความสัมพันธ์จะไปในทิศทางไหน โดยที่ผู้ใหญ่ให้อิสระเต็มที่ในการตัดสินใจ การดูตัวจึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรู้จักกันเท่านั้น ส่วนจะคบไม่คบกัน หรือจะลงเอยยังไงอยู่ที่เรา”

การดูตัวถือเป็นสิ่งที่ดี ถ้าไม่ใช่การบังคับจิตใจ เพราะเป็นประตูอีกบานที่จะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนอีกคนหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับการรู้จักกันผ่านเพื่อน หรือเจอกันที่ป้ายรถเมล์แล้วเริ่มต้นคุยหรือจีบกัน ทุกๆ ประเพณีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อยู่ที่ว่ามนุษย์จะหยิบมาใช้ยังไง และจะเกิดผลดีถ้าฉลาดใช้

สำหรับครอบครัวของกิ๊ก การดูตัวถือเป็นการแนะนำให้คน 2 คนรู้จักกัน โดยที่ผู้ใหญ่มีส่วนรับรู้ด้วย ซึ่งทั้ง 2 ครอบครัวรู้พื้นฐานครอบครัวของฝ่ายตรงข้ามก่อน แทนที่จะให้ลูกหลานไปคบหาหรือแต่งงานกับคนที่ไม่รู้พื้นฐานครอบครัว หรือรู้ที่มาที่ไปเบื้องลึกของเขา

ท้ายที่สุด กิ๊กมองว่า การดูตัวเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการรู้จักกัน

“การดูตัวไม่ใช่การคลุมถุงชน ทุกคนมีสิทธิ์เลือกว่าจะแต่งหรือไม่แต่งกับคนที่มาดูตัว”

ส่วนการคลุมถุงชนขนานแท้ที่ว่าที่สามีภรรยาไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ต้องมาแต่งงานกันอย่างไม่มีข้อแม้ จิตรายกตัวอย่างให้ฟัง

“คุณแม่เมืองจีนเล่าให้ฟังว่า ท่านแต่งงานกับคุณพ่อของดิฉันที่เมืองจีนแบบคลุมถุงชน ด้วยระบบแม่สื่อ แต่ก็ไม่เคยเห็นคุณพ่อมาก่อน เพราะอยู่ต่างหมู่บ้านกัน เพราะความจนทำให้ไม่มีเงินที่จะใช้ในการมาดูตัวกันก่อน คู่บ่าวสาวจึงได้เห็นตัวจริงของกันและกันในวันแต่งงานเลย”

เช่นเดียวกับการแต่งงานของอาของเจ๊สาว ที่แม่เลี้ยงเป็นคนจับคลุมถุงชนให้เสร็จสรรพ มารู้ตัวว่าจะแต่งงานกับคนหน้าตาอย่างไรเมื่อถึงวันเข้าหอ

“คู่ของอาสาวกับอาเขยเกิดขึ้นเร็วมาก เป็นการจับคู่คลุมถุงชนขนานแท้ที่ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายจัดการเองทั้งหมดโดยที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่เคยเห็นหน้ากัน ได้เห็นหน้ากันครั้งแรกตอนวันแต่งงานเลย ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ผู้ใหญ่มาพูดคุยถึงวันเข้าหอประมาณ 19 วัน และด้วยความที่อาเขยเป็นคนดีและอาสาวมีความอดทนทำให้ฝ่าฟันอุปสรรค ชนะใจแม่สามี ลูกสะใภ้ และญาติพี่น้องของสามีมาได้”

ซึ่งคู่บ่าวสาวที่แต่งงานแบบคลุมถุงชนมีฐานะความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ เช่น ถ้าเศรษฐีอยากได้เมียเด็ก แม่สื่อก็อาจส่งเด็กฐานะไม่ดีไปให้ เพราะน่าจะง่ายกว่าให้ลูกสาวเศรษฐีไปแต่งงานกับคนแก่คราวพ่อ

อยู่ทน หรือ ทนอยู่?

อย่าเพิ่งปรามาสว่าการคลุมถุงชนเป็นการบังคับขืนใจ และไม่มีทางเสียหรอกที่หนุ่มสาวจะรักกันอย่างแท้จริง

กูรูวัฒนธรรมจีนมองว่า การแต่งงานแบบคลุมถุงชนน่าจะเป็นบุพเพสันนิวาสแบบหนึ่งที่ทำให้คู่บ่าวสาวได้มาพบกัน

“คู่ที่อยู่กันยืนยาวมีมากมาย เช่น คู่พี่สาวของดิฉันที่แต่งงานแบบคลุมถุงชน รายหนึ่งสามีเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่อีกรายอยู่กันอย่างดีจนลูกๆ แต่งงานและมีหลานให้แล้ว”

กรณีข้างต้นรวมไปถึงการทำหน้าที่แม่สื่อของเจ๊สาว สนับสนุนให้พี่สะใภ้ได้ปลูกต้นรักกับคนที่ตนรู้จักเพื่อแต่งงานมีครอบครัว โดยคู่นี้ก็อยู่กันยืดยาว

เจ๊สาวเห็นว่า พี่สะใภ้อายุค่อนข้างมากแล้ว แถมยังทำแต่งาน เมื่อผู้ใหญ่แนะนำว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนดี ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวเตร่ เธอและญาติผู้ใหญ่ฝ่ายพี่สะใภ้เลยทำหน้าที่แม่สื่อแม่ชักอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นไม่นาน พี่สะใภ้จึงได้แต่งงานกับชายคนดังกล่าว

ซึ่งการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน เกือบ 20 ปีแล้วที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมาด้วยความเป็นเพื่อนและเข้าใจกัน แม้ชีวิตคู่จะไม่ได้หวือหวาวูบวาบเหมือนคู่อื่นก็ตาม

เหรียญมี 2 ด้าน การคลุมถุงชนไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามเริดหรู ทุกคู่แต่งงานที่เกิดจากการคลุมถุงชนจะอยู่กันอย่างราบรื่นและยาวนาน มีเหมือนกันที่อยู่กันไม่ยืด เลิกรากันไปตามระเบียบ ตอกย้ำให้เห็นว่า การบังคับจิตใจกันอาจไม่ส่งผลดีในเรื่องชีวิตคู่ที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง

แม้โลกจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน และคนเรามีช่องทางตามหารักกันมากแบบ เช่น พึ่งเว็บไซต์หาคู่ เขียนจดหมายไปลงประกาศหาคู่ในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร หรือเข้าร่วมนัดบอด จิตราบอกว่า ทุกวันนี้แม่สื่อยังมีการมีงานทำอยู่ จึงทำให้การแต่งงานแบบคลุมถุงชนดำรงคงอยู่ในแดนมังกร แม้ตี๋หมวยยุค 2010 จะต่อต้านการแต่งงานแบบคลุมถุงชนบ้างก็ตามที (ในรายที่มีคนรักอยู่แล้วก็ย่อมจะไม่ถูกใจเป็นธรรมดา) รวมทั้งในเมืองไทยโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ที่การคลุมถุงชนยังไม่ตายจากไป แต่คุณแม่ยุคใหม่อย่าง สุวรรณภา ธนไพศาลกิจ ค่อนข้างเห็นต่างในเรื่องการคลุมถุงชน เธอมองว่า การที่ลูกคนจีนหรือคนที่มีเชื้อสายจีนจะออกเรือนแต่งงานไม่จำเป็นต้องแต่งกับคนที่มีเชื้อจีนด้วยกัน

“มีกรณีหนึ่งที่แม่สื่อแนะนำให้ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงรู้จักกัน และได้แต่งงานกัน แต่แต่งกันได้สักระยะ ฝ่ายชายไปมีภรรยาน้อย แม่สามีก็พูดกับฝ่ายหญิงว่า จริงๆ แล้วที่ลูกชายแต่งงานกับเธอไม่ได้เกิดจากความรักหรือชอบ ที่แต่งด้วยเพราะมีแม่สื่อแนะนำ และที่ลูกชายมีภรรยาน้อยก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะเขาไม่ได้รักเธอ แต่รักภรรยาน้อย ตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังอยู่ด้วยกันเพราะฝ่ายหญิงรักฝ่ายชายมาก แต่ยังไงก็คิดว่าการที่เราให้ลูกเลือกคู่เองโดยที่เราคอยดูห่างๆ น่าจะดีที่สุด”

ขณะที่เจ๊สาวบอกว่า การคลุมถุงชนมีทั้งแง่บวกและแง่ลบแล้วแต่คนจะมอง แต่ส่วนตัวเห็นว่า ถ้าลูกจะมีคู่มีครอบครัว เธอจะไม่เข้าไปจับคู่ให้ แต่คอยแนะนำให้คำปรึกษามากกว่า เพราะคิดว่าลูกมีความคิดเป็นของตัวเอง

“ลูกจะรักใครก็ขอให้คนคนนั้นรักลูกเราจริงๆ เข้ากับครอบครัวญาติพี่น้องของเราได้ คิดว่าคงคล้ายกับความคิดของพ่อแม่คนอื่นๆ นะ”
………

จะรู้จักและรักกันด้วยวิธีใดก็ขึ้นกับบริบทของสังคมแต่ละยุค ถึงอย่างไร ก็ให้โอกาสหัวใจได้ทดลองศึกษาดูใจกันไปนานๆ นานจนตอบได้ว่า เขาเข้าใจตัวเราและเหมาะสมกับเราจริงหรือ?

คลุมถุงชนบนแผ่นฟิล์ม

ประเพณีคลุมถุงชนไปปรากฏในหนัง ‘ม่านประเพณี’ ของ ชอว์บราเธอร์ส หนังเล่าถึงตำนานรักของ จู้อิงไถ ที่ไปพบรักกับ เหลียงซานป๋อ แต่จู้อิงไถแพ้ให้กับประเพณีคลุมถุงชนของจีน โดนพ่อแม่จับแต่งงานกับลูกเจ้าเมืองที่มีฐานะเท่าเทียมกัน จนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมความรักที่ตรึงตาตรึงใจนักดูหนังมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ

……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK




กำลังโหลดความคิดเห็น