“ถึงจะสิ้น วิญญาณกี่ครั้ง ฉันก็ยัง รักเธอฝังใจ แม้จะสิ้น ดวงจันทร์ไฉไล ไม่เป็นไร เพราะยังมีเธอ...”
เชื่อว่าหลายคงคุ้นเคยกับเพลงนี้กันแล้ว ในหลากหลายเวอร์ชั่น รวมไปถึงคนที่ได้ฟังเพลงนี้จากโฆษณาบัตรเครดิต KTC แพลททินัม จนฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง วันนี้นัดคุยได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ “พิว โชติรส วิบูลย์ลาภ” เจ้าของเสียงร้องเพลง “รักไม่รู้ดับ” เวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งเจ้าตัวเผยส่วนใหญ่ไม่มีคนทราบว่าตนคือคนร้องอีกทั้งยังคิดว่า "มาช่า วัฒนพานิช" เป็นคนร้องเพลงนี้ด้วยซ้ำ
วันนี้ “นัดคุย” ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของเสียงร้องนี้ อย่างเจ้าตัวเผยอย่างอารมณ์ดีว่าฟีดแบ็กเพลงนี้ดีมาก โดยเฉพาะทางอินเตอร์เน็ต
“เสียงตอบรับที่เจอกับตัวเนี่ยถ้าในเชิงว่าเขารู้จักตัวเรามั้ยเนี่ย เขาไม่รู้นะ ก็จะมีแค่บางคนที่เขารู้จักเราอยู่แล้วน่ะค่ะ คนก็จะบอกว่าถ้าไม่บอกว่าเราร้องเนี่ยไม่รู้เลย ถ้าในออนไลน์หรืออินเตอร์เน็ตเนี่ยเยอะมาก ที่รู้จักเพลงนี้จากงานเรา งงมาก มันดังขนาดนี้เลยหรือ ทำให้รู้เลยว่าโลกอินเตอร์เน็ตนี่มันเร็วมาก”
“พิวอ่านเอาจากอินเตอร์เน็ตนะ มีหลายเสียงมาก บางคนก็จะบอกว่าเป็นเพราะทุกอย่างมันเอื้อกันไปหมด เพราะเพลงสนุก เนื้อหามันเข้ากัน และไม่เข้ากัน คือเพลงก็มีทั้งเข้าและไม่เข้ากับตัวแสดง โดยเฉพาะผู้หญิงที่เข้ากับเสียงเรา ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าตกลงเข้าหรือไม่เข้า แต่พิวก็ว่ามันมีภาพของความขัดแย้ง เพราะว่าคนเล่นเนี่ยเป็นฝรั่ง มันก็ขัดแย้งดี บางคนบอกว่าไม่เข้ากันเลยก็มี แต่ด้วยตัวเอง มันก็สนุกสนาน มีการตีความใหม่ ด้วยตัวดนตรี การร้องมันไม่มีเค้าเก่า เขาพูดไปถึงการตีความ"
"บางคนก็บอกว่ามันอยู่ทิ่วิธีการร้อง ของพิวเนี่ยโดนมองว่าร้องออกมาแล้วเหมือนผู้หญิงเจ้าเล่ห์ก็มี อันนี้ชอบมาก..(หัวเราะ) บางคนเขาคิดว่ามาช่าร้อง เพื่อนก็บอกว่าเออเหมือนมาช่านะ เราก็บอกว่าไม่เหมือน มาช่าเขาจะใสๆ ตัวเราจะไม่ใสเลย เราจะห้าวๆแล้วเวลาร้องเพลงสากลเนี่ยจะออกรุนแรงด้วยซ้ำไป จะร้องไปในแนวแจ๊ซหมด เพลงพวกผิวดำร้อง มาร้องเพลงนี้ฉีกแนวมากๆ เขาบอกน้ำเสียงมีเว้าวอน มีบอกว่าเสียงกระแต เดาว่ากระแตก็คือกระแดะ ..(ยิ้ม) มีบอกว่าดูสตรอฯด้วย เพียวก็งงว่ามีหลายแบบมากเลย”
เจ้าตัวบอกว่าปกติแล้วตนร้องแต่เพลงฝรั่ง และไม่เคยรู้สึกว่าตนเองร้องแพลงไทยได้ดี และถึงขั้นเครียดทีเดียวตอนร้องเพลงนี้ เนื่องจากผู้จ้างต้องการความแตกต่างที่ไม่ซ้ำเวอร์ชั่นเก่า
“ทางเคทีซีไม่ได้บอกนะว่าทำไมเลือกเรามาร้อง แต่พี่ต๋อย (อ.วิชัย ปุญญะยันต์) ติดต่อให้ไปร้องเพลงโฆษณาชิ้นหนึ่ง เราไม่รู้ด้วยว่าเพลงอะไร แล้วพอไปถึงที่สตูดิโอก็จะมีคนจากเอเจนซี่มานั่งดู ก็มีเกร็งบ้าง เขาก็เลยให้เพลงนี้มาบอกว่าเอาไปประกอบโฆษณา พอเขาบอกเป็นเพลงไทยนะ ไม่ใช่สากล พิวก็เริ่มเครียด เพราะไม่ถนัดร้องเพลงไทย เพราะปกติที่ร้องเพลงเนี่ยเราจะร้องเพลงสากลเยอะ แล้ววิธีการร้องของเราเนี่ย เรารู้สึกมาเองตลอดว่าเราร้องเพลงไทยไม่เพราะเลย เรามีการออกเสียงที่เป็นฝรั่งมาตลอด พอมาร้องเพลงไทยเราขำตัวเองตลอดเวลา"
"นี่เป็นเพลงเต็มเพลงด้วยเลยเครียดเลย แต่มาถึงแล้วมันต้องทำแล้วเพราะท้าทายด้วย เราต้องตีความหมายโดยในห้องอัด ซึ่งเพลงนี้เรารู้จักเพลงนี้ดีอยู่แล้วล่ะ พอรู้จักเพลงนี้ พี่ต๋อยบอกว่าเคยได้ยินเราร้องเพลงสากล พอได้ยินเราร้องแล้วเขาอยากเอาวิธีการร้องในเพลงนั้นมาใช้ในเพลงนี้"
"เขาบอกเราว่าอยากให้มันแตกต่างจากที่เคยทำกันมาอย่างสิ้นเชิง คือด้วยตัวดนตรี ก็มาดี ร้องแบบเก่ามันก็ไม่ได้ เราก็ปรับวิธีการร้องให้มันเข้ากับดนตรี เราฟังดนตรีแล้วตีโจทย์เขาอยากได้ความแตกต่างที่เขาพูด มันจะไปยุคไหน นั่นคือความต่างที่ไม่รู้ตอนไหน มันต้องดูว่าไปยุคไหน พิวเสียงแบบนี้ก็จะร้องแบบนี้ ในห้องอัดเราก็ตัดสินใจว่าเราทำในสิ่งที่เรามีแล้วกัน การออกเสียงแบบนี้ แบบเด็กสมัยนี้ เอาดีมั้ยน้า เลยไม่เอา เอาแบบเราดีกว่า ในห้องอัดเราก็ตัดสินใจว่าในสิ่งที่เรามีแล้วกัน คือถ้ามันไม่เพราะก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แย่ที่สุดคือเขาเอาคนอื่นมาร้องใหม่ ก็จบ แค่นั้นเองเราก็ถือว่าเราตรองมาแล้ว"
"พิวไม่มั่นใจเลยนะในตอนแรกว่าทางเอเจนซี่อยากได้นี่มันตรงกับที่เราร้องมั้ย เราก็พยายามทำให้ได้ พอพี่ต๋อยมั่นใจ เราก็โอเค เขาก็คงเห็นว่าเราทำได้ พิวก็เลยพยายาม ว่าเขาอยากได้อารมณ์ไหน พิวใช้อารมณ์ล้วนๆเลย เราไม่ได้มองเลยว่าต้องเพราะแบบไหน ไม่มองเลยว่าต้องเพราะ แบบเด็กสมัยนี้ ต้องพูดแบบนี้เลยว่าบางรายเนี่ย เขาก็อยากได้แบบเข้าสมัย แต่เราก็ไม่ได้ แต่เรามีวิธีของเราแบบนี้ แต่นี่เขาไม่ได้อยากได้เข้าสมัย นี่คือสไตล์เราเลย ร้องเพลงไทยแล้วเป็นแบบนี้ สไตล์ที่ตีความให้กับเพลงนี้ มีคนบอกว่าได้ยินเพลงนี้แล้วน้ำเสียงมันยิ้ม พิวก็ไม่ทราบนะ แต่ก็รู้สึกว่าร้องเสร็จแล้วไม่เครียด"
ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่าจากกระแสเพลงนี้ อาจทำให้ได้ฟังอัลบั้มเต็มของเธออีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยพับโครงการนี้ไปพักใหญ่แล้ว โดยเจ้าตัวก็ไม่เคยคาดคิดว่าโฆษณาชิ้นนี้จะเข้าถึงคนดูได้มากขนาดนี้
"ไม่มีในหัวเลยว่าจะดังนะ ตอนไปร้อง ก็ทำงานตรงนั้นให้สำเร็จตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ มันคือหน้าที่ของเรา อีกส่วนก็คือเราจะทำให้อ.วิชัย ปุญญะยันต์ ผิดหวังไม่ได้ เพราะว่าพิวเพิ่งรู้จักอาจารย์เล่นดนตรีไม่กี่ครั้ง แต่เราฟังเพลงอาจารย์มาตลอดชีวิต พอมาร่วมงานแกดีกับเรามาก แกเลือกเรามาแล้วแกจะต้องเห็นแล้วว่าเราจะต้องทำอะไรได้ ทีนี้ถ้าเร้ารองไม่ได้ แล้วต้องหาคนอื่นมาร้องเราก็คงรู้สึกแย่ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องทำให้มันไม่หลุดจากตัวเรา ซึ่งมันยากมาก"
"ว่าไปแล้วมันก็มีผลกับงานเพลงของเรานะ มันมีจากความต้องการของคนบางกลุ่มที่รอเรามีผลงานออกมา มาเป็นของเราเองที่ไม่เกี่ยวกับอันนี้น่ะค่ะ แต่ว่าเมื่อก่อนเนี่ยมันมีโปรเจ็กต์แต่มันก็ถูกพับไปด้วยเรื่องทางธุรกิจบันเทิง เราไม่ทันตั้งตัวแต่มันต้องเป็นน่ะ ใจเนี่ยคงไม่ได้คิดว่าคงไมได้ทำเพลงให้ตัวเองแล้วแหละ แต่พอมีตรงนี้เข้ามา คือมีคนถามเลยว่าเมื่อไหร่เราจะมีเพลงของตัวเอง อัลบั้ม อยากฟังเพลงที่เป็นตัวเรา เหมือนเขารออยู่ เราก็เลยรู้สึกว่าความอยากทำเนี่ย เขาจะได้ไม่ต้องรอ อยากทำให้เขาฟังกัน"
นอกจากจะชอบและสอนร้องเพลงแล้ว หน้าที่หลักของ “สาวพิว” คือ การสอนเพอร์คัซชั่น และพอถามถึงงานที่ใฝ่ฝันหลังจากนี้เจ้าตัวบอกอยากพากย์เสียงการ์ตูนและงานที่ใช้เสียงทุกประเภท
"ตอนนี้พิวสอนเพอร์คัซชั่น ให้กับโรงเรียน I Learn สอนร้องน้อยลงแล้ว แต่จะเน้นสอนเพอร์คัซชั่นมากกว่า ผูกพันกับการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก วงที่อยู่ต่างประเทศเราจะไม่ร้องเพลงอีกแล้วตอนกลางคืนตามผับ อยากสอน แต่ไม่รู้อย่างไร มันก็มาร้องจนได้ ตอนนี้อยากทำดนตรีบำบัด แต่ใช้ลิทึ่มบำบัด เราเอามาทำเป็นดนตรีบำบัด พิวชอบเรื่องแบบนี้ค่ะ พิวจบการละคร แต่พิวไปเล่นดนตรี เพื่อนๆที่เป็นอาจารย์เรียกเราไปเล่นเราก็เล่น"
"ถ้าในเมืองไทยเคยร้องของวาโก้ มันจะเป็นเสียงฮือฮาหอนๆ เป็นคำพูดฝรั่งเศสแต่พิวจำไม่ได้แล้วค่ะว่า โฆษณาตัวนั้นใครเล่น เสียงเราเหมือนนิโกรน่ะค่ะ แต่เสียงพากย์ วอยซ์โอเวอร์ สยามนิรมิต พูดตอนต้นน่ะค่ะ ส่วนใหญ่จะรับงานที่เกี่ยวกับเสียง มีการบรรยายสปอตสั้นๆ บรรยายภาษาอังกฤษ งานพากย์การ์ตูนก็อยากทำนะ ชอบใช้งานใช้เสียง"